ตอนที่ 332 ตำราหลี่เสวีย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 332 ตำราหลี่เสวีย

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตำรานี้จะเป็นเล่มหนาเตอะ แต่คาดมิถึงว่าเมื่อเหวินสิงโจวยื่นให้เขานั้นกลับเป็นเพียงเล่มบาง ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น

เขารับมาแล้วดูที่หน้าปก พบว่ามีตัวอักษรเขียนไว้

หลี่อี้เฟินจู !

ใช้กฎเกณฑ์ในการปกครอง !

เขาตกตะลึงเล็กน้อย หลี้อี้เฟินจูนี้เป็นหัวข้อสำคัญในราชวงศ์หมิงเมื่อชาติที่แล้ว ชายชราผู้นี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นแน่ ช่างมิธรรมดาเสียจริง

จากนั้นเขาก็เปิดไปที่หน้าแรก หน้าที่หนึ่งนี้มีหัวข้อว่า หลี่ เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่ง

“หลี่คือฟ้าดิน คือรากฐานของมนุษย์ ! สิ่งที่เรียกว่าหลี่ ก็คือนิสัยของมนุษย์ นิสัยนับว่าเป็นหลี่ สิ่งนี้มีเพียงในมนุษย์ จึงได้เรียกว่าเป็นนิสัย”

“นับแต่โบราณกาล จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก่อตั้งสำนักศึกษาขึ้น เพื่อสั่งสอนผู้คนทั่วหล้า…เพื่อลบล้างความบาปในตน ลบล้างความโลภ เพื่อดึงกลับมายังนิสัยเดิมของมนุษย์ จากนั้นพวกเขาจึงจะนึกถึงตนเอง”

“แต่โบราณกาล บิดาและบุตรนับเป็นสายเลือดเดียวกัน จักรพรรดิและขุนนางต้องมีความชอบธรรม สามีภรรยามีความผูกพัน พี่น้องมีลำดับ สหายมีความเชื่อใจ เช่นนี้คือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่…”

ฟู่เสี่ยวกวนอ่านข้อความเหล่านั้นทีละตัว สีหน้าของเขาปรากฏความสงสัยขึ้น และเหวินสิงโจวเองก็จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนเขม็งเช่นกัน เขามิรู้ตัวด้วยซ้ำว่าชาที่รินไว้ได้เย็นชืดเสียแล้ว

เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างช้า ๆ เหวินซีรั่วเดินนำหน้าบรรดาบ่าวรับใช้ถืออาหารเข้ามายังห้องหนังสือ

นางรู้ดีว่าในเมื่อท่านปู่เชิญฟู่เสี่ยวกวนมายังจวน ทั้งสองคงมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกันเนิ่นนานอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกวีและบทความ เกรงว่าคงมิมีเวลาไปกินที่ห้องอาหาร

ผู้ที่มากับนางด้วยนั้นยังมีท่านพ่อของนาง เหวินชังไห่

เหวินชังไห่เมื่อรู้ว่าบุตรสาวลงมือทำอาหารด้วยตนเอง ก็เดาได้ว่าท่านพ่อน่าจะเชิญผู้มีชื่อเสียงมายังจวนอย่างแน่นอน เมื่อได้ยินเหวินซีรั่วกล่าวว่าคือฟู่เสี่ยวกวน เขาก็ได้พยายามระงับอารามตื่นเต้นไว้แล้วตัดสินใจเดินทางมาร่วมรับประทานอาหารกับท่านพ่อที่ห้องอักษรด้วย

เมื่อพวกเขาเดินเข้ามา จึงพบว่าฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเล่มนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนเหวินสิงโจวนั้นมิได้มีท่าทางภูมิใจเช่นทุกที แต่กลับแสดงความกังวลออกมาแทน

เหวินซีรั่วรู้สึกว่านี่ช่างประหลาดยิ่ง นางลอบนึกในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้อายุเพียงน้อยนิด จะเก่งกาจกว่าผู้อาวุโสเช่นท่านปู่ได้เยี่ยงไร ?

เหวินชังไห่ก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขาเดินมาหยุดยังข้างโต๊ะแล้วนั่งลงเบา ๆ เหวินสิงโจวจ้องเขาตาเขม็ง เขายิ้มตอบกลับไปจากนั้นจึงเอื้อมมือไปจับกาน้ำชา จึงได้พบว่าน้ำชาในกานั้นเย็นชืดเสียแล้ว

นับจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมายังโลกนี้เป็นเวลาหนึ่งปีกว่า นี่เป็นคราแรกที่เขาตั้งใจอ่านหนังสืออย่างจริงจัง

เนื้อหาตำราเล่มนี้ทำให้เขาเข้าใจถึงความคิดอันชาญฉลาดของคนในยุคโบราณ และเขายังรับรู้ได้ถึงแนวคิดอันยิ่งใหญ่ของเหวินสิงโจว

ความคิดเหล่านี้คล้ายคลึงกับจูซีในโลกที่แล้วของเขา แต่เหวินสิงโจวได้ทำการสรุปเรื่องการปกครองไว้ด้วย เขานำหลี่กับกฎรวมเข้าด้วยกัน แม้ว่าแนวคิดนี้จะยังมิสมบูรณ์ แม้ว่าแนวคิดนี้จะยังมิราบรื่น แต่ก็นับว่ามาถูกทางแล้ว !

แม้ว่าในตำรานี้จะยังคงหลงเหลือแนวคิดเกี่ยวกับตำราศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง และยังคงให้ความสำคัญกับกฎทั้งสาม มรรคทั้งห้า แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นเพราะการเรียนรู้ตำราศักดิ์สิทธิ์ฝังรากอยู่ในใจของมนุษย์มาช้านาน จึงมิอาจลบออกไปได้ง่าย ๆ แม้แต่ผู้รู้หนังสือจำนวนมากก็มิสามารถหลุดพ้นจากกรอบนี้ได้

อย่างน้อยเหวินสิงโจวก็ได้ก้าวข้ามออกมาแล้วบางส่วน เขาได้เห็นหลี่เสวียอยู่เบื้องหน้าธรณีประตูแล้ว นับว่าเหวินสิงโจวใกล้จะเอื้อมถึงมันเข้าเต็มที

หากเขาพยายามผลักเข้าไปอีกหน่อย คาดว่าประตูบานนั้นก็จะเปิดออกได้ง่าย ๆ

เมื่อเขาอ่านจนไปถึงบรรทัดสุดท้ายก็ได้เงยหน้าขึ้นแล้วลุกขึ้นโค้งคำนับเหวินสิงโจว

“ท่านเหวินคือนักปราชญ์อย่างแท้จริง ! ”

เหวินสิงโจวรีบยกมือทั้งสองขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายฟู่คิดเห็นว่าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะช่วยผลักดันเหวินสิงโจวเสียหน่อย

“ข้ามีความคิดเห็นคร่าว ๆ บางประการ ขอท่านเหวินโปรดรับฟังแล้วพิจารณาโดยละเอียด ! ”

ประโยคนี้ฟังดูแปลกไป ดังนั้นเหวินซีรั่วจึงได้ขมวดคิ้วมองดูแล้วนึกในใจว่าในเมื่อเป็นความคิดเห็นคร่าว ๆ แล้วเหตุใดท่านปู่จึงต้องรับฟังโดยละเอียดกัน ? อีกอย่าง…ตำราหลี่เสวียนี้ข้าได้อ่านมานับครั้งมิถ้วน สามารถยกย่องได้ว่าเป็นตำราระดับประเทศ เจ้ายังสามารถจับผิดสิ่งใดได้อีกกัน ?

แต่ทว่าเหวินสิงโจวได้กล่าวอย่างคาดหวังว่า “ขอเชิญคุณชายฟู่อธิบาย ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เกรงใจ เขาเอ่ยออกมาว่า “ข้าคิดว่ามนุษย์นี้ดำรงอยู่ในใต้หล้า จึงเป็นส่วนหนึ่งของหล้า ท่านเหวินคิดว่าหลี่คือนิสัยของมนุษย์ แต่ข้ากลับเห็นว่า จิตก็คือหลี่ ทุกสิ่งอย่างล้วนออกมาจากจิต ทั้งสี่ทิศคือจักรวาล นับแต่โบราณจวบจนบัดนี้ จักรวาลอยู่ในใจเรา ใจเราก็คือจักรวาล ! ”

ประโยคของฟู่เสี่ยวกวนนี้ ทำให้เหวินสิงโจวชะงักลง ความคิดเห็นนี้แตกต่างจากความเห็นของเขาอย่างสิ้นเชิง

ในความคิดของเขานั้น หลี่คือรากฐานของทุกสิ่ง กำเนิดขึ้นก่อนจักรวาล

แต่ความคิดของฟู่เสี่ยวกวนคือหลี่เกิดมาจากจิต เนื่องจากมีมนุษย์จึงได้มีความคิด จากนั้นจึงมีหลี่

“หลี่ดำรงอยู่ในจิตใจ มิว่าจะเป็นฟ้าดิน มนุษย์หรือสิ่งของ ล้วนอยู่ในใจเรา มนุษย์อยู่กับจิต จิตอยู่กับหลี่ แม้ฟ้าดินจะกว้างใหญ่ แต่หากมีความเมตตา จิตตั้งอยู่ในความดี แม้จะเป็นเพียงคนธรรมดาก็สามารถกลายเป็นนักปราชญ์ได้ ! อีกทั้งยังกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้อีกด้วย ! ”

ประโยคนี้ทำให้เหวินสิงโจว เหวินชังไห่และเหวินซีรั่วที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือพากันตกตะลึง !

ความคิดเห็นเช่นนี้คล้ายจะผิดธรรมชาติไปสักหน่อย คนธรรมดาจะกลายเป็นนักปราชญ์ได้เยี่ยงไร อีกทั้งกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นผู้ใดก็เป็นจักรพรรดิได้เยี่ยงนั้นหรือ ? เช่นนั้นจะมีการแบ่งแยกการปกครองกันเยี่ยงนั้นหรือ ?

จะมิทำให้วุ่นวายไปกว่าเดิมหรือเยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจ เขายิ้มแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ข้าขอเอ่ยถามท่านเหวินว่า ทุกคนล้วนกำเนิดมาจากบิดามารดาของตน ทุกคนล้วนมีหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ แล้วเหตุใดจึงต้องแบ่งชนชั้นวรรณะ ? ”

เขามิได้รอคำตอบจากเหวินสิงโจวแล้วเอ่ยต่อไปว่า “หากเวลาสามารถย้อนกลับไปได้ ให้พวกเรานั้นย้อนกลับไปในตอนที่มนุษย์พึ่งจะถือกำเนิด ในตอนนั้นมีการแบ่งชนชั้นกันแล้วหรือไม่ ? เหตุใดบัดนี้จึงเกิดการแบ่งแยก ? เนื่องจากอารยธรรมของมนุษย์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป มนุษย์จึงมีความต้องการที่จะมีผู้นำ เพื่อต่อสู้กับสัตว์ร้ายและค้นหาเสบียงอาหารต่าง ๆ เป็นต้น จึงได้เกิดการแบ่งงานขึ้น”

“การแบ่งงานนี้เดิมทีทุกคนมีค่าเท่าเทียมกัน มิใช่ว่าผู้ใดที่ทอผ้าได้จะสูงส่งกว่าผู้เก็บผลไม้”

“อารยธรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำจึงจำเป็นจะต้องรักษาตำแหน่งของตนเองเอาไว้ ดังนั้น พวกเขาจึงใช้หลักการแบ่งแยกชนชั้นต่ำสูง จากนั้นจึงถือกำเนิดการศึกษาศักดิ์สิทธิ์อีกทั้งกฎทั้งสามและมรรคทั้งห้าขึ้น”

“กระบวนการทุกสิ่งเป็นไปประมาณนี้ แต่ข้าคิดว่านี่มิยุติธรรม เนื่องจากทุกคนมีเหตุผลของตนเองอยู่ในใจ มิมีความดีและมิมีความชั่ว ความดีและความชั่วคือการเคลื่อนไหวของเจตจำนง การรู้ดีรู้ชั่วคือมโนธรรม ทำความดีละเว้นความชั่วเรียกว่าเก๋ออู้ จิตใจมนุษย์นั้นเดิมทีมิมีความชั่วหรือดี แต่เนื่องจากมีความคิด จึงได้เกิดความดีความชั่วขึ้น”

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาเสียยืดยาว เขาใช้มุมมองการเรียนรู้จิตใจของหวังหมิงหยาง ทำให้อีกสามคนที่นั่งอยู่ในห้องอักษรต่างพากันสับสน

คำกล่าวของเขานั้นล้ำสมัยเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน เมื่อเขากล่าวว่าจักรพรรดิมิได้ถูกประทานมาจากเทพเจ้า ความคิดทั้งสองสิ่งนี้ทำให้สมองของพวกเขาขัดแย้งกัน คล้ายกับว่าจะเข้าใจถึงสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ย แต่ทว่าก็ยากที่จะยอมรับมัน

“เมื่อคราที่ข้าอยู่ในราชวงศ์หยู ข้าเคยได้ยินคำหนึ่ง เรียกว่ากรงนก”

“ข้าเคยกล่าวว่าใต้หล้านี้เปรียบเสมือนกรงนก แคว้นเป็นดั่งกรงนก จวนก็เป็นกรงนกเช่นกัน หากจิตใจไร้ซึ่งอิสระ ทุกสิ่งอย่างก็จะกลายเป็นกรง”

“บัดนี้ข้าคิดว่าควรจะเสริมประโยคหนึ่งเข้าไปว่า แท้จริงแล้วความคิดของมนุษย์ เป็นกรงนกกรงใหญ่ที่กักขังเราเอาไว้ ! ”