ตอนที่1357 เตะชนแผ่นเหล็ก

 

ชายชราผู้นั้นพลันย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักหวังซ่ง

“เจ้าคงเป็นศิษย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่งกระมัง?”

ชายชราผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย

 

หวังซ่งเร่งโค้งคำนับทันที น้ำเสียงดูอ่อนลงฉับพลันและกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า

“ศิษย์หวังซ่ง สมาชิกตระกูลหวังแห่งเมืองหมิงหยาง เป็นศิษย์สังกัดปฐพีชั้นใน ครั้นหนึ่งเคยโชคดีได้เข้าศึกษาวิชาหลอมกลั่นโอสถของท่านอาจารย์เซียวมาก่อน”

 

 

ชายชราพลันนึกขึ้นได้เมื่อได้ฟังความเป็นมาและกล่าวว่า

“โอ้ เป็นเช่นนี้นี่เอง พินิจจากรูปการณ์ยามนี้คงอยู่ระหว่างการออกมาปฏิบัติภารกิจภายนอกกระมัง? แต่ไฉนถึงมีเรื่องขัดแย้งกับหอมหาสมบัติได้?”

 

หวังซ่งอดตื่นตระหนกมิได้เมื่อได้ยิน ก่อนเร่งอธิบายให้พร้อมชี้นิ้วไปทางเย่หยวนว่า

“ท่านอาจารย์อย่าเข้าใจผิดไป ศิษย์คนนี้มิได้เจตนาขัดแย้งกับหอมหาสมบัติ แต่ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันฆ่าน้องชายของศิษย์ไป ข้ามาเพื่อล้างแค้นแทนน้องผู้ล่วงลับ! ที่สำคัญเลยก็คือ ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้เป็นแค่อาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ จึงไม่นับเป็นคนของมหาสมับิตแต่อย่างใด…”

 

ปรากฏว่า ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับมิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก เซียวเฟิ้ง,หัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติสาขาเมืองหลวงหวูเมิ่ง!

เขาคือเซียวเฟิ้งที่ออกเดินทางไกลเพื่อมาหาเย่หยวน!

 

การที่จู่ๆหวังซ่งก็วิ่งตรงเข้ามาหาเรื่องหอมหาสมบัติเพื่อฆ่าคนโดยเฉพาะ ยามนี้เห็นบุคคลระดับสูงของหอมหาสมบัติมา จะมิให้เราเร่งรีบกล่าวอธิบายได้อย่างไร?

สถานะของเซียวเฟิ้งผู้นี้ภายในเมืองหลวงหวูเมิ่งสูงส่งเกินไป แม้แต่สถานศึกษาหวูเมิ่งยังต้องให้เกียรติเขา มาเป็นอาจารย์รับเชิญเพื่อมาสอนสั่งเป็นบางโอกาส

 

ภาพที่ออกมานับเป็นที่ชัดเจนยิ่ง หวังซ่งมาที่นี่เพื่อก่อปัญหาในหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉาง แต่กลับไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอบุคคลระดับสูงขนาดนี้!

 

หวังซ่งที่กล่าวอธิบายไปดังนั้น ทว่าสีหน้าการแสดงออกของเซียวเฟิ้งยามนี้กลับไม่สู้นักเท่าไหร่นัก ถึงนี่จะดูคล้ายกับคำแก้ตัวเกินไป แต่เขาก็ยังแอบดีใจอยู่เล็กๆ

หวังซ่งเชื่ออย่างยิ่งว่า ในฐานะที่เป็นอาจารย์ย่อมเข้าข้างลูกศิษย์อยู่แล้ว!

 

“เด็กคนนั้นนามว่าเย่หยวน?”

เซียวเฟิ้งกล่าวขึ้นสีหน้าเคร่งขรึม

 

หวังซ่งที่ได้ท่าทีของเซียวเฟิ้งเปลี่ยนไปพลันหลงดีใจหนัก เขารีบพยักหน้าและกล่าวขึ้นอย่างเกลียดชังขึ้นทันที

“ถูกต้องแล้วท่าน ไอ้เด็กเหลือขอนี่แหละ เย่หยวน!”

 

 

ท่าทางการแสดงออกของเซียวเฟิ้งแปรเปลี่ยนอีกระลอก และหาได้สนใจหวังซ่งอีกต่อไป เขารีบตรงเข้ามาหาเย่หยวนและโพล่งกล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า

“โอ้ เจ้าคือเย่หยวนงั้นรึ? เราชายชราขอเรียกว่าน้องเล็กเย่ได้หรือไม่?”

 

ทุกคนถึงกับตะลึงงัน!

 

เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขออนุญาตเรียกเย่หยวนว่า น้องเล็กเย่?

คนที่ตื่นตกใจที่สุดกลับมิใช่ใครอื่นนอกจากหวังซ่ง!

คนอื่นๆกลับไม่รู้จักเซียวเฟิ้งมาเป็นใครมาจากไหน  แต่หวังซ่งกลับตระหนักถึงสภานะศักดิ์อันสูงส่งของชายชราผู้นี้ดีเยี่ยม!

 

แม้แต่ท่านเจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งยังต้องให้ความเกรงใจต่อเขาผู้นี้!

ภายในเมืองหลวงหวูเมิ่ง การจะหาเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ากลับมิใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย

ทว่าหากเป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาว ภายในเมืองหวูเมิ่งกลับมีน้อยจนนับนิ้วได้!

 

กระทั่งหวังซ่งยังต้องนับถือในฐานท่านอาจารย์เหนือหัวเช่นกัน

แต่ท่านอาจารย์เหนือหัวผู้นี้ กลับกำลังขออนุญาตเรียกเย่หยวนว่าน้องเล็กเย่!

นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!

นอกจากนี้ น้ำเสียงของเซียวเฟิ้งที่กล่าวกับเย่หยวนยังแฝงไปด้วย..ความเคารพต่ออีกฝ่าย!

เซียวเฟิ้งผู้นี้กำลังลดศีรษะให้แก่เย่หยวนจริงๆ!

 

แน่นอนว่าเย่หยวนไม่เคยรู้จักกับเซียวเฟิ้งมาก่อน และชายชราผู้นี้ก็มิอาจหยั่งรู้ได้เลยเช่นกัน ยามได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เขาเร่งผสานมือตอบกลับคงรักษากิริยาสุภาพไว้ว่า

“เกรงใจผู้อาวุโสแล้ว ผู้เยาว์ขอสอบถามเล็กน้อยได้หรือไม่ ท่านคงเป็นจอมเทพโอสถสามดาวที่หอมหาสมบัติส่งมา?”

 

เซียวเฟิ้งชะงักตกใจเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราชายชรากำลังเดินทางมาหา? เรียกเราชายชราว่าเซียวเฟิ้งเถิด เป็นหัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติ อืมม…แล้วก็ยังเป็นอาจารย์รับเชิญของสถานศึกษาหวูเมิ่งอีกด้วย”

 

แลเห็นเย่หยวนจับจ้องไปที่หวังซ่งสลับกับตัวเขา เซียวเฟิ้งนึกเข้าใจได้จึงกล่าวอธิบายเสริมเติมต่อลงไป

แค่แรกพบก็ทำให้เขาประหลาดใจได้แล้ว ปฏิกิริยาท่าทางของเย่หยวนกลับดูสงบยิ่งเกินวัย ดูไม่แปลกใจอะไรแม้แต่น้อย ราวกับว่าเด็กคนนี้อ่านสถานการณ์ได้ขาด ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หมดแล้ว

 

เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยและผสานมือกล่าวต่อว่า

“ท่านพกโอสถฟื้นฟูติดตัวมาบ้างหรือไม่?”

 

เซียวเฟิ้งตัวแข็งทื่อในทันใดเมื่อได้ฟัง แต่เมื่อเห็นหยางรุยที่นอนกองกับพื้นเจ็บหนักอยู่เบื้องหลัง เขาก็เข้าใจสถานการณ์ได้ทันทีและหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาให้เย่หยวนโดยไม่ลังเล

“หากเป็นฤทธิ์โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม เกรงว่าร่างกายของเขาไม่สามารถต้านทานได้ไหวเป็นแน่ ข้ามีโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองชั้นสูงอยู่เม็ดหนึ่ง แต่ฤทธิ์ยังคงรุนแรงเกินไป ควรแบ่งกินไปก่อนสักครึ่งเม็ด ประสิทธิภาพโอสถที่ข้าหลอมกลั่นอาจไม่ดีนัก น้องเล็กเย่โปรดอย่าถือสา”

 

 

ยิ่งตอนท้ายประโยค เมื่อทุกคนได้ยินต่างตกใจจนลูกตาแถบถลนออกมา!

เซียวเฟิ้งผู้นี้เป็นถึงจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาว แต่ไฉนถึงต้องถ่อมตัวต่อหน้าเย่หยวนขนาดนี้กัน?

ในฐานที่เป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาว โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองชั้นสูงทุกเม็ดที่หลอมกลั่นล้วนทรงประสิทธิภาพ คุณสมบัติครบถ้วน

แต่เขากลับบอกว่า ประสิทธิภาพโอสถอาจไม่ดีนัก โปรดอย่าได้ถือสา?

 

นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว!

 

เย่หยวนรับโอสถฟื้นฟูพลังระดับสองชั้นสูงมา และหักครึ่งเม็ดป้อนให้หยางรุยกลืนลงไป จากนั้นจึงกล่าวว่า

“ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านปรมาจารย์เซียวเฟิ้ง!”

 

ทุกคนต่างจับจ้องไปที่หยางรุยด้วยความอิจฉาไม่รู้จบ

นั้นเป็นถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองชั้นสูง ต่อให้มีเงินทองมากมายปานใด ก็ไม่มีทางหาซื้อได้เลยภายในเมืองกุยฉาง!

 

“เย่หยวนคนนี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่? ชายชราผู้นั้นเป็รถึงหัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติ! ดูเหมือนว่าสถานะของเขาผู้นี้สูงศักดิ์มิใช่น้อย แม้แต่หวังซ่งยังต้องให้ความเคารพ!”

 

“จะว่าไปแล้ว หากกล่าวถึงเรื่องนี้ก็น่าลึกลับจริงๆ เย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเท่านั้น แต่สามารถปราบปรามวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางได้จนยอมจำนน”

 

“ถูกต้อง! ยังไม่รวมถึงเรื่องโอสถบ่มเพาะปราณอีก! อืม…พวกเจ้าคิดเหมือนกันไหมว่า ชายชราผู้นี้มาที่นี่เพื่อโอสถบ่มเพาะปราณเช่นกัน?”

 

“มีความเป็นไปได้! โอสถชนิดนี้ช่างมหัศจรรย์เกินไป! จนทางเบื้องบนของหอมหาสมบัติมิอาจมองข้ามได้อีกต่อไป จึงส่งชายชราท่านี้มา เหอะ เหอะ พวกตระหวังมันหยิ่งผยองอวดดีก่อน ใน ครั้งนี้เตะชนแผ่นเหล็กเข้าอย่างจัง!”

 

 

…………………..

 

เนื้อความที่เหล่าฝูงชนถกเถียงกันในปัจจุบัน มันก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับความเป็นจริงเช่นกัน

แต่เพียงว่าความเป็นจริงกลับน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่านั้น ที่เซียวเฟิ้งมาหาเย่หยวนก็เพื่อเรียนรู้ศึกษาวิธีหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณโดยเฉพาะ!

จอมเทพโอสถสามดาวเดินทางไกลเป็นเวลากว่าครึ่งปี เพื่อมาให้จอมเทพโอสถหนึ่งดาวสอนวิธีหลอมกลั่นโอสถ ไม่ว่าใครได้ยินต่างไม่มีวันเชื่อได้ลงแม้นต้องตายก็ตาม!

 

หวังซ่งที่อยู่ข้างๆใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาทราบทันทีว่า วันนี้ตนไม่สามารถฆ่าเย่หยวนได้อีกต่อไป

ทว่าเซียวเฟิ้งเองก็อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่กล้าจากออกไปกลางคันเช่นกัน ภาตใต้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ รู้สึกอึดอัดจนน่าประหลาดใจ

 

สิ่งที่น่าขันที่สุดคือ ก่อนหน้าเขาเพิ่งลั่นวาจาไปว่า ตนจักบดขยี้หอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉางและฆ่าเย่หยวนทิ้งซะ แต่บัดนี้ ทั้งหมดกลับเป็นแค่เรื่องอวดอ้างคำโต กลายเป็นเขาที่เสียหน้าอย่างกู่ไม่กลับ

 

โอสถที่เซียวเฟิ้งมอบให้มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงมาก เพียงไม่นาน อาการบาดเจ็บของหยางรุยก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ

เขาพยายามพยุงตัวเพื่อลุกขึ้นคำนับเซียวเฟิ้งด้วยความเคารพและกล่าวว่า

“ประมุขหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉาง,หยางรุง ขอทำความเคารพผู้อาวุโสเฟิ้ง!”

 

เขายังคงรู้สึกตื่นตะลึงไม่คลายอ่อน ก่อนหน้านี้ที่เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อคำกล่าวของเย่หยวน แต่จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ทางเบื้องบนจะส่งเซียวเฟิ้งมาที่นี่จริงๆ!

หยางรุยทราบดีว่า เซียวเฟิ้งผู้นี้เป็นถึงเสาหลักของหอมหาสมบัติแห่งสาขาเมืองหลวงหวูเมิ่ง

 

ก่อนหน้านี้หยางรุยยังแบบคิดเล่นๆว่า มีความเป็นไปได้ไหมที่ แม้กระทั่งผู้อาวุโสเซียวก็ยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณได้?

ทว่าเรื่องนี้กลับเป็นความจริง!

หากผู้อาวุโสเซียวหลอมกลั่นได้ เขาไม่มีทางถ่อสังขารเดินทางไกลมาถึงที่นี่แน่นอน!

 

ยิ่งคิดเท่าไหร่ หยางรุยก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

 

“อืม ลุกขึ้นเถิดประมุขหอหยาง”

 

หยางรุยผงกศีรษะรับคำเซียวเฟิ้ง ก่อนลอบมองเย่หยวนเล็กน้อยพร้อมแววตื่นตะลึงไม่หาย

 

เซียวเฟิ้งหันไปหาเย่หยวนอีกครั้งและกล่าวถามว่า

“น้องเล็กเย่ นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

คนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ในสถานศึกษาหวูเมิ่ง ส่วนอีกคนเป็นสมาชิกคนสำคัญของหอมหาสมบัติ โดยธรรมชาติแล้ว เขาที่เป็นคนกลางจำต้องให้ความเป็นธรรมและเถรตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

เย่หยวนกล่าวขึ้นว่า

“ถูกหรือผิด เรื่องนี้ทุกคนในเมืองกุยฉางสามารถเป็นพยานได้ น้องชายของเขาตายเพราะทำตัวเอง กลับไม่ควรโทษคนอื่น!”

เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนก็เล่าเรื่องเกิดขึ้นทั้งหมดที่เกี่ยวกับตระกูลหวังให้ฟัง ซึ่งนี่ทำให้เซียวเฟิ้งพลันขมวดคิ้วแน่น

 

เซียวเฟิ้งที่ได้ฟังดังนั้น ยามนี้เหลียวกลับมองไปยังหวังซ่งและกล่าวเสียงเข้มขึ้นว่า

“หวังซ่ง มีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”

 

สีหน้าการแสดงออกของหวังซ่งน่าเกลียดยิ่งในขณะนี้ ปรากฏว่าเฉินหย่งหนานกลับมิได้บอกเล่ารายละเอียดพวกนี้ให้เขาฟังเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายบรรยายเพียงว่า เย่หยวนคนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยมเพียงใด ถึงขั้นสังหารหวังซูด้วยวิธีการอันน่าสยดสยอง

ความโกรธทั้งหมดเบี่ยงทิศพุ่งไปที่เฉินหย่นหนานแทน หวังซ่งแทบโพล่งสบถด่าทันควัน

หวังซ่งคาดไม่ถึงเลยว่า เรื่องราวทั้งหมดจะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ตามแต่ ภายในใจของเขาก็ไม่อยากเชื่อว่า หวังซูจะคิดแผนการไร้มโนธรรมขนาดนี้ได้จริงๆ

 

 

น้องชายของเขาต้องการจะฆ่าอีกฝ่ายก่อน หากอีกฝ่ายไม่ตอบโต้คืนก็คงตายแทนเช่นกัน!

 

เมื่อได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลดศีรษะความหยิ่งผยองลงโดยไว

เพราะเขาทราบดีว่า ชายชราที่อยู่ต่อหน้าผู้นี้ไม่ควรยั่วยุเด็ดขาด!

สำหรับเย่หยวน หวังซ่งจำต้องปล่อยผ่านไปก่อน

 

“คือ…ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดของศิษย์เอง ทันทีที่ศิษย์คนนี้รู้ข่าวว่าน้องชายตนถูกฆ่าตาย ก็พลันเดือดดาลโดยไม่ฟังอะไรเลย จึงรีบตรงเข้ามาหวังเพื่อจะล้างแค้นอย่างเดียว”

หวังซ่งก้มหน้าก้มตากล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก

 

“ในเมื่อเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า เช่นนั้นก็จงขอโทษน้องเล็กเย่และปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไป!”

เซียวเฟิ้งเค้นเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยขึ้น