ตอนที่ 272 แสดงความรัก
ตอนที่ 272 แสดงความรัก

ซูหวานหว่านรีบเข้าไปขวางเอาไว้ อย่างไรก็ตามฉีเฉิงเฟิงกลับแทงดาบใส่อากาศ ชั่วพริบตาภาพลวงตานั้นก็ถูกทำลายลง

ดูแล้วชายหนุ่มก็สามารถแยกออกได้ว่าคนคนนั้นไม่ใช่นาง!

เมื่อครู่ฉีเฉิงเฟิงพูดถึงซุนรุย หากแต่ซุนรุยเป็นเพียงเด็กชายคนนหนึ่ง อายุเพียงแค่เจ็ดแปดขวบเท่านั้น นางไปจะไปมีความสัมพันธ์ใดกับเขาได้? แต่ภาพลวงตานั้นไม่รู้ เมื่อเห็นเขาความโกรธก็เล่นตามน้ำต่อไป

“โชคดีที่เจ้าไม่ได้เอาดาบแทงตัวเอง” ซูหวานหว่านเอ่ย แม้ว่าเหตุการณ์มันจะผ่านไปแล้วแต่นางก็ยังคงหวาดผวา

ฉีเฉิงเฟิงเห็นซูหวานหว่านมองมาทางตนด้วยแววตาร้อนรน มุมปากเขาก็ยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้ม “ภรรยา เจ้ากังวลไปไย?”

“ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า!” ซูหวานหว่านเอ่ย เชิดหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจ แต่อย่างไรก็ตามคำพูดเหล่านี้ก็ทำให้หัวใจของนางสับสนวุ่นวาย

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้ภาพลวงตาเหล่านั้นได้หายไปแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไป” ฉีเฉิงเฟิงปัดหิมะบนหัวของซูหวานหว่านออกเบา ๆ จากนั้นหยิบหมวกบนเสื้อคลุมของหญิงสาวขึ้นมาใส่ให้นาง แล้วรีบจูงมือนางออกไปจากตรงนี้

คนขับรถม้าสองคนเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัย “คุณหนู องค์ชายสาม เมื่อครู่พวกท่านทำอะไรกัน? ต่างคนต่างทำท่าทางคล้ายกัน หรือว่านี่จะเป็นการละเล่นใหม่ของคนเมืองหลวงกันขอรับ?”

ซูหวานหว่านไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงพยักหน้า “ใช่”

เอ่ยจบซูหวานหว่านก็พิงขาฉีเฉิงเฟิง เมื่อคนขับรถม้าได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีของทั้งสองจึงหยุดเอ่ย

หลายวันมานี้เมืองหลวงมีหิมะตก จึงไม่ค่อยมีผู้คนออกมาด้านนอกมากนัก ทำให้การเดินทางไม่ติดขัด ไม่ถึงหนึ่งเค่อพวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง หญิงสาวก้าวลงจากรถม้า ก็พบว่าตัวเองอยู่ภายในป่า ใบไม้ใบหญ้าใต้ฝ่าเท้าถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา ใบไม้บนต้นไม้ร่วงโรยจนเตียนโล่ง หากแต่กิ่งก้านของมันกับเต็มไปด้วยผลสีแดงสด

และพวกมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะ ราวกับเป็นขนมรสเลิศ นี่ไม่ใช่ลูกพลับหรอกเหรอ?

ซูหวานหว่านมองมันด้วยสายตาละโมบ ชี้นิ้วไปยังต้นที่อยู่ใกล้ ๆ “อันนั้นดูดีมาก ๆ”

เจ้าแมวน้อยแสนตะกละ!

ฉีเฉิงเฟิงฟังน้ำเสียงที่ตื่นเต้นของนางแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเข้าไปเขย่าต้นของมัน เอาหิมะออก หลังจากนั้นก็เด็ดผลไม้ลูกนั้นให้กับหญิงสาว “มันเย็นเกิน อนุญาตให้กินลูกเดียวเท่านั้น”

“ได้” ซูหวานหว่านรับปาก และเอ่ยขอให้เขาเก็บบางส่วนกลับไปด้วย วางแผนจะเอาไปทำพลับแห้งกิน

พวกเขาสองคนมาถึงอย่างรวดเร็ว และก็จากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลจ้าว ก็พบผู้คนจำนวนมากกำลังยืนออรออยู่หน้าประตู

เมื่อลงจากลงม้า ซูหวานหว่านก็ไม่สนใจว่าคนเหล่านี้คือใครและเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับฉีเฉิงเฟิง ชายหนุ่มเป็นคนถือลูกพลับไว้แทนนาง ทั้งสองต่างหัวเราะอย่างมีความสุขขณะเดินเข้าไปในบ้าน

ผู้คนที่รออยู่ต่างทนไม่ไหวแล้ว จึงตะโกนขึ้นมาว่า “คุณหนูจ้าว ได้โปรดฟังคำสั่ง!”

“คำสั่งของใคร” ซูหวานหว่านหมุนตัวกลับไปมอง ก็พบว่าคนที่รออยู่นั้นเป็นเหล่าขันที จึงเอ่ยว่า “พูดมาเถอะ อากาศหนาวมากพูดเสร็จแล้วก็ไปทำธุระของเจ้าเสีย”

ขันทีคนนั้นรู้สึกขุ่นเคืองกับท่าทีของซูหวานหว่าน นางไม่ได้คุกเข่า อีกทั้งยังพูดจาเหมือนไล่พวกเขาอีก!

“คุณหนูใหญ่จ้าว โปรดคุกเข่าลงและรับราชโองการ! นี่คือราชโองการ!” หัวหน้าขันทีตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งกวาดสายตามองซูหวานหว่าน “อย่าคิดว่าองค์ชายสามอยู่กับเจ้าแล้วเจ้าจะไม่ต้องคุกเข่า! เจ้ารู้หรือไหมว่าราชโองการมีเนื้อหาว่าอย่างไร? สั่งให้แยกเจ้ากับองค์ชายสาม!”

“หื้อ?” ซูหวานหว่านไม่เข้าใจ หากแต่ก็ไม่ได้คุกเข่าลง

ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้ว เขาส่งสัญญาณให้ขันทีคนนั้น และเขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องที่ซูหวานหว่านไม่คุกเข่าอีกต่อไป ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น หยิบราชโองการในมืออีกฝ่ายมาอ่านออกเสียง “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ซูหวานหว่านมิใช่คนมีคุณธรรมอันดีงาม รูปโฉมธรรมดา นิสัยไม่ดีไม่คู่ควรกับองค์ชายสาม จงอย่ายุ่งเกี่ยวกับองค์ชายสาม ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกลงโทษฐานหลอกลวงราชวงศ์”

ทำไมราชโองการนี้ดูไม่ค่อยเป็นทางการเสียสักเท่าไร และเหตุใดน้ำเสียงถึงเหมือนกับการคำพูดของพระสนม ซูหวานหว่านมองไปยังพวกเขา ก่อนจะหัวเราะออกมา “พวกเจ้ากล้านำพระราชโองการนี้มาหลอกข้า ไม่กลัวถูกตัดหัวหรืออย่างไรกัน ตราประทับก็ไม่เห็นมี นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าคิดไปเองหรือเปล่า?”

คนเหล่านั้นต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ คิดไม่ถึงว่าซูหวานหว่านจะรู้ทัน! พระราชโองการนี้ไม่เคยผ่านฮ่องเต้มาก่อน นี่เป็นสิ่งที่พระสนมสั่งให้พวกเขาทำ เพื่อข่มขู่ซูหวานหว่านและทำให้นางเลิกคิดถึงฉีเฉิงเฟิง

ฉีเฉิงเฟิงจับมือของซูหว่านมาไว้ในอ้อมแขนของตน “เจ้าไม่ต้องไปสนใจพวกเขา เจ้าออกมานานขนาดนี้มือเย็นไปหมดแล้ว รีบกลับเข้าไปพักผ่อนเถอะ”

ซูหวานหว่านไม่ขยับเขยื้อน “หรือว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง? เจ้ายังนิ่งเฉยได้เพียงนี้เลยหรือ?”

“ข้านิ่งเป็นปกติของข้าอยู่แล้ว” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ย ทำให้ขันทีเหล่านั้นรู้สึกดีใจ คิดว่าซูหวานหว่านไม่ได้มีความสำคัญใดในใจฉีเฉิงเฟิง แต่ก็เห็นชายหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบแก้มของหญิงสาวเบา ๆ “พวกเขาพูดถึงองค์ชายสาม หากต้องการแยกเราออกจากกัน ข้าก็จะไม่เป็นองค์ชายสามแล้ว!”

นับเป็นเรื่องที่น่าตกใจในประวัติศาสตร์จริง ๆ ที่องค์ชายยอมเสียอำนาจเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว

ผู้คนต่างคือว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังพูดเรื่องขำขัน แต่เมื่อเห็นเขามองหญิงสาว แววตาของเขาช่างอ่อนโยน ทำให้รู้ว่าคำพูดของเขาไม่ใช่เรื่องโกหก

พวกเขามองคนทั้งสองเดินเคียงคู่กัน หากมองดูแล้วพวกเขาช่างเหมาะสมเหลือเกิน ช่วงเวลานั้นพวกเขาคิดว่าคำว่า ‘ไม่เหมาะสม’ ที่ตนเองเอ่ยออกมาช่างเสียดหูเสียเหลือเกิน

ซูหวานหว่านอุ้มลูกพลับไปยังห้องของแม่จ้าว หากแต่ไม่พบนาง หน้าประตูมีสาวใช้แอบหลับอยู่ จึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ฮูหยินล่ะ?”

สาวรับใช้คนนั้นลืมตาขึ้นมองไปที่ซูหวานหว่าน “เอ่อ…คุณหนูมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร? เมื่อครู่ท่านเข้าไปมาแล้วไม่ใช่หรือ นางน่าจะอยู่ภายในห้อง?”

เมื่อครู่นางยังไม่ได้เข้าไปเลย นางยังยืนคุยกับพวกขันทีอยู่ที่หน้าประตู!

คำพูดของสาวใช้คนนี้ ทำให้ซูหวานหว่านนิ่งงัน ลูกพับที่ถืออยู่ในร่วงลงบนพื้น คิ้วของฉีเฉิงเฟิงขมวดเข้าหากันแน่น รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที

“ท่านแม่! ท่านอยู่ที่ไหน?” ซูหวานหว่านร้องถาม แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใด ๆ สาวรับใช้คนนั้นเข้ามาช่วยตามหา หากแต่หาทุกซอกทุกมุมแล้วก็ยังไม่เจอ

เมื่อถามคนทั้งบ้านแล้วว่าแม่จ้าวอยู่ที่ใด แต่ไม่มีผู้ใดรู้เลย ซูหวานหว่านรู้สึกร้อนรนขึ้นมา ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่สือฉินเอ๋อร์หนีไปนางอาจจะปีนกำแพงเข้ามา ใช้ภาพลวงตาพาตัวแม่จ้าวออกไป!

หญิงสาวสั่งให้คนในบ้านทั้งหมดช่วยค้นหา หากแต่ก็ยังไม่พบ

ไม่มีใครในบ้านเห็นแม่จ้าวออกไปไหน!

เมื่อคนยังตามหาไม่เจอ เช่นนั้นแล้วสัตว์จะเห็นหรือไม่ ซูหวานหว่านเงยหน้ามองท้องฟ้า หัวใจของนางเต้นระรัว และไม่สนใจชายหนุ่มที่อยู่ข้างนางอีกต่อไป หญิงสาวเอ่ยให้คนใช้นำขนมออกมาวางเพื่อให้นกกระจอกกิน เพื่อที่จะได้คุุยกับมัน

คนรับใช้วิ่งออกไปเพื่อหยิบขนชนเข้าพ่อบ้านที่วิ่งสวนเข้ามาด้วยเร่งรีบ เขาเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “ คุณหนูใหญ่! วันนี้ท่านอย่าออกไปข้างนอกเลย! ทะเลสาบข้างบ้านของเราพบศพไร้หน้า! ไม่รู้ว่าฆาตกรจะเข้ามาในนี้หรือไม่ ตอนนี้ข้าสั่งให้คนเพิ่มการเฝ้าระวังแล้ว!”

เมื่อฟังไปได้ครึ่งประโยค นางรู้สึกว่ามันเป็นคำรายงานซึ่งมาพร้อมลางร้าย และแอบคิดไปแล้วว่าศพไร้หน้านั่นจะเป็นแม่จ้าว

“พาคนไปยังทะเลสาบ!” พูดจบนางก็เดินออกไปทันที