ตอนที่ 334 ว่าเยี่ยงไรนะ ?

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 334 ว่าเยี่ยงไรนะ ?

ในค่ำคืนนี้มีใครบางคนที่ยากจะข่มตาหลับ

อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่กวนหยุนถายอย่างโดดเดี่ยว มองไปยังฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยท่าทีเศร้าหมอง

เขาเป็นพี่ชายของข้า !

ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหัวสมองของนาง จนทำให้นางมิอาจทำใจเชื่อได้

เหตุใดเขาจะต้องเป็นพี่ชายของข้าด้วย !

เมื่อนึกถึงเรื่องในเมืองฝานหนิง เขาได้ตบลงบนไหล่ของนางอย่างเป็นกันเอง และยังกล่าวว่าข้าเป็นพี่ชายของเจ้าดีหรือไม่ แต่ทว่าบัดนี้เขาได้กลายมาเป็นพี่ชายของนางจริง ๆ แล้ว มันดีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

นางอ้าปากขึ้นแล้วตะโกนออกไปยังทะเลหมอกที่ไร้เขตแดนนี้ว่า “ข้ามิประสงค์ให้เจ้าเป็นพี่ชาย… ! ”

มีเสียงสะท้อนดังก้องกลับมา และกังวานไปทั่วทั้งท้องนภา

……

ณ ตำหนักเจิ้งหยาง จักรพรรดิเหวินได้เสด็จออกไปแล้ว จักรพรรดินีเซียวจึงได้หันพระพักตร์ไปทางบุตรชายของตนด้วยความกรุ่นโกรธ

“คุกเข่า ! ”

อู๋กานจ้องมองไปยังเสด็จแม่แล้วตกตะลึง เขาทำสิ่งใดผิดกัน ?

แต่เขาก็ยอมคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย จักรพรรดินีเซียวจึงได้เงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา “บัดนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง ? ”

อู๋กาน องค์รัชทายาทที่อายุได้เพียง 14 ปีพยักหน้าตอบรับ

“เช่นนั้นเจ้าจงกล่าวออกมาว่าเข้าใจสิ่งใด ? ”

“…หากมิจำเป็นอย่าร่วมมื้ออาหารกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่อีกพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เจ้า… ! ” จักรพรรดินีเซียวจ้ององค์รัชทายาทตาเขม็ง อู๋กานรีบเอ่ยขึ้นทันทีว่า “มิใช่เช่นนั้นเสด็จแม่ ลูกหมายความว่าการที่ลูกร่วมรับประทานอาหารกับท่านทั้งสองอาจทำให้ท่านโมโหได้ ลูกจึงมิประสงค์ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ! นับว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณนะพ่ะย่ะค่ะ ฟ้าดินเป็นพยาน ! ”

จักรพรรดินีเซียวทรงพระแย้มสลวนออกมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุตรชายของตนที่มีความคิดแตกต่างจากผู้อื่นเช่นนี้ นางจะทำเยี่ยงไรได้ ?

“ในค่ำคืนนี้ เสด็จพ่อทรงเลือกฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าหลังจากวันบวงสรวงสู่สวรรค์แล้วเสด็จพ่อคงจะพาเขาไปยังวัดไท่เมี่ยว หากเป็นเช่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็จะเปลี่ยนแซ่เป็นอู๋เสี่ยวกวน และเป็นเสด็จพี่ของเจ้า ตามกฎของราชวงศ์แล้ว ผู้อาวุโสกว่าจะได้เป็นองค์รัชทายาท ที่ตำหนักของเจ้าก็จะกลายเป็นของเขา”

อู๋กานตั้งใจฟังโดยละเอียด แต่ทว่าในใจของเขาไม่เพียงแต่หวาดกลัวหรือคับแค้นใจ ทว่าเขากลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำ

เขามิได้อยากเป็นองค์รัชทายาท !

เป็นองค์รัชทายาทมีอันใดดีกัน ?

ในแต่ละวันต้องทนนั่งฟังคำสั่งสอนของเสด็จพ่อ จะต้องไปนั่งฟังประชุมทุกเช้ารับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ นานาของขุนนาง อีกทั้งยังต้องไปศึกษาตำรากับเหวินสิงโจวในทุก ๆ วัน !

หลิวหยุนถายแห่งทะเลสาบสือหลี่นั้นเขามิได้เดินทางไปสิบกว่าวันแล้ว มิรู้ว่าบรรดานกน้อยจะคิดถึงเขาบ้างหรือไม่

ชีวิตเช่นนี้สำหรับอู๋กานแล้ว เปรียบเสมือนกับกรงนกขนาดใหญ่ เขารู้สึกอิจฉาน้องชายของเขาด้วยซ้ำไป อู๋คุน บุตรชายของพระสนมยวี่ที่อายุน้อยกว่าเขาเพียงครึ่งปีเท่านั้น !

เมื่อปีที่แล้ว เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งให้อู๋คุนเป็นอ๋องและมอบเขตฉางผิงให้แก่เขา เจ้าหมอนั่นคาดว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญแล้วสิ

จักรพรรดิเหวินมีโอรสเพียง 2 คนเท่านั้น เดิมทีเขาคิดว่าชีวิตนี้เขาคงหนีมิพ้นที่จะต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิเสียแล้ว แต่ก็คาดมิถึงว่าจะมีพี่ชายตกลงมาจากสวรรค์เยี่ยงนี้ !

จึงทำให้เขารู้สึกยินดียิ่ง แต่บัดนี้มิอาจแสดงออกมาได้

เขาจึงกล่าวว่า “เสด็จแม่ เสด็จพ่อมิได้กล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสแต่อย่างใดนี่พ่ะย่ะค่ะ”

ขณะที่จักรพรรดิเหวินเล่าเรื่องของเขากับสวี่หยุนชิงออกมานั้น เพียงได้เอ่ยกับอู๋หลิงเอ๋อร์ว่า “เจ้าได้เข้าใจความหมายของพ่อแล้วใช่หรือไม่ ? ”

ในมุมมองของอู๋กานนั้นเขามิเข้าใจมากนัก เสด็จพ่อทรงรู้จักผู้คนมากมาย และหากมีความเกี่ยวข้องกับสวี่หยุนชิงก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติยิ่ง แต่สวี่หยุนชิงแต่งงานกับผู้อื่นอีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายด้วยกัน แล้วจะเอาเหตุผลใดมากล่าวว่าเขาคือโอรสของเสด็จพ่อ ?

จักรพรรดินีเซียวอยากจะตบหัวของบุตรชายแสนโง่เขลาผู้นี้เสียจริง นางกัดฟันแล้วกล่าวว่า “เหตุใดข้าจึงมีบุตรเช่นนี้ได้กัน ! ”

……

รถม้าสีดำทมิฬวิ่งอย่างรวดเร็วบนถนนเมืองกวนหยุนอันกว้างใหญ่

สีหน้าของขันทีเกาเรียบดุจสายน้ำที่นิ่งสงบ มือทั้งสองกำไว้ตรงเข่าทั้งสองข้าง จิตใจของเขามิอาจแน่นิ่งได้อีกต่อไป เนื่องจากจักรพรรดินีเซียวปิดบังเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทกลับเปิดเผยมันออกมา

แม้ว่านั่นจะเป็นคำที่กล่าวในงานเลี้ยงภายใน อีกทั้งตั้งใจให้องค์หญิงไท่ผิงได้รับรู้ แต่จักรพรรดินีเซียวทรงเข้าใจในความหมายของฝ่าบาทเป็นอย่างดี ฝ่าบาทหวังว่านางจะรู้จักกาลเทศะมากกว่านี้ !

ปัญหาก็คือ พวกเขามิรู้ว่าวันใดฝ่าบาทจะทรงประกาศตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนต่อหน้าสาธารณะชน เมื่อถึงวันนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็จะกลายเป็นองค์ชาย และหากจะลงมือกับเขาในตอนนั้นคงจะเป็นการยากเสียทีเดียว

แม้ว่าเขาจะวางแผนลอบสังหารไว้ในวัดหานหลิง แต่จักรพรรดินีเซียวกลับทรงให้เขาเดินทางไปพบโจวอี้สิง

ณ ห้องอักษรแห่งจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา หลังจากที่โจวอี้สิงได้ยินเรื่องที่ขันทีเกากล่าวออกมาก็กระโดดลุกขึ้นทันพลัน

“ว่าเยี่ยงไรนะ ? ”

“ท่านอัครมหาเสนาบดี ฝ่าบาททรงตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง”

จัวอี้สิงขมวดคิ้วแล้วเดินเอามือไขว้หลังไปมาในห้องอักษร

เมื่อวานนี้เขาได้ร่วมดื่มชากับโจวถงถง แห่งหอเทียนจี คนผู้นั้นกล่าวว่าให้เขาคอยระมัดระวังตน อย่าได้ยื่นดาบที่สามออกไป !

เขาเองก็มิได้คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว

“ว่าเยี่ยงไรนะ”ที่เขาเอ่ยมาเมื่อสักครู่ มิได้แปลกใจเพราะตัวตนของฟู่เสี่ยวกวน แต่ทว่าแปลกใจเพราะฝ่าบาททรงตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง !

เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ราชวงศ์อู๋…ชักจะวุ่นวายเข้าไปใหญ่แล้ว !

เรื่องที่ฝ่าบาทมิพอพระทัยองค์รัชทายาทองค์นี้ เป็นเรื่องที่ขุนนางทั้งหลายต่างทราบกันดี และเนื่องจากเรื่องนี้ เหวินสิงโจวในฐานะอาจารย์ของเขายังเคยเอ่ยกับฝ่าบาทว่า องค์รัชทายาทแม้จะชื่นชอบท่องเที่ยวแต่นิสัยเดิมหาได้เลวร้ายไม่ เพียงแค่ต้องการผู้ชี้นำ โปรดทรงให้เวลาองค์รัชทายาทอีกสักหน่อย แล้วเขาจะเข้าใจทุกสิ่งด้วยตนเอง

และเนื่องจากรู้จักนิสัยขององค์รัชทายาทดี ขณะเดียวกันที่แต่งตั้งอู๋กานขึ้นเป็นองค์รัชทายาทนั้น เขาก็ได้เขียนหนังสือถึงฝ่าบาท ขอร้องให้แต่งตั้งองค์ชายสองเป็นอ๋อง มอบเขตฉางผิงให้แก่เขาและให้เดินทางไปที่นั่น

เรื่องนี้ทำให้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่ทะเลาะกับเขาอยู่เนิ่นนาน เนื่องจากพระสนมยวี่เป็นบุตรสาวของหนานกงอี้หยู่ !

แต่เพื่อความสงบสุขของราชวงศ์อู๋ เขาจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้

และเพื่อความสงบสุขของราชวงศ์อู๋ เขาได้ส่งคนไปลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนถึงสองครา แต่นั่นก็เป็นเพียงคำร่ำลือ

เขาต้องการจัดการกับภัยเงียบนี้ให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ทว่าเขาทำผิดพลาด ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีชีวิตอยู่อีกทั้งยังเดินทางมาที่เมืองกวนหยุนแห่งนี้ และยังเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิอีกด้วย

ช่างน่าโมโหเสียจริง !

“จักรพรรดินีเซียวหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

“องค์จักรพรรดินีหมายความว่า…ก่อนวันบวงสรวงสู่สวรรค์ หากฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีชีวิตอยู่ คาดว่านางคงจะต้องตาย”

จัวอี้สิงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เขามองออกไปยังดวงดาวที่เปร่งประกายเหล่านั้น วันบวงสรวงสู่สวรรค์กำหนดไว้วันที่เก้าเดือนสี่ ก่อนหน้าวันคล้ายวันประสูติของไทเฮาหนึ่งวัน

วันนี้เป็นวันที่เก้าเดือนสาม ยังมีเวลาอีก 20 วัน ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตายก่อนวันบวงสรวงสู่สวรรค์ ! มิเช่นนั้น เกรงว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว

“ท่านมีผู้มีฝีมือเท่าใดในมือ ? ”

“ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้ามีผู้มีฝีมือมิน้อย แต่เรื่องนี้จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตมิได้”

โจวเหวินสิงเข้าใจประโยคนี้ดี หากองค์จักรพรรดิทรงทราบว่าจักรพรรดินีเซียวมิพอใจ เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงลงมือกับนาง ดังนั้นการที่ฝ่าบาทเอ่ยเรื่องนี้ออกมาก่อน ก็เพื่อข่มขู่นางให้วางตัวให้ถูก

เช่นนั้นหมายความว่าฝาบาททรงวางแผนไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำได้เพียงแค่ลอบสังหารเท่านั้น

“ฟู่เสี่ยวกวนมีศิษย์แห่งสำนักเต๋าทั้งห้าคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา ล้วนมีฝีมือระดับสูง การที่จะลอบสังหารเขานั้นเป็นไปได้ยาก” ขันทีเกาเอ่ย

โจวเหวินสิงหันหลังกลับมามองขันทีเกา “เป่ยหวังฉวนฝึกฝนธนูอยู่ที่ชางฮ่าย ! ”

ขันทีเกาโค้งคำนับ “ขอบพระคุณท่านอัครมหาเสนาบดีอย่างยิ่ง ! ”