ตอนที่ 333 งานเลี้ยง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 333 งานเลี้ยง

อาหารบนโต๊ะได้เย็นชืดไปแล้ว

หลังจากนั้นราวกับฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มิได้รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

หรือบางทีอาจเป็นเพราะวิธีการพูดถึงกรงนกของฟู่เสี่ยวกวนที่ได้ทำให้เหวินสิงโจวรู้สึกตัวขึ้นมา เขาเริ่มสนทนากับฟู่เสี่ยวกวน โดยเริ่มจากเหตุผล และจบลงด้วยวิธีการ

ด้วยเหตุนี้ถึงจะเห็นว่าได้มืดลงเรื่อย ๆ แต่เหวินสิงโจวกลับตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และได้ให้เหวินซีรั่วทำอาหารสำรับใหม่ขึ้นโต๊ะ ทั้งสี่คนนั่งที่โต๊ะ ดื่มสุราไปพลาง และยังคงถกปัญหาไปด้วย

เหวินสิงโจวเปิดรับแนวคิดของฟู่เสี่ยวกวนอย่างช้า ๆ แต่สำหรับเรื่องวิธีการผลักดัน เขายังคงเต็มไปด้วยข้อสงสัย ในสิ่งที่เรียกว่าวิธีการนั้นมีอยู่มากมายหลายแบบจนเกินไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ท่องจำกฎบังคับเหล่านั้นของโลกก่อนมา เพียงแต่กล่าวเค้าร่างไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นั่นทำให้เหวินสิงโจวชื่นชมมากยิ่งขึ้น และยิ่งอยากให้หลานสาวผู้นี้ตบแต่งกับฟู่เสี่ยวกวน

“เจ้ารู้สึกว่าอาหารมีรสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

กล่าวตามจริง ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้หิวจนตาลายแล้ว ตอนนี้เขากำลังยัดอาหารใส่ปากคำโต และพยักหน้า “เลิศรสยิ่ง ! ”

“เยี่ยงนั้น…ข้าจะให้ซีรั่วแต่งกับเจ้า ดีหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่ทันจะได้กลืนลงไป ก็เกือบจะสำลักติดคอตายเพราะประโยคนี้

“แค่กแค่ก ๆ…” เขาหันหน้าออกไปอีกทางและไออย่างรุนแรงอยู่สักพัก ก่อนจะผ่อนคลายลง

“ท่านเหวินเรื่องนี้…”

ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบ เหวินซีรั่วก็เอ่ยขัด นั่นไร้มารยาทเป็นอย่างมาก แต่เหวินซีรั่วกลับไม่ได้สนใจมากนัก หากคนผู้นี้รับปากไปแล้วเยี่ยงนั้นจะทำอันใดได้เล่า ?

ฟังเขากล่าวมาครึ่งค่อนวัน นั่นน่าทึ่งอย่างแท้จริง มองออกไปในใต้หล้า ไม่เคยได้ยินชายหนุ่มที่แก่เรียนเยี่ยงเขามาก่อน แต่เขามิใช่คนที่ข้าเหวินซีรั่วผู้นี้สนใจ !

“ข้าควรอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังเสียเล็กน้อย” เหวินซีรั่วหันมองมาทางฟู่เสี่ยวกวน “ข้าถูกเลี้ยงดูในฐานะบุตรชายตั้งแต่ยังเยาว์ ดังนั้นข้าจึงตั้งปณิธานที่ใหญ่ยิ่งเอาไว้ตั้งแต่วัยเยาว์ ว่าทั้งชีวิตนี้ข้ามิชอบแต่งหน้าแต่ข้าชอบอาวุธ ข้าจะไปเข้าร่วมกองทัพ เหมือนกับที่เจ้าได้กล่าวมา ทุกคนต่างเท่าเทียม บุรุษสามารถเข้าสนามรบเพื่อฟาดฟันศัตรูได้ แล้วเหตุใดสตรีจึงจะทำมิได้กันเล่า ? ”

“ส่วนเรื่องการแต่งงาน ข้าย่อมแต่งอย่างแน่นอน แต่คนที่ข้าจะแต่งด้วยต้องเป็นทหาร อีกทั้งยังต้องเป็นทหารที่เก่งกาจอย่างมากอีกด้วย”

“ข้าชื่นชมในความสามารถของท่าน แต่ท่านมิใช่คนที่ข้าฝักใฝ่ ความรู้สึกในใจ…” นางหันหน้าไปหาเหวินสิงโจว “ท่านปู่เจ้าคะ เพราะหัวใจมีความรู้สึก สิ่งที่ข้าคิดก็คือสิ่งที่ข้าต้องการ ถึงแม้ท่านจะเป็นท่านปู่ของข้า แต่หากต้องกล่าวถึงหลักการทางจิตใจแล้วนั้น ท่านมิมีสิทธิ์ในการแทรกแซงอิสระในการเลือกของข้า ! ”

เหวินสิงโจวผงะ เพิ่งได้เรียนรู้ไปเมื่อครู่ก็สามารถนำมาใช้ได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

นี่จะถือเป็นการโยนหินทุบเท้าตนเองหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะและกล่าวว่า “คำกล่าวของหลานสาวท่านผู้นี้มีเหตุผลยิ่ง ควรค่าแก่การสนับสนุน”

เขาหันไปมองเหวินซีรั่วอีกครา และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ข้ามีพี่ชายอยู่ผู้หนึ่ง เขาเป็นทหาร ขอเล่าให้เจ้าฟังเลยก็แล้วกัน เขาคือทหารที่เจ้ายากจะจินตนาการถึงได้ ในยามนี้เขากำลังฝึกฝนกองทัพทหารที่เจ้ามิเคยพบเห็นในโลกนี้มาก่อน ในยามที่กองทัพนี้ได้ปรากฏตัวออกมาให้ทุกคนได้ประจักษ์ ข้ากล้ารับปากกับเจ้าได้เลย กองทหารทั่วหล้านั้นจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง ! ”

ดวงตาของเหวินซีรั่วเบิกกว้าง “จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้ามิได้หลอกข้าใช่หรือไม่ ? ”

“หากข้ากล่าวว่ากองทัพที่เขาฝึกฝนนั้นสามารถเอาชนะกองกำลังทหารจำนวน 20,000 นายของแคว้นใดก็ได้ด้วยจำนวนเพียงแค่ 2,000 นาย ต่อให้เป็นทหารม้าเกราะหนักก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ? ”

เหวินซีรั่วเบะปาก “แต่ความสามารถในการดื่มสุราของเจ้านั้นมิได้เรื่องเอาเสียเลย ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา “หรือมิเยี่ยงนั้น กองทัพนี้มีนามว่าดาบเทวะ ผู้บัญชาการของกองทัพนี้คือคนที่ข้าจะแนะนำให้แก่เจ้า เขามีนามว่าไป๋ยู่เหลียน ให้เจ้ารอนานที่สุดคือหนึ่งปี ภายในหนึ่งปีนี้ หากมิมีผลการรบที่ยอดเยี่ยมของกองทัพนี้ผ่านเข้าหูของเจ้า ก็ถือว่าข้ามิเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ แต่หากเป็นจริงดั่งที่ข้าได้กล่าวไป…”

“หากเขาเก่งกาจถึงเพียงนั้นจริง ข้าจะแต่งกับเขา ! ”

“มิคืนคำใช่หรือไม่ ? ”

“มิคืนคำ ! ”

“เจ้ามิกลัวว่าเขาจะหน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เพียงแค่เขามิใช่คนพิการ ต่อให้อายุหกสิบปีแล้ว ข้าก็รับปาก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงทันพลัน นางจะมิเลือกหน่อยหรือ ?

เหวินชังไห่กลับจ้องเขาเขม็ง วุ่นวายยิ่งนัก !

…..

…..

ค่ำคืนนี้ภายในตำหนักเจิ้งหยาง ณ วังหลังแห่งราชวงศ์อู๋ก็ได้มีงานเลี้ยงครอบครัวแบบปกติทั่วไป

แน่นอนว่าเป็นจักรพรรดินีเซียวแห่งราชวงศ์อู๋ที่เชิญจักรพรรดิเหวิน อีกทั้งยังมีบุตรชายของนาง รัชทายาทองค์ปัจจุบันอู๋กาน รวมไปถึงบุตรีของนางอู๋จ้าว มาร่วมรับประทานอาหาร

เป็นการจัดการของจักรพรรดิเหวิน เขาต้องการอธิบายเหตุผลเหล่านั้นให้อู๋หลิงเอ๋อร์เข้าใจ

อาหารบนโต๊ะมื้อนี้มีจักรพรรดินีเซียวเป็นผู้ลงครัวด้วยตนเอง ประณีตและเลิศรสยิ่งนัก มิได้น้อยหน้าฝีมือครัวหลวงเลยสักนิด

แต่อู๋หลิงเอ๋อร์กลับมิรู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด ตั้งแต่ที่ได้อ่านความฝันในหอแดงเมื่อปีที่แล้ว ใจของนางก็เฝ้าคะนึงถึงคนผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นถึงขั้นไถ่ตัวหลิ่วเยียนเอ๋อร์ของหลิวหยุนถายให้ด้วยซ้ำ เพื่อให้นางไปที่จินหลิงแห่งราชวงศ์หยู เพื่อที่นางจะได้ทราบข้อมูลของเขาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

มันมิง่ายเลยที่เขาจะมาที่เมืองกวนหยุน แต่เดิมคิดจะเชิญพี่สาวทั้งสองมาดื่มชาด้วยกัน คิดว่าจะกล่าวความคิดของตนเองให้กับพวกนางฟัง คิดว่าพวกนางคงเห็นด้วยเป็นแน่ เยี่ยงนั้นเรื่องของเขาและนางก็เกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว

ส่วนเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรม นับตั้งแต่ที่ได้เห็นเขาประพันธ์บทกวีขึ้นมาด้วยตนเองที่เรือนชิงเสียน ณ เมืองฝานหนิง นางจึงเชื่อว่าชายหนุ่มทั่วทั้งใต้หล้านี้ต่างก็มิใช่คู่มือของเขา ดังนั้น เดิมทีตนเองก็ยังกังวลใจกับราชโองการฉบับนั้นของเสด็จพ่อ แต่แล้วก็มันกลับกลายเป็นยันต์กันภัยชั้นดีให้กับนาง แต่คาดมิถึงว่าเสด็จพ่อจะทรงถอนราชโองการในทันพลัน ทั้งยังมิอนุญาตให้ตนเองไปพบกับเขาอีกด้วย

ท้ายที่สุดเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ด้านในนั่นกัน ?

อู๋หลิงเอ๋อร์คิดเยี่ยงไรก็คิดมิตก อีกทั้งเสด็จพ่อยังกล่าวอีกว่าเจ้าจะทราบในภายภาคหน้า… ภายภาคหน้าเยี่ยงนั้นหรือ หรือว่าต้องให้ข้าอายุแปดสิบก่อนจึงจะสามารถทราบเรื่องนี้ได้

เมื่อพบกับอาหารบนโต๊ะที่เคยชื่นชอบเป็นอย่างมาก อู๋หลิงเอ๋อร์รู้สึกมิเจริญอาหารเอาเสียเลย นางจึงหันไปมองเสด็จพ่อ

จักรพรรดิเหวินลอบถอนหายใจ และเริ่มเอ่ยขึ้นมาว่า “พ่อเคยอยู่ที่จินหลิงช่วงเวลาหนึ่ง เจ้าคงทราบเรื่องนี้แล้ว แต่เจ้ามิทราบว่าในตอนนั้นพ่อนั้นได้ชอบคนผู้หนึ่ง และนาง…ก็คือมารดาของฟู่เสี่ยวกวน สวี่หยุนชิง”

จักรพรรดินีเซียวหันไปมองจักรพรรดิเหวินด้วยความตกตะลึง แต่มิได้ตกใจกับเรื่องนี้ แต่ตกใจที่ว่าเหตุใดจักรพรรดิเหวินต้องเล่าเรื่องนี้ให้กับอู๋หลิงเอ๋อร์ฟังด้วย

อู๋หลิงเอ๋อร์ชะงัก เรื่องรักใคร่ของเสด็จพ่อในวัยหนุ่มนั้นมีอยู่มากมาย แต่เป็นคราแรกที่นางได้ฟังเรื่องนี้อย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นเสด็จพ่อที่ตรัสขึ้นมาด้วยพระองค์เอง !

แต่มันเกี่ยวข้องอันใดกับนางและฟู่เสี่ยวกวนกัน ?

“ช่วงวัยหนุ่มนั้น พ่อและสวี่หยุนชิงได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง หลังจากนั้นสวี่หยุนชิงก็ได้คลอดบุตรชายมา 1 คน…”

จักรพรรดินีเซียวแตกตื่นอย่างเห็นได้ชัด อู๋หลิงเอ๋อร์ตกตะลึงยิ่ง มีเพียงองค์รัชทายาทอู๋กานเท่านั้น ที่ยังคงรับประทานอาหารอย่างออกรส จนมีเสียงดังแจ๊บ ๆ ออกมาจากปากของเขา จักรพรรดินีเซียวเดือดดาลยิ่ง ฝ่ามือตบเข้าที่ศีรษะของอู๋กาน อู๋กานที่โดนตบมีสีหน้างุนงง

“สักแต่จะกิน ๆ ๆ ๆ ! ”

อู๋กานเบิกตาโตอย่างไร้เดียงสา นี่คืองานเลี้ยงในครอบครัว และช่วงนี้เขาก็ถูกเสด็จพ่อสั่งขังอยู่ที่ตำหนักจนมิได้ออกไปที่ใด ข้าจะทานให้มากสักหน่อยแล้วมันจะเป็นอันใดไป เรื่องของเสด็จพ่อเกี่ยวข้องอันใดกับข้ากันเล่า ?

จักรพรรดิเหวินเพียงเหลือบมอง แต่หาได้ใส่ใจไม่ สีหน้านั้นตกอยู่ในสายพระเนตรของจักรพรรดินีเซียว ภายในใจของนางหนักอึ้ง รับรู้ถึงความรู้สึกที่จักรพรรดิเหวินมีต่อองค์รัชทายาทผู้นี้แล้ว

“ในตอนนี้เจ้าได้เข้าใจความหมายของพ่อแล้วใช่หรือไม่ ? ” จักรพรรดิเหวินหันไปเอ่ยถามกับอู๋หลิงเอ๋อร์

อู๋หลิงเอ๋อร์อ้าปากค้างด้วยใบหน้างุนงง “เขา…เป็นพี่ชายของหม่อมฉันเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ”