ตอนที่ 829 หนึ่งประโยค ตัดสินชีวิต

Elixir Supplier

“คงไม่ขนาดนั้นหรอก” หวังรุ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

“มันเป็นสิ สําหรับงานแต่งงาน มีแค่เธอกับเจ้าบ่าวเท่านั้นที่เป็นตัวเอกของงาน” เพื่อนของเธอ พูด “คนอื่นเป็นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น ถ้าเธอยืนอยู่ข้างน้องสะใภ้ของเธอที่ใส่ชุดแบบนั้น ทั้ง เพื่อนฝูงกับแขกคงจะพากันหันไปมองแต่น้องสะใภ้ของเธอแทน เธอต้องฟังที่ฉันพูดนะ”

“ที่เธอพูดก็มีเหตุผล แต่ฉันจะบอกเรื่องนั้นกับน้องสะใภ้ยังไงดีล่ะ?” หลังจากพิจารณาคําพูด ของเพื่อนแล้ว หวังรุ่ยก็เอ่ยถามออกไป “เธอตั้งใจเดินทางมาจากปักกิ่งเพื่องานแต่งของฉันเลยนะ”

“ไม่ใช่เรื่องยาก เธอก็ไปพูดกับน้องชายของเธอ แล้วให้เขาไปบอกกันเองสิ” เพื่อนของเธอ แนะนํา

“ได้”

หวังรุ่ยเรียกหวังเข้ามาคุยเป็นการส่วนตัวและบอกเรื่องนี้กับเขา

“ได้สิ ที่พี่กังวลก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้” หวังเย้าพูด “ผมจะบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวซวีเอง”

พูดตามตรง เมื่อแฟนสาวของเขาสวมชุดนั้น เขาก็มีอาการตกตะลึง แค่คําว่า “สวย” นั้นไม่ เพียงพอสําหรับเธอแม้แต่น้อย

เขาเรียกซเสียวซวีที่กําลังตื่นเต้นอยู่ไปคุยกันอีกด้าน แล้วบอกเธอเรื่องความต้องการของพี่ สาวเขาอย่างอ้อมๆ

“หา?” เป็นอย่างที่คิด หลังจากที่ได้ฟังซูเสี่ยวซวีก็มีท่าทางผิดหวัง แต่เธอก็ยังดีใจที่ได้ยินค่า ชมจากหวังเย้า
“ก็ได้ค่ะ

ในเมื่อทุกอย่างทุกเตรียมเอาไว้เกือบหมดแล้ว ทั้งสองจึงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก พวกเขา เพียงแค่รอให้ถึงวันงานเท่านั้น

หวังเฝ้ามองออกว่าพี่สาวของเขามีความสุขมาก แต่เธอก็ดูกังวลเล็กน้อย ตู้หมิงหยางใหความ รักใคร่และคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอในทุกๆขั้นตอน

“ฉันอิจฉาพวกเขาจังเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

“จริงเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเธอยินดี ผมก็อยากจะแต่งงานกับเธอ”

ประโยคนี้ออกมาจากปากของหวังเย้าอย่างเรียบนิ่ง แต่หลังจากที่ซูเสี่ยวซวีได้ยินเธอก็สั่นสะ
ท่าน

“จริงเหรอคะ?”

“จริงสิ” หวังเย้าพูด

“ได้ค่ะ งั้นเชียนเชิงแต่งงานกับฉันนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดเสียงหวาน “พอฉันเรียนจบ พวกเราก็ แต่งงานกันเลย”

“ได้ เป็นอันตกลงแล้วนะ” หวังเย้าพูด เพียงหนึ่งประโยค เขาก็ตัดสินชีวิตของตัวเองเรียบร้อย

เมื่อฟ้าใกล้มืด ทั้งสองก็ออกจากตัวเมืองเหลียนชานและรีบกลับไปที่หมู่บ้าน

ตอนเย็น หวังเข้าไปที่พักของโจวฉงที่ซื้อไว้ในหมู่บ้านเพื่อดูอาการของคนไข้ เขาดูดีขึ้น แต่ ทั่วทั้งร่างกายของเขายังคงปวดร้าวไม่หาย

“ขอบคุณมากนะครับ เชียนเชิง” เขาเรียกหวังเข้าตามโจวฉง

“อืม วันนี้ยังเจ็บอยู่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

“เจ็บครับ แถมยังดูเหมือนจะเจ็บยิ่งกว่าเมื่อวานด้วยซ้ํา” เขาพูด

“จริงเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมขอตรวจดูอีกที” หวังเข้าตรวจเขาอีกครั้ง “มันไม่ได้เป็นปัญหา ใหญ่อะไร แค่การฟื้นตัวของอวัยวะภายในช้ากว่าที่ผมคิดไว้เล็กน้อยเท่านั้น”

สําหรับอวัยวะภายในที่ได้รับความเสียหาย เพียงแค่ซุปเปยหยวนอย่างเดียวดูเหมือนจะไม่ เพียงพอ

“ผมจะทํายาให้อีกตัว” หวังเย้าพูดกับโจวฉง “มาเอายาพรุ่งนี้ตอนบ่ายนะครับ”

“ได้ครับ เชียนเชิง” โจวฉงพูด

คืนนั้น หวังเข้าไม่ได้ขึ้นไปบนเขา เขานอนอยู่ที่บ้านเพราะซูเสี่ยวซวีนอนค้างที่บ้านของเขา

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น

เช้าวันต่อมา หลังจากมื้อเช้า หวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีก็พากันเดินขึ้นไปบนเขา

พื้นเก็บจากบนเขา

น้ําแร่โบราณ

หม้อต้มสมุนไพร

ทั้งสามคือสิ่งถูกนํามาใช้งานเป็นประจํา

หวังเย้าต้มยาในขณะที่ซูเสี่ยวซวีนั่งอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนเขา เธอยังชงชามาให้เขาหนึ่งกาด้วย

โสม, เชียนฉือ, ตังกุย, หลินจือ, กานเฉา…ซุปเปยหยวน รวมเข้ากับสมุนไพรปู่เดียว เพื่อใช้ ในการรักษาอวัยวะทั้งห้าและบาดแผล รวมไปถึงเสริมความแข็งแกร่งให้กับส่วนที่ไม่ได้รับความ เสียหายไปด้วย มันเป็นสูตรยาที่ทําขึ้นมาเพื่อผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บหนักโดยเฉพาะ

“ดื่มชาก่อนสิคะ เชียนเชิง” ซูเสี่ยวซวีรินชาใส่ถ้วยให้เขา

“ขอบคุณครับ” หวังเข้ารับมาด้วยรอยยิ้ม

“เธอคิดว่ามันน่าเบื่อรึเปล่า?” หวังเย้าถาม

“ไม่เลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีลุกขึ้นไปหยิบผลไม้ เธอกินองุ่นหนึ่งลูก แล้วป้อนหวังเย้าหนึ่งลูก

ถ้าการกระทําของทั้งสองถูกคนภายนอกเห็นเข้า มันคงทําให้หมาโสดนับไม่ถ้วนต้องรู้สึก อิจฉาตาร้อน

ยาสมุนไพรถูกต้มอยู่ในหม้อ

“ยาตัวนี้ใช้ทําอะไรเหรอคะ เชียนเชิง?” ซูเสี่ยวซวีถาม

“มันมีไว้เสริมความแข็งแรง, ปรับสมดุลให้อวัยวะทั้งห้า, และรักษาบาดแผลไปพร้อมกับบํารุง ส่วนอื่นๆของร่างกาย” หวังเย้าพูด “ในหมู่บ้านมีคนไข้ที่พิเศษอยู่คนหนึ่ง เส้นลมปราณและอวัยวะ ภายในของเขาเกิดความไม่สมดุลและได้รับความเสียหาย เขาได้รับยาไปแล้ว การฟื้นฟูของเส้น ลมปราณเป็นไปด้วยดี แต่การฟื้นตัวของอวัยวะภายในของเขากลับช้าเล็กน้อย ผมก็เลยต้องเพิ่ม ยาตัวนี้ให้เขากิน”

“อ่อ”

หลังจากที่ต้มยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้รีบลงจากเขา หวังเย้ากับซูเสียวซวีเดินไป รอบๆภูเขาและได้เห็นผลไม้ตามต้นไม้ต่างๆมากมาย ซูเสียวซวีเสนอให้เก็บบางส่วนลงมา

“ได้สิ เธอเลือกก่อนเลย” หวังเย้าพูด “ถ้าหยิบไม่ถึง ผมจะช่วยเด็ดให้เอง”

ซูเสี่ยวซวีเลือกเด็ดผลไม้ที่เธอเอื้อมถึง

“ลูกนั้นค่ะ เชียนเชิง!” เธอชี้ไปที่ลูกแพรซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินเกือบ 3 เมตร

“ได้ เรื่องนี้ง่ายมาก” หวังเย้าพูด

เมื่อหวังเย้าคว้าไปในอากาศ มันก็ราวกับว่าลูกแพรถูกมือที่มองไม่เห็นจับเอาไว้ กิ่งของมัน โค้งไปตามแรงดึง แล้วอยู่ๆลูกแพรสองลูกก็ลอยมาทางพวกเขา หวังเย้าสะบัดมือเล็กน้อย แล้ว ลูกแพรก็ตกลงไปในมือของซูเสี่ยวซวี

“ว้าว เชียนเชิงสุดยอดไปเลยค่ะ!” ซูเสี่ยวซวีปรบมืออย่างมีความสุข มันดูเหมือนกับการเล่นมา ยากลยังไงยังงั้น

เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของเธอ หวังเย้าก็เด็ดผลไม้มาเพิ่มด้วยวิธีการเดิมอีกหลายครั้ง

“มันเป็นวิชากังฟูแบบไหนเหรอคะ เชียนเชิง?” ซูเสียวซวีถาม

“อืม เรื่องนั้น มันไม่มีชื่อเรียกน่ะสิ” หวังเข้าตอบ

“แล้วฉันจะเรียนวิชาแบบนี้ได้เมื่อไหร่เหรอคะ เชียนเชิง?” ซูเสี่ยวซวีถาม

“เมื่อไหร่เธอสามารถปลดปล่อยพลังฉีออกมาภายนอกได้ ก็เรียนได้แล้ว แต่อาจจะต้องใช้ เวลาหลายปี” หวังเย้าพูด

พลังฉีของซูเสียวซวีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มันเหนือจินตนาการของหวังเข้าไปมาก ความเร็ว ไม่ได้ช้ากว่าจงหลิวชวนที่ขึ้นไปฝึกฝนบนเขาเป็นประจําทุกวันเลยสักนิด ทั้งที่ตัวเธอให้ความสน ใจกับการเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นหลัก เธอมีเรียนตลอดทั้งวันและตารางเรียนถูกจัดเอาไว้จน เต็ม เธอไม่ได้มีเวลาว่างมากเหมือนอย่างจงหลิวชวน ยิ่งไปกว่านั้น สภาพแวดล้อมในหมู่บ้านก็ยัง ดีกว่าปักกิ่งที่เธออาศัยอยู่ จากทั้งหมดนี้ ทําให้เขาได้เห็นถึงพรสวรรค์ในการบ่มเพาะอันน่าอัศจร รย์ของเธอ

“เราเอาผลไม้พวกนี้ลงไปข้างล่างดีไหม?” หวังเย้าถาม

“ดีค่ะ”

ประมาณ 11 โมง ทั้งสองก็ลงมาจากเขาพร้อมกับถุงใส่ผลไม้

“ในตอนแรก ผมยังเคยออกไปขายเกาลัดกับพุทราด้วย” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

“จริงเหรอคะ?”

“จริงส์” หวังเย้าตอบ

นั่นเป็นช่วงเริ่มต้น

“มันอร่อยมากขนาดนี้” ซูเสี่ยวซวีพูด “คงมีคนแย่งจากมือคนอื่นด้วยแน่เลย ใช่ไหมคะ?”

“ก็เกือบเหมือนกัน” หวังเย้าพูด

พวกเขาเดินลงจากเขาและพูดคุยหัวเราะไปตลอดทาง แล้วพวกเขาก็พบเข้ากับเจี้ยจื้อจาย และหูเหมยที่เตรียมจะออกไปข้างนอก

“สวัสดีครับ เชียนเชิง” เจี้ยจื้อจายพูด

“สวัสดีครับ จะออกไปข้างนอกกันเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

“ใช่ ผมไม่อยากทํากับข้าวน่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด “ออกไปกินข้าวด้วยกันเลยสิ เชียนเชิง”

“ไม่ดีกว่า ขอบคุณ” หวังเฝ้าพูด

“โอเค เราไปก่อนนะ”

“ไปกันเถอะ” เจี่ยจื้อจายดึงตัวหูเหมยที่อยู่ในอาการอึ้งเล็กน้อยไปด้วย “เธอเป็นอะไรไป? ป ระหลาดใจเหรอ? เธอสวยใช่ไหมล่ะ? เธอก็แค่สวยน้อยกว่าภรรยาไปนิดเดียวเท่านั้นเอง”

“แฟนของเชียนเชิงชื่อว่าอะไร?” ด้วยสาเหตุบางอย่าง ทําให้ใบหน้าของหูเหมยดูน่าเกลียด

“ฉันไม่รู้ ฉันเคยไม่ได้ถาม ทําไมเหรอ?” เมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของหูเหมย เจี้ยจื้อจายก็กังวล

เล็กน้อย

“ไม่มีอะไร” หูเหมยพูด “ฉันก็ได้แต่หวังว่าจะมองผิดไป”

“เดี๋ยวนะ” สีหน้าของเลี้ยจื้อจายเปลี่ยนไป เขารีบดึงเธอไปที่มุมหนึ่ง

“เธอพูดให้ชัดๆได้ไหม? มันเกิดอะไรขึ้น?” เขาถาม

“นายจําเหล่ามู่ได้ไหม?” หูเหมยถาม

“อืม ฉันจําได้ เขาเป็นคนแปลกๆที่ชอบพึมพํากับตัวเองตลอดเวลา” เจี้ยจื้อจายพูด “เขายัง เชี่ยวชาญเรื่องพิษด้วย ทําไมเหรอ?”

“ครั้งหนึ่ง ฉันเคยรับภารกิจพิเศษร่วมกับเขา” หูเหมยพูด “เขาไปได้สูตรยาสําหรับทําพิษชนิดพิเศษมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มันเป็นพิษที่รุนแรงมากเราได้รับคําสั่งจากจางเหว่ยให้ไปทางใต้เพื่อหาคนมาทดลองยาตัวนี้มันเป็นงานที่ยากมากตอนนั้นเลยมีคนโดนลูกหลงไปหลายคนฉันจําได้ว่ามีเด็กสาวหน้าตาดีมากคนหนึ่งด้วยแล้วเธอก็มีหน้าตาคล้ายกับแฟนของเชียนเชิง!”

“อะไรนะ?” สีหน้าของเจี้ยจื้อจายเปลี่ยนไปทันที “เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้จําผิดคน?”

“แน่นอนสิ ฉันจําไม่พลาดหรอก” หูเหมยพูด“เด็กสาวคนนั้นสวยมากเธอดูบริสุทธิ์และอ่อนหวานฉันจําได้ชัดเลยล่ะตอนนั้นฉันยังรู้สึกเสียใจอยู่เลย”

“เธอชื่ออะไร?” เจี้ยจื้อจายถาม

“ฉันได้ยินชื่อเธอแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เสี่ยวซวี” หูเหมยพูด

“รอเดี๋ยวนะฉันจะลองไปถามดู” เจียจื้อจายโทรหาจงหลิวชวน

“นายมีเรื่องอะไรอีก?” จงหลิวชวนถาม

“นายทําอะไรอยู่?” เจี้ยจื้อจายถาม

“กําลังกินข้าวอยู่” จงหลิวชวนพูด

“แฟนของเชียนเชิงชื่อว่าอะไรเหรอ?” เจียจื้อจายถาม

“นายถามทําไม?” จงหลิวชวนที่อยู่ปลายสายถาม

“เอ่อ ฉันก็ต้องรู้สิว่าภรรยาในอนาคตของอาจารย์ฉันชื่อว่าอะไรน่ะ” เจี่ยจือจายพูด

“ซูเสี่ยวซวี..”