นางฝืนตัวคลานขยับไปข้างหน้า เอื้อมมือไปดึงชายกระโปรงของฉู่สวินหยางอีกครั้ง เอ่ยว่า “ท่านหญิง สกุลฮั่วติดค้างท่าน ข้ากับท่านอ๋องจะเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่านในชาติหน้า แต่ท่านก็รู้ดี เรื่องทั้งหมดนี้ ชิงเอ๋อร์นางไม่เกี่ยวข้องด้วย ภายหลังที่นางรู้ความจริง นางก็ตีตัวเอาใจออกห่างจากข้า เห็นแก่มิตรภาพที่ท่านกับนางเติบโตมาด้วยกัน ข้าขอร้อง ขอร้องท่านอย่าได้พาลโกรธนางเลย ช่วยดูแลนางด้วยเถิด!”
แม้ฉู่สวินหยางจะเด็ดเดี่ยวและอาจหาญ แต่นางมีข้อดีที่ชัดเจนอยู่อย่างหนึ่ง…
คือไม่ระรานผู้บริสุทธิ์
จุดนี้ ฮูหยินฮั่วรู้ดีแต่แรก ดังนั้นนางถึงได้วิงวอนอย่างยากลำบาก ก็เพราะแค่ประโยคสุดท้ายนั่น…
แม้ฉู่สวินหยางจะไม่ทำร้ายฮั่วชิงเอ๋อร์ แต่ฮ่องเต้ทางนั้นก็ไม่แน่
นางกับฮั่วกังจากไปแล้ว ฮั่วชิงเอ๋อร์จะเป็นหญิงกำพร้าไร้ที่พึ่ง หากฮ่องเต้คิดเอาชีวิตนาง ย่อมง่ายดายกว่าบี้มดให้ตายเสียอีก
“ฮูหยินฮั่ว ปากเจ้ายังกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้อีกรึ ตอนนั้นที่พวกเจ้าลอบทำร้ายท่านหญิงกับท่านชายของข้า เหตุใดไม่คิดถึงมิตรภาพของท่านหญิงกับแม่นางฮั่วแล้วเกิดใจเมตตาบ้างเล่า?” ชิงเถิงที่ย้อนกลับมาได้ยินเข้าพอดี รีบปรี่เข้าไปพูดอย่างโกรธแค้น นางไม่ได้คิดร้ายกับฮั่วชิงเอ๋อร์ ทว่ากลับเกลียดชังฮั่วกังสองผัวเมียเข้ากระดูกดำ จึงเอ่ยตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า “ตอนนี้ท่านหญิงข้าไม่ได้พาลโทษนาง เจ้าก็ควรจะรู้สึกขอบคุณมากๆ แล้ว ยังมีหน้ามาขอให้ท่านหญิงข้าไปดูแลนางอีก?”
ปากของชิงเถิงไม่เคยละเว้นใคร แม้คนผู้นั้นจะเป็นฮูหยินฮั่วที่เลือดเข้าตาจน ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดสลับไปมา
ทว่าสิ่งสุดท้ายที่ฮูหยินฮั่วพอจะไขว่คว้าให้ฮั่วชิงเอ๋อร์ได้ มีเพียงความคุ้มครองจากฉู่สวินหยางเท่านั้น
“ท่านหญิง…” ฮูหยินฮั่วเอ่ยเสียงเศร้า ดึงชายกระโปรงของฉู่สวินหยางไม่ยอมปล่อย
ฮั่วชิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างปวดร้าวสุดใจ พยายามแกะมือนางออก เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ท่านแม่อย่าได้ทำให้ท่านหญิงลำบากใจเลย แล้วก็อย่าพูดจาไร้สาระอีก ข้ายังมีท่านอยู่ ข้าไม่ต้องการให้ใครมาดูแล!”
ฝืนทนมาเป็นเวลานาน ฮูหยินฮั่วก็เหมือนตะเกียงที่น้ำมันใกล้จะหมด นิ้วมือถูกนางดึงออก ก่อนจะร่วงลงบนพื้นอย่างหมดแรง
ฉู่สวินหยางไม่ได้รับปากนาง เพียงส่งสายตาให้เจี๋ยหง “พาฮูหยินฮั่วไปที่ตำหนักข้างด้วย!”
“เจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงรับคำ เรียกเฉี่ยนลวี่เข้ามาช่วยเหลือ แต่เพิ่งจะยกร่างฮูหยินฮั่วขึ้นมา เบื้องหน้าก็เห็นเกี้ยวเหลืองอร่ามเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้กับคณะของฉู่อี้อันได้มาถึงแล้ว
“ถวายพระพรฝ่าบาท!” ทุกคนพากันย่อกายคารวะ
ฮ่องเต้มีหลี่รุ่ยเสียงประคองไว้ ด้านหลังที่ตามมาหาใช่ขันทีหรือนางกำนัล แต่เป็นซื่อหรงที่นำอยู่หน้าสุด โดดเด่นไม่เข้าพวกท่ามกลางองครักษ์เงานับสิบนาย
การที่ซื่อหรงกลับมาอยู่ข้างกายฮ่องเต้ได้ ทำให้ฉู่สวินหยางรู้สึกแปลกใจ จึงอดจะมองนางอยู่หลายครั้งไม่ได้
ใบหน้าของหญิงผู้นั้นไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ไร้ซึ่งอารมณ์อย่างเคย นัยน์ตาว่างเปล่าไม่แยแส จมดิ่งกับตัวเอง ไม่สนใจผู้อื่น
หัวใจของฉู่สวินหยางกระตุกเบาๆ ความคิดเลือนลางแล่นเข้าสู่หัวสมอง
ทว่าเบื้องหน้าฮ่องเต้ นางกลับไม่ทิ้งสายตาไว้บนร่างของหลี่รุ่ยเสียง แม้จะเพียงวินาทีเดียวก็ตาม
ฮ่องเต้เสด็จมาอย่างรีบร้อน สายตาคมเพ่งมองด้วยสีหน้าเย็นเยือก ทว่าไม่ได้สนใจใครทั้งสิ้น เพียงหันหน้ามองไปที่เฟิงเหลียนเซิ่งที่กลับมาอีกครั้งพร้อมพระองค์ ตรัสว่า“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
เฟิงเหลียนเซิ่งได้รับการคุ้มกันอย่างดี ทว่าระหว่างต่อสู้กลับพลาดท่า แก้มขวาโดนบาดเป็นรอยแผลบางๆ เสื้อผ้าบนร่างหลุดรุ่ยดูไม่ได้
“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง” เฟิงเหลียนเซิ่งส่งยิ้มให้อย่างไม่ร้อนใจ แต่กลับยกคิ้วสูง แล้วมองไปทางฉู่สวินหยาง เอ่ยว่า “ดีที่ท่านหญิงสวินหยางพาคนมาช่วยหนุน ข้าถึงปลอดภัย!”
สายตานั้น คล้ายจะเจืออารมณ์อันเข้มข้นที่ไม่อาจอธิบายได้เอาไว้
สถานการณ์ขับคันเช่นนี้ ฉู่สวินหยางไม่มีอารมณ์มาต่อบทกับเขา จึงทำเหมือนมองไม่เห็น แล้วเดินไปอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ขณะที่ส่งสายตาให้ฉู่อี้อันวางใจทีหนึ่ง ก็กราบทูลต่อฮ่องเต้ว่า “หยางอวิ๋นชิงปลุกระดมให้ทหารองครักษ์ในมือก่อกบฏแต่ถูกจับได้เสียก่อน เขาถึงรีบหนีออกจากวังหลวง ตอนนี้ท่านพี่กับซื่อจื่ออ๋องหนานเหอกำลังพาคนไปตามจับ คาดว่าไม่นานจะพาตัวเขากลับมาได้ แล้วค่อยส่งตัวให้เสด็จปู่ตัดสินโทษเพคะ”
ฮ่องเต้คล้ายไม่ใส่ใจเรื่องนี้นัก พระพักตร์ชราเต็มไปด้วยไอสังหาร
ฉู่สวินหยางก็ไม่สนใจว่าพระองค์อยู่ในอารมณ์ไหน เพียงเอ่ยต่อไปว่า “เมื่อครู่การต่อสู้ชุลมุนมาก เต๋อเฟยได้รับบาดเจ็บและตื่นตระหนก ตอนนี้พักอยู่ที่ตำหนักข้าง เสด็จปู่จะไปดูหน่อยไหมเพคะ?”
ตอนนี้ แม้ฮ่องเต้จะไม่มีใจคิดห่วงความเป็นตายของเต๋อเฟยคนหนึ่ง แต่ในเมื่อคนมาถึงตรงนี้แล้ว ย่อมไม่อาจทำเหมือนไม่รับรู้
“อืม!” พระองค์ส่งเสียงเย็นตอบ จากนั้นก็สะบัดชายเสื้อคลุม หมุนกายก้าวยาวๆ ไปทางตำหนักข้าง
ด้านหลังมีซื่อหรงที่พาองครักษ์ตามติดไม่ยอมห่าง ไม่ว่าจะเคลื่อนตัวไปทางใด ก็ทำให้คนรู้สึกถึงอากาศเย็นเยือกที่กดทับลงมา
“บาดเจ็บหรือไม่?” ฉู่อี้อันเพิ่งมีโอกาส จึงลอบถามฉู่สวินหยางประโยคหนึ่ง
“ไม่เจ้าค่ะ!” ฉู่สวินหยางส่งยิ้มให้พร้อมกับสายตาบอกให้เขาวางใจ “หยางอวิ๋นชิงทางนั้นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านพี่ ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง!”
ฉู่อี้อันพยักหน้าเล็กน้อย ยกมือขึ้นตบไหล่นางเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก็ก้าวขาเดินตามฮ่องเต้ไปทันที
เฟิงเหลียนเซิ่งเดินเลี้ยวเข้ามาหา
ก็แค่ชั่วเวลาไปกลับ นัยน์ตาที่เข้มข้นด้วยอารมณ์ของเขาจางหาย กลับถูกแทนที่ด้วยความเย็นชากระหายเลือด เอ่ยว่า “เรื่องของเจ้าหก เจ้าก็แค่ถือโอกาสแสดงน้ำใจแก่ข้า ต่อไปนี้พวกเราเดินทางใครทางมัน อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีก!”
ไม่ว่าราชสำนักซีเยว่จะเกิดความวุ่นวายภายในอย่างไรก็ช่าง แต่เห็นชัดว่าเป้าหมายของเฟิงซวี่…
คือต้องการจับปลาน้ำขุ่น คิดเอาชีวิตเขา เฟิงเหลียนเซิ่ง!
แค้นนี้หากไม่ชำระ ตำแหน่งรัชทายาทของเขามิสู้ยกให้คนอื่นไปเสีย
ฉู่สวินหยางเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพ่นลมออกจากจมูก เอ่ยว่า “ทำไม? ข่มขู่ข้ารึ? เรื่องของเจ้าเจ้าก็จัดการเอาเอง เกี่ยวอะไรกับข้า?”
ช่วงนี้เฟิงเหลียนเซิ่งพยายามยกตัวเอง บัดนี้เข้ามาเป็นขุนนางได้ ในสายตาของประชาชน ต่างก็เชื่อว่าเฟิงเหลียนเซิ่งมีใจให้ฉู่สวินหยาง การแต่งงานเชื่อมไมตรีครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมยิ่งนัก