“โรงพยาบาล?” หลินจือขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พ่อเป็นอะไรไปคะ?”
เท่าที่เธอรู้ ร่างกายของชาร์ลีนั้นดีมากมาโดยตลอด
ว่ากันว่าคนดีอายุไม่ยืน ส่วนคนที่เป็นภัยนั้นจะอายุยืน
คำพูดนี้มาใช้กับมารดาของเธอและชาร์ลีนั้นเหมาะสมมากที่สุดแล้ว
ชาร์ลีส่งเสียงฮึดฮัดออกมา : “แกมาเดี๋ยวแกก็รู้ เป็นโรคที่รุนแรงมาก จะต้องใช้เงินก้อนใหญ่”
หลินจือก็เข้าในขึ้นมาทันที เพื่อเป็นการขอเงิน ก็เลยใช้เรื่องอาการป่วยเป็นข้ออ้างอย่างนั้นเลยหรือ ไม่แน่ว่าเขาไม่ได้ป่วยเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่เธอก็ยังเอ่ยพูดขึ้นมา : “ได้ ถ้าอย่างนั้นพ่อบอกมาว่าอยู่ที่โรงพยาบาลไหน ฉันจะไปหา”
ชาร์ลีจึงพูดชื่อโรงพยาบาลไป เมื่อหลินจือได้ยินก็เป็นโรงพยาบาลที่ไวท์อยู่พอดี มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาในทันที
เธอสามารถขอให้ไวท์ช่วยเธอได้พอดี
หลังจากที่วางสายไปแล้วหลินจือก็เก็บของแล้วก็ออกไปข้างนอก เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วเธอก็ไปหาไวท์ก่อน
ไวท์เห็นเธอแล้วก็รู้สึกประหลาดใจมาก : “นี่คุณ…..?”
หลินจือไม่ได้รู้สึกอายอะไร เอ่ยพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา : “คือแบบนี้ค่ะ พ่อของฉันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ ฉันอยากจะรบกวนคุณช่วยฉันสืบหน่อย ว่าสรุปแล้วเขาป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่”
“ฉันกลัวว่าเขาจะบอกกับหมอที่รักษาเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เพื่อตั้งใจจะหลอกฉัน”
หลินจือเข้าใจนิสัยของชาร์ลีเป็นอย่างดี ในเมื่อชาร์ลีต้องการเงินจากเธอ ถ้าอย่างนั้นก็จะต้องโกหกว่าป่วยหนัก
เรื่องที่ขอให้ช่วยนี้ไวท์สามารถช่วยได้อยู่แล้ว หลังจากที่ให้สัญญาณให้เธอนั่งลงแล้วก็โทรหาเพื่อของตัวเองเพื่อสอบถาม
และหลังจากที่วางสายไปแล้วไวท์ก็แบมือพลางเอ่ยขึ้น : “เป็นแบบที่คุณคาดการณ์เอาไว้ เขาป่วยจริงๆ แต่เป็นโรคเล็กๆน้อยๆที่คนอายุมากจะพบบ่อยๆเท่านั้นครับ ไม่ได้ต้องนอนโรงพยาบาล แต่เห็นหมอที่รักษาเขาบอกว่าเขายืนยันเองว่าจะนอนโรงพยาบาล”
หลินจือพยักหน้าลง : “โอเคค่ะ ฉันรู้แล้วล่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
ไวท์ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น : “เกรงใจอะไรกันครับ”
หลินจือเงียบไป แล้วพูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก : “ความจริงแล้ว….ฉันยังมีเรื่องที่อยากจะขอให้คุณช่วย”
ไวท์เอ่ยถามขึ้น : “เป็นอะไรเหรอครับ?”
หลินจือเอ่ยขึ้น : “ในเมื่อเขาพักอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันอยากจะให้คุณช่วยจัดการ ตรวจดีเอ็นเอระหว่างฉันกับเขาหน่อยค่ะ”
“ตรวจดีเอ็นเอ?” ไวท์เกือบจะกระโดดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้อยู่แล้ว “คุณสงสัยว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆของคุณ?”
หลินจือส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นมา : “ไม่ใช่สงสัยค่ะ มั่นใจเลยด้วย”
เมื่อก่อนเธอไม่เข้าใจมาโดยตลอด ว่าทำไมชาร์ลีกับเรียวจิไม่เคยทำดีกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ไม่สนิทกันเลยด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่เด็กจนโต สายตาที่พวกเขามองเธอก็คือความรังเกียจ ไม่มีความรักอยู่เลยซักนิด
ต่อมาเธอถึงได้เข้าใจ ว่าจริงๆแล้วเธอนั้นจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ
และแม้กระทั่งมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่ใช่แม่แท้ๆของเธอด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่แม่บอกกับเธอไว้ก่อนที่จะสิ้นลม แม่เอ่ยพูดกับเธออย่างยากลำบาก : “ต่อไปแม่ก็ไม่สามารถปกป้องแกได้อีกแล้ว ดังนั้นฉันจะต้องบอกความลับนี้กับแก”
“ต่อไปพวกเขาจะต้องคิดหาวิธีที่จะต้องการเงินกับแกอย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะขายแกก็เป็นไปได้”
“ถึงตอนนั้นแล้วแกไม่ต้องไปเกรงใจพวกเขานะ อย่าโดนพวกเขารังแก แล้วก็ไม่ต้องโดนพวกเขาจัดการให้ต้องมาเป็นภาระของครอบครัวด้วย เพราะว่า….แกกับพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว”
เธอเป็นลูกของเพื่อนคนหนึ่งของแม่ตอนอายุยังน้อย เด็กผู้หญิงคนนั้นรักผู้ชายคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถเป็นไปตามที่ต้องการกับผู้ชายคนนั้นได้
หลังจากที่เธอคลอดลูกออกมานั้นก็มีความอัดอั้นตันใจอย่างรุนแรงมาก และหลังจากที่ฝากฝังลูกให้ดูแลแล้วก็เสียชีวิตลง
ดังนั้นชาร์ลีก้บเรียวจิถึงได้เกลียดเธอขนาดนั้น เนื่องจากว่าต้องมาเลี้ยงดูเธอเพิ่มอีกหนึ่งคน ก็ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง
แต่โชคดีที่แม่ของเธอนั้นเป็นคนใจดีและอ่อนโยน
ถึงแม้เธอจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ก็ยังคงปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับลูกแท้ๆ
ไวท์ได้ยินแล้วก็รู้สึกตกตะลึงไป เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าชีวิตของหลินจือจะเป็นแบบนี้ เทาเท่เองก็ยังน่าจะไม่รู้เช่นกัน
ไวท์เอ่ยขึ้นมาอย่างงุนงง : “ในเมื่อคุณรู้แล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไมยังจะต้องตรวจดีเอ็นเออีกล่ะครับ?”
หลินจือฝืนหัวเราะออกมา : “ฉันอยากจะเตรียมตัวเผื่อทางหนีทีไล่ของตัวเองเอาไว้น่ะค่ะ ถ้าหากพวกเขาบอกว่าฉันเป็นลูกแท้ๆ ต้องการเงินจากฉัน ต้องให้ฉันเลี้ยงดู ฉันเองก็จะได้มีความมั่นใจได้ไม่ใช่เหรอคะ?”
หลินจือหลบตาลง แล้วเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างเศร้าๆ : “หลายปีมานี้ฉันก็ตอบแทนที่พวกเขาเลี้ยงดูมามากพอแล้ว คุณเองก็น่าจะรู้ ว่าพวกเขาเอาเงินจากเทาเท่ไปตั้งเท่าไหร่แล้ว”
เธอใช้เวลาสามปีในช่วงวัยรุ่น สามปีที่เจ็บปวด แลกกับช่วงชีวิตที่เหลือที่สุขสบายทั้งเสื้อผ้าอาหารการกินของพวกเขา ยังไม่พออีกอย่างนั้นหรือ?
พวกเขาไม่รู้จักรักษาเอาไว้เอง ใช้เงินกันอย่างตามอำเภอใจ เธอจะไม่อดทนอีกแล้ว
ไวท์พยักหน้าลง : “ก็ใช่”
เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง : “เรื่องนี้คุณวางใจได้ ผมจะให้คนช่วยจัดการให้ โดยไม่ให้เขารู้ตัว”
“ขอบคุณค่ะ” หลินจือเอาถุงที่ใส่เส้นผมของเธอเอาไว้ให้กับไวท์ หลังจากนั้นก็เอ่ยพูดขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้ง “เอาไว้วันหลังฉันขอเลี้ยงข้าวคุณนะคะ”
ไวท์ยิ้มเป็นการตอบรับ
ขอร้องไวท์เสร็จแล้ว หลินจือถึงได้เดินไปยังห้องพักผู้ป่วยของชาร์ลี
ห้องที่ชาร์ลีพักอยู่นั้นอยู่กันสามคน ตอนที่หลินจือเข้าไปนั้นชาร์ลีกำลังนั่งคุยพูดจาอย่างฉะฉานอยู่กับเพื่อนๆคนป่วยของตัวเองอยู่บนเตียง ไม่เหมือนท่าทางของคนที่กำลังป่วยอยู่เลย
หลังจากที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นหลินจือแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว ยกมือขึ้นจับหน้าอกแล้วโอดครวญล้มตัวลงนอนบนเตียง
หลินจือทำเป็นไม่เห็นการแสร้งทำเป็นหลอกของเขา เดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง : “พ่อ เป็นยังไงบ้าง? ให้ฉันไปตามหมอมาให้ไหม?”
ชาร์ลีรีบลืมตาขึ้นมา : “ไม่ต้องแล้วๆ แค่เจ็บหน้าอกขึ้นมานิดเดียว”
หลินจือเอ่ยพูดขึ้น : “เมื่อกี้ฉันไปถามคุณหมอที่รักษาพ่อมาแล้ว เขาบอกว่าอาการพ่อหนักมาก จะต้องอยู่รักษาที่โรงพยาบาลนาน”
หลินจือตั้งใจที่จะเอ่ยพูดประเด็นนี้ขึ้นมา ต้องการให้ชาร์ลีเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องต้องการเงินขึ้นมาเอง
และเป็นอย่างที่คิดไว้ ชาร์ลีเอ่ยพูดขึ้น : “ใช่สิ ไม่แน่ว่าจะต้องผ่าตัดด้วยนะ ลูกสาว ดูสินี่ก็ต้องเป็นเงินก้อนใหญ่อีกแล้ว จะทำยังไงดี?”
ชาร์ลีเอ่ยพูดมาแบบนี้ เพื่อนคนป่วยอีกสองเตียงและญาติที่อยู่เฝ้านั้นก็มองมาทางหลินจือทันที
หลินจือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา : “พ่อ พ่อก็รู้ ว่างานฉันเพิ่งจะมั่นคงได้ รายได้ก็ไม่เยอะ ฉันมีเงินอยู่นิดเดียว เดิมทีว่าจะเอาไว้เช่าบ้านต่อ ฉันโอนให้พ่อแล้วกัน”
หลินจือตั้งใจที่จะพูดสถานการณ์ในตอนนี้ของตัวเองออกมาให้คนอื่นๆได้ยิน เพื่อเป็นการเลี่ยงว่าต่อไปชาร์ลีจะมาพูดจากกลับกันว่าเธอไม่เคยจะให้เงินเขาแม้แต่นิดเดียวอีก
ชาร์ลีมองจ้องโทรศัพท์มือถือของเธอแล้วเอ่ยถามขึ้น : “มีเท่าไหร่?”
หลินจือตอบกลับไป : “สองหมื่น”
ชาร์ลีไม่พอใจเป็นอย่างมาก : “สองมีเองเหรอ?”
หลินจือตาแดง : “นี่เป็นเงินสะสมทั้งหมดของฉันแล้ว หลังจากที่ฉันหย่าไปก็ไม่ได้มีงานเลย พ่อคิดว่าฉันจะมีเท่าไหร่กันเชียว แล้วอีกอย่าง ปีก่อนก็ไม่ใช่ว่าฉันให้พ่อไปเป็นแสนกว่าแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เพื่อนคนป่วยที่อยู่ข้างๆทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว จึงพูดเกลี้ยกล่อมชาร์ลี : “แค่นี้ก็ไม่ง่ายสำหรับลูกแล้ว สองหมื่นก็เยอะแล้วนะ อย่างน้อยๆก็สามารถยืดเวลาออกไปได้อีกช่วงหนึ่ง”
อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น : “ใช่ๆ นี่ก็ต้องมาหย่าร้างอีก ชีวิตจะต้องลำบากอย่างแน่นอน อย่าไปทำให้ลูกลำบากใจเลย”
ชาร์ลีรู้สึกอาย ก็เลยทำได้เพียงพูดขึ้นมาว่า : “ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นแกก็โอนมาแล้วกัน”
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ป่วย เธอกลับไปเขาก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เอาเงินสองหมื่นนี่ไปเล่นพนันต่อ
เขาไม่เชื่อ ว่าหลายปีขนาดนี้แล้วเขาจะไม่สามารชนะได้ซักครั้ง