บทที่ 75 ต่อไปอย่าเจอกันอีกเลย

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

แต่หลินจือดูเหมือนจะไม่เชื่อที่เธอพูดเลยซักนิด : “เธอบอกว่าเพื่อไม่ให้พินอินมาเล่นงานฉัน เขาก็เลยจะส่งพินอินไปต่างประเทศอย่างนั้นน่ะหรอ?”

“จะเป็นไปได้ยังไง?” หลินจือรู้สึกว่าควีนกำลังพูดเรื่องตลกอยู่ “จะเป็นไปได้ยังไงที่เทาเท่จะทำอะไรเพื่อฉัน? แล้วก็ไม่มีความจำเป็นด้วยเหมือนกัน”

หย่ากันไปแล้ว เขาทำแบบนี้จะมีความหมายอะไรกัน?

อีกทั้ง ในความทรงจำของหลินจือนั้น เทาเท่จะเข้าข้างแม่ น้องสาว และซูซีบุคคลที่อยู่ในใจเขาตลอดอยู่แล้ว

ในช่วงสามปีนั้น ระหว่างเธอกับพวกเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดเรื่องขัดแย้งกันขึ้น แต่เทาเท่ถ้าไม่เงียบ ก็จะปกป้องพวกเขา

หลินจือจำครั้งหนึ่งได้ชัดเจนที่สุด คือการพบปะกันช่วงสุดสัปดาห์ของตระกูลฟอเรนา

เธอสวมรองเท้าส้นสูง และรู้สึกไม่คุ้นชินนัก จึงต้องเดินอย่างระมัดระวัง

พินอินตั้งใจที่จะชนเธอ เธอขาพลิกไปในตอนนั้น และรู้สึกเจ็บเสียจนน้ำตาแทบไหลออกมา

เธอถามพินอินด้วยความโมโห พินอินเห็นเทาเท่เดินเข้ามา ตัวเองจึงรีบร้องไห้ขึ้นมาทันที

พินอินวิ่งเข้าไปกอดแขนของเทาเท่ฟ้องว่าเธอ : “พี่คะ พี่สะใภ้ใส่รองเท้าส้นสูงไม่เป็น ตัวเองล้มขาพลิกเองแล้วก็ไม่ยอมรับ บอกว่าฉันเป็นคนชนเธอ”

เทาเท่มองเธออย่างเย็นชาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น : “ใส่รองเท้าส้นสูงไม่เป็นก็อย่าใส่”

ความหมายของคำพูดนี้ คงยังไม่น่าอับอายขายหน้าพอ

ในตอนนั้นหลินจือรู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมาก น้ำตาคลอ เธอจิกลงบนฝ่ามือของตัวเองเอาไว้ถึงได้อดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมาได้

ตอนนั้นเธอกับเทาเท่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เธอเข้าร่วมการพบปะกันของตระกูลฟอเรนาอีกด้วย

มีญาติพี่น้องและเพื่อนๆยืนดูอยู่ข้างๆ เธอแทบรอไม่ไหวที่อยากจะหาที่มุดหนีเข้าไปเสียเลย

หลังจากครั้งนั้น เพื่อทำให้ตัวเองสามารถเคยชินกับการใส่รองเท้าส้นสูง เธอจึงฝึกฝนทุกวัน ส้นเท้าไม่รู้ว่าถูกเสียดสีเสียจนแตกไปตั้งกี่ครั้งแล้ว

ต่อมา เธอก็สามารถยื่นบนรองเท้าส้นสูงได้ สามารถยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว

ตอนนี้นึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นในความทรงจำแล้ว หลินจือจะเชื่อได้อย่างไรว่าเทาเท่จะส่งพินอินไปต่างประเทศเพื่อตัวเธอเอง

เธอเลี่ยงประเด็นนี้ไป มองไปยังควีนแล้วเอ่ยพูดขึ้นเบาๆ : “ขอโทษนะ เรื่องวันนี้เป็นการรบกวนงานของเธออีกแล้ว เธอรีบกลับบริษัทเถอะ”

ควีนเห็นว่าเธอเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงประเด็นนี้ของเทาเท่ จึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเช่นกัน เธอลุกขึ้นแล้วกลับไปทำงานที่บริษัทต่อ

ร่างกายของวีนาไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร แต่ความโมโหนั้นประดังเข้ามารุมเร้าในใจเพียงเท่านั้น

เทาเท่ยืนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย มองวีนากับพินอินที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าที่เย็นชา

หลินจือไม่ได้พูดกับเขาแม้แต่คำเดียว แต่ควีนได้บอกเรื่องราวกับเขาหมดแล้ว ในใจของเทาเท่นั้นรู้สึกไฟแห่งความโมโหนั้นพุ่งขึ้นสูงมาก

โทรไปด่าว่าหลินจือ?

ไปที่บางวางแผนที่จะลงมือกับหลินจืออย่างนั้นหรือ?

นี่เป็นเรื่องที่แม่กับน้องสาวของเขาทำออกมาได้อย่างนั้นสินะ!

“แม่ครับ ผมรู้สึกว่าไม่ใช่เพียงแค่พินอินเท่านั้นที่จะต้องไปต่างประเทศ ทางที่ดีที่สุดแม่เองก็ไปด้วยกันเลยจะดีกว่า”แน่นอนว่าคำพูดนี้ของเทาเท่เป็นเพราะความโมโห เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไล่วีนาไปได้อยู่แล้ว

พ่อกับแม่ของเขานั้นไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว วีนาข้ามอุปสรรคกับการที่ไกอาออกนอกลู่นอกทางนี้ไปได้ และไกอาก็ข้ามอุปสรรคที่วีนาก่อความวุ่นวายเรื่องนี้จนทำให้ทุกคนรู้และทำให้เขาเสียหน้า

ฉากที่จะทำให้ทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกันได้นั้น บางทีก็คงจะเป็นงานแต่งงานของทั้งเขากับทั้งพินอินแล้ว

แต่ตอนนั้นการแต่งงานของเขากับหลินจือไม่ได้จัดงานแต่งงานขึ้น ดังนั้นไกอาจึงไม่ได้กลับมาเช่นกัน

วีนารู้สึกโมโหมากกับคำพูดของลูกชายตัวเอง : “เทาเท่ นี่แกหมายความว่าอะไร? นี่ฉันเพิ่งจะฟื้นขึ้นมานะ!”

เทาเท่เม้มปาก : “ผมไม่ได้หมายความว่าอะไร เพียงแค่อยากจะบอกว่า ต่อไปเรื่องของผม ทางที่ดีที่สุดอย่าแทรกมือเข้ามาจะดีกว่า”

คำพูดนี้ถือว่าเป็นการเตือนพวกเธอ ต่อไปไม่มีอะไรก็อย่าไปหาเรื่องหลินจือ

วีนากับพินอินถึงกับสำลักไป พินอินอยากจะเอ่ยพูดอะไรออกมาอย่างไม่พอใจ แต่เทาเท่กลับมองเธอด้วยสายตาเย็นชา และเอ่ยพูดขึ้นอย่างไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ : “เธอ จะต้องไปต่างประเทศ”

พินอินกระทืบเท้าด้วยความโมโห : “พี่!”

“ในเมื่อแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวเธอส่งแม่กลับบ้านด้วยแล้วกันนะ” เทาเท่กำชับแบบนี้อีกครั้งหลังจากนั้นก็หันหลังเดินออกไป

พินอินโมโหเสียจนร้องไห้ออกมา

“แกอย่าเพิ่งร้องไห้ พวกเราค่อยคิดวิธีกันอีกที” วีนาเองก็ปลอบใจเธอได้เพียงเช่นนี้

เนื่องจากวันนี้ก่อเรื่องวุ่นวายมาแบบนี้แล้ว ตอนที่วีนาเผชิญหน้ากับเทาเท่ก็รู้สึกขาดความมั่นใจอยู่บ้าง แน่นอนว่าเธอรู้ เธอไปหาเรื่องหลินจือถึงบ้าน ทั้งทางเรื่องความรู้สึกและเหตุผลก็แพ้แล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดอะไรรุนแรงต่อหน้าเทาเท่

วีนาก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าวันนี้เธอจะไม่ได้สั่งสอนหลินจือเพียงเท่านั้น แต่กลับถูกหลินจือทำให้โมโหเสียจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ด้วย ตอนนี้พวกเธอจึงทำได้เพียงต้องปรึกษากันให้ดีๆก่อน

เทาเท่ขับรถออกมาจากโรงพยาบาล เดิมทีคิดจะกลับไปที่บริษัท แต่คิดอยู่พักหนึ่งนั้น ก็วกรถกลับไปยังคอนโดของควีนแทน

หลินจือปรับอารมณ์เพื่อเตรียมจะเขียนบทต่อหลังจากที่ควีนออกไปแล้ว และกริ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เธอคิดว่าควีนลืมของจึงกลับมาเอา แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เปิดประตูแล้วกลับเป็นเทาเท่

เธอไม่ได้ให้เทาเท่เข้ามา ยืนอยู่ตรงทางเข้าแล้วเอ่ยถามขึ้น : “มีธุระอะไรไหมคะ?”

เทาเท่จ้องมองเธอพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “เรื่องวันนี้ ผมขอโทษนะ”

หลินจือหัวเราะเยาะ : “ประธานเทาเท่ นี่เป็นลูกชาย และพี่ชายที่มีความรับผิดชอบจริงๆเลยนะคะ วันนี้มาขอโทษแทนคนนี้ พรุ่งนี้ก็ขอโทษแทนคนนั้น”

ความรู้สึกในดวงตาของเทาเท่ลึกซึ้งขึ้นมา : “ที่คุณต้องมาเจอกับเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะผมไม่ใช่เหรอ?”

“เพราะฉะนั้น ผมจำเป็นที่จะต้องขอโทษคุณ”

หลินจือรู้สึกอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าท่าทางของเขาจะดูนอบน้อมและจริงใจแบบนี้

แต่หลังจากนั้นเธอก็เอ่ยพูดขึ้นมาอีกครั้ง : “ในเมื่อคุณรู้ว่าเป็นเพราะคุณ ถ้าอย่างนั้นต่อไปเราก็อย่าเจอกันอีกเลย ดีไหมคะ?”

ถ้าหากต่อไปต้องมาเจอกับบทละครที่เกี่ยวข้องกับฟอเรนากรุ๊ป เธอจะต้องผลักออกไปอย่างแน่นอน

“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ ฉันจะทำงานแล้ว” หลินจือมาในแบบที่ขับไล่แขกไป จากนั้นก็ปิดประตูลง

เทาเท่ : “………”

เทาเท่สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมไฟที่อยู่ในใจของตัวเองเอาไว้

ตอนนี้เธอกล้าปิดประตูใส่เขาแล้ว

*

เมื่อพิจารณาถึงว่าเรียวจิกับชาร์ลีจะต้องไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วหลินจือจึงตัดสินใจใช้มาตรการเชิงรุก

“หลินจือ?” ชาร์ลีคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นฝ่ายติดต่อมาเอง หลังจากที่ประหลาดใจนั้นก็เริ่มด่าว่าขึ้นมาอีกครั้ง “ในสายตาของแกยังเห็นฉันคนนี้เป็นพ่ออยู่อีกเหรอ?”

“ถ้าหากไม่ใช่ว่าพี่แกไปหาแก แกก็คิดที่จะหลบพวกฉันต่อไปใช่ไหม?”

หลินจือเอ่ยขอโทษอย่างนิ่ง : “ขอโทษนะคะพ่อ ฉันไม่ดีเอง แต่ฉันเพิ่งจะกลับมามีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ นี่ก็เพิ่งจะมีเวลาว่างมานี่ไง?”

“ตอนนี้พ่อเป็นยังไงบ้าง? ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า? เดี๋ยววันหลังฉันจะไปหานะ” หลินจือถามแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าสองพ่อลูกชาร์ลีกับเรียวจินั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง

ตอนแรกครอบครัวของพวกเขามีบ้าน เป็นบ้านหลังเล็กๆสามชั้น

แต่หลังจากที่มารดาเธอเสียชีวิตไป ก็ไม่มีใครดูแลสองพ่อลูกนั่น พวกเขาจึงขายบ้านไป และเงินก้อนนั้นก็ถูกพวกเขาถลุงใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนั้นหลินจือเรียนอยู่มหาวิทยาลัยพอดี จึงพักอยู่ที่มหาวิทยาลัยเป็นระยะยาว

ส่วนชาร์ลีกับเรียวจินั้นก็เช่าบ้านอยู่

ถูกตามหนี้ ก็ทำได้เพียงต้องเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆเท่านั้น

ชาร์ลีได้ยินเธอถามแบบนี้แล้ว ทางปลายสายนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา : “ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล แกจะมาก็มาหาฉันที่โรงพยาบาลแล้วกัน ฉันป่วย ใกล้จะตายอยู่แล้ว!”