ตอนที่1358 เห็นแสงสว่างทันใด!

 

“พวกตระกูลหวังมันตัวตลกชั้นดีโดยแท้ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง สุดท้ายแทบต้องก้มกราบขอขมา!”

 

“หึ! ไม่รู้ธาตุแท้เลยว่านี่เสแสร้งหรือจริงใจ ขอโทษแบบนี้มีความเต็มใจบ้างหรือไม่?”

 

“พวกตระกูลหวังกลับหาดีไม่ได้สักคน คนน้องเป็นอย่างไร สันดานคนพี่กลับไม่ต่างกันเลย! คนน้องไร้ยางอายปราศจากมโนธรรม ส่วนผู้เป็นพี่คงไม่ดีกว่าเท่าไหร่!”

 

 

…………….

 

หวังซ่งในตอนนี้ถูกนินทาดูถูกต่างๆนาๆโดยฝูงชนรอบตัว การล้างแค้นแทนผู้น้องอันไร้มโนธรรม กลับเป็นเรื่องไร้สาระและไร้เหตุผลสิ้นดี

นี่คือความอัปยศอย่างไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตของหวังซ่ง

ในสายตาของเขา เซียวเฟิ้งลำเอียงเข้าข้างเย่หยวนเกินไป ซึ่งนี่ทำให้เขาขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง

เว้นเสียว่าสถานะของเซียวเฟิ้งในเมืองหลวงหวูเมิ่งกลับสูงส่งเกินไป ลืมไปเลนสำหรับเขา แม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงในตระกูลหวังยังมิกล้ายั่วยุล้ำเส้น

 

“หื้ม?”

เห็นว่าหวังซ่งยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว เซียวเฟิ้งเค้นเสียงเย็นกระตุ้น

 

ทั่วทั้งร่างหวังซ่งสั่นพลันสั่นเทา เขาเอ่ยกล่าวอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิด

“น้องเล็ก เพราะครั้งนี้ข้าวู่วามเกินไป โปรดน้องเล็กให้อภัย!”

ไม่ว่าคำขอโทษนี้จะจริงใจหรือไม่ เย่หยวนก็สามารถมองผ่านอ่านออกทันทีเพียงปราดตาเดียว

 

คนที่มีจิตใจเย่อหยิ่งและเปี่ยมความเกลียดชังจนเป็นนิสัยเช่นนี้ มีหรือจะมองว่าตัวเองนั้นผิด?

 

ทันใดนั้น เย่หยวนร่วนหัวเราะคิดคักและกล่าวเสียงเย็นชืดว่า

“หุหุ ท่านเป็นถึงรองเจ้าเมืองหมิงหยาง เย่คนนี้ไม่คู่ควรตีสนิทชิดเชื้อกับท่านปานนี้จริงหรือไม่? ในภายภาคหน้า หากยังต้องการล้างแค้นเย่คนนี้ ข้าเองก็รออยู่เสมอ!”

 

เซียวเฟิ้งที่อยู่เคียงข้างจุ๊ปากค่อนข้างประหลาดใจ เย่หยวนคนนี้ค่อนข้างบ้าบิ่นอย่างมาก

ขุมพลังอำนาจของตระกูลหวังในเมืองหมิงหยาง เขาเองก็ควรตระหนักชัดแจ้งดีโดยธรรมชาติ

คนธรรมดาทั่วไปกลับไม่ควรไปท้าทายตระกูลใหญ่เลยสักนิด

วาจานี้ของเย่หยวนเปรียบเสมือน ลั่นคำประกาศสงครามกับตระกูลหวังทั้งหมด

หรือเป็นไปได้ไหมว่า เย่หยวนผู้นี้กลับงำประกายคมคายลึกล้ำกว่าที่เขาคิดไว้มาก? กลับเป็นจิ้งจอกมากเล่ห์กล ถึงกับมั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายก้มหัวได้เชียว?

 

เมื่อนึกถึงจุดนี้ เซียวเฟิ้งกลับสลัดความคิดนี้ออกจากหัวอย่างช่วยไม่ได้

พินิจจากอาณาจักรพลังความแกร่งกล้า เท่านี้กลับน้อยเกินไป

แต่หากเป็นเรื่องศาสตร์แห่งโอสถ ความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่าทึ่งอย่างยิ่ง หากสามารถทำให้เขายอมเข้าร่วมฝักฝ่ายกับหอมหาสมบัติได้ จะเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง อย่างน้อยที่สุดก็รับประกันได้ว่า เย่หยวนจะไม่มีอันตรายใดๆหลังจากนี้แน่นอน

 

หวังซ่งเผยท่าทีเก้อเขินขณะกล่าวขึ้นว่า

“ไม่เลย ไม่เลย ไฉนถึงคิดเช่นนั้น? ท่านอาจารย์ ในเมื่อไม่มีสิ่งใดค้างคา เช่นนั้นหวังซ่งขอลา”

 

“ไปเถอะ”

เซียวเฟิ้งเอ่ยตอบเสียงเย็นชืด

เห็นเซียวเฟิ้งกล่าวอนุญาตเช่นนั้น หวังซ่งคล้ายถูกปลดปล่อยและจากไปโดยไวประดุจบิน

 

สถานที่แห่งนี้ เขามิอาจหน้าด้านทนอยู่ได้นานไปกว่านี้แล้ว

ยามสิ้นสุดเรื่องตลกฉากใหญ่ หยางรุยก็เข้าต้อนรับเซียวเฟิ้งเข้าสู่หอมหาสมบัติอย่างเป็นทางการ

 

“หยางรุยคนนี้ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสเซียวจะสละเวลาอันมีค่า ลงมาเยี่ยมเยือนเมืองเป็นการส่วนตัว ทว่าหยางรุยคนนี้กลับไม่สามารถต้อนรับท่านเป็นอย่างดีได้ แถมต้องยังเดือดร้อนท่านอีก โปรดอย่าได้ตำหนิข้าเลย!”

หยารุยกล่าวขึ้นอย่างสุภาพ

จนกระทั้งบัดนนี้ หยารุยก็ยังไม่เข้าใจว่า ไฉนบุคคลอย่างเซียวเฟิ้งถึงเดินทางมาที่เมืองกุยฉางเล็กๆแบบนี้ได้?

หากเป็นเพื่อศึกษาวิธีการหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณโดยเฉพาะ นี่คล้ายจะทำการใหญ่เกินไปหน่อยรึไหม?

 

เซียวเฟิ้งยิ้มและกล่าวว่า

“ข้ามั่นใจว่าเจ้าเองก็คงรู้อยู่แก่ใจ ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาน้องเล็กเย่ โอสถบ่มเพาะปราณชนิดนี้ลึกซึ้งเกินหยั่งถึง!”

 

เย่หยวนกล่าวว่า

“เย่คนนี้เองก็ตกตะลึงมิใช่น้อย ด้วยสถานะศักดิ์ของท่านปรมาจารย์ ถึงขั้นมาที่เมืองกุยฉางเล็กๆแห่งนี้ด้วยตัวเองจริงๆ ขอนับถือท่านปรมาจารย์จากใจ! เย่คนนี้เชื่อว่า สำหรับโอสถบ่มเพาะปราณชนิดนี้ ท่านที่เป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาวน่าจะพอจับจุดอะไรได้บ้างแล้ว”

ต่อหน้าคำกล่าวที่หลุดออกจากปากเย่หยวนเช่นนี้ คล้ายว่าจอมเทพโอสถหนึ่งดาวกำลังสอนสั่งจอมเทพโอสถสามดาวอยู่ ไม่ว่าใครมาเห็นกลับดูจะไร้สาระเป็นอย่างมาก

เว้นเสียแต่ว่า ทั้งเซียวเฟิ้งและหยางรุยกลับรู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านี้หาได้ผิดปกติอะไร

 

เซียวเฟิ้งเป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาว ทว่าโอสถศักดิ์ระดับหนึ่งอย่างโอสถบ่มเพาะปราณกลับไม่สามารถหลอมกลั่นได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า โอสถชนิดนี้มันน่าทึ่งเพียงใด

เพราะอันที่จริงแล้ว เย่หยวนไม่เคยรู้เลยว่า จอมเทพโอสามดาวนั้นน่าประทับใจขนาดไหน ขอบเขตในระดับชั้นนี้หวูเฉินยังไม่เคยพรรณนาให้เขาฟัง

จนกระทั้งเย่หยวนได้เห็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองที่เซียวเฟิ้งหลอกลั่นขึ้นมาเอง ยามนี้เขาก็ตระหนักได้แล้วว่า นี่มิใช่สิ่งที่สามารถดูถูกได้เลยแม้แต่น้อย

 

“พวกเขาทุกคนดูท่าจะฉงนใจมิใช่น้อย น้องเล็กเย่…พวกเรามาเริ่มกันเลยดีหรือไม่?”

เซียวเฟิ้งกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

 

เย่หยวนหาได้มีเจตนาสานเรื่องราวต่อความยืดอันใด พร้อมกล่าวตอบไปตามตรงว่า

“หากผิดพลาดประการใด ท่านปรมาจารย์เซียวโปรดชี้แนะ!”

 

 

 

…………………………

 

 

 

หวังซ่งมิได้ออกจากเมืองกุยฉางไปทันที แต่เขาเดินทางเข้าไปที่ตำหนักเจ้าเมืองโดยตรง

เมื่อเห็นหน้าเฉินหย่งหนาน หวังซ่งก็อดหงุดหงิดมิได้ และสาดสาจาบ่นเอ็ดชุดใหญ่

 

“โอ้พี่หวังสุดที่รักของข้า! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าท่านอาจารย์เซียวจะปรากฏตัวขึ้นในเมืองกุยฉาง? ดูท่าโอสถบ่มเพาะปราณจะเป็นข่าวใหญ่สะเทือนทั่งทั้งมหาพิภพถงเทียนจริงๆ จนเบื้องบนของฝ่ายหอมหาสมบัติไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป! แต่เป็นไปได้ไหมว่า…แม้แต่ท่านอาจารย์เซียวเองก็ไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาพปราณขึ้นมาได้ มิฉะนั้นจะถ่อมาถึงที่นี่เพื่อเหตุใด?”

 

เมื่อกดล่าวถึงจุดนี้ เฉินหย่งหนานและหวังซ่งพลันสบสายตากันโดยพร้อมเพรียง ต่างฝ่ายเผยความประหลาดใจสาดสะท้อนออกมาชัดเจน

โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง ที่แม้แต่จอมเทพโอสถสามดาวก็มิอาจหลอมกลั่นได้ นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป

พวกเขาทราบเพียงว่า โอสถบ่มเพาะปราณเป็นโอสถมากประสิทธิภาพ แต่ใครใคร่รู้ว่า การหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ขึ้นมามันยากเย็นเพียงใด

พินิจวิเคราะห์จากภายใต้สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงว่าเซียวเฟิ้งจะมาที่นี่เพื่อศึกษาวิธีหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณจริงๆ

 

“โอสถบ่มเพาะปราณมันน่าทึ่งขนาดนั้นจริงๆรึ?”

หวังซ่งขมวดคิ้วกล่าวขึ้นพร้อมความสงสัย

 

“หึ น่าทึ่งเกินบรรยาย! ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้รับโอสถบ่มเพาะปราณขั้นยอดเยี่ยมมาจำนวนหนึ่ง เจ้าพอจะคาดเดาผลลัพธ์ได้หรือไม่?”

เฉินหย่งหนานเอ่ยถามขึ้น

 

“หื้ม?”

หวังซ่งที่ได้ฟังดังนั้นพลันเค้นเสียงคำหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

“เรื่องอาณาจักรพลังกลับซ่อนกันไม่ได้ ท่านเองก็ควรทราบดี อาณาจักรพลังของข้าหยุดนิ่งมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว แต่หลังจากที่กินโอสถบ่มเพาะปราณลงไป ผลเป็นอย่างไรท่านลองตรวจสอบดูเลย!”

 

คู่สายตาของหวังซ่งหรี่แคบกลายเป็นจริงจัง ญาณสัมผัสเข้าพินิจพิจารณาอีกฝ่ายโดยละเอียดก่อนโพล่งขึ้นด้วยความตกตะลึงสุดขีด

โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางมีผลต่ออาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง?! นี่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!

 

ในที่สุดหวังซ่งก็ทราบแล้วว่า ไฉนเซียวเฟิ้งถึงต้องเดินทางมาที่เมืองกุยฉางด้วยตัวเอง

เย่หยวนคนนื้ทรงคุณค่าเกินไป!

 

สีหน้าการแสดงออกของหวังซ่งดูน่าเกลียดอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ต่อไปนี้กลับมิใช่เรื่องง่ายแล้วที่จะฆ่าเย่หยวน

 

“เรื่องนี้กลับเป็นปัญหาแล้ว! ในเมื่อท่านอาจารย์เซียวหนุนหลังผู้เป็นศัตรูของน้องชายข้าอยู่ ชาตินี้ข้าไม่มีทางล้างแค้นได้แน่นอน!”

หวังซ่งกีดฟันกรอดพร้อมกล่าวด้วยความเกลียดชัง

หากไม่สามารถฆ่าเย่หยวนให้ตายคามือได้ คงยากที่จะปัดเป่าความเกลียดชังนี้ออกจากหัวใจ

เฉินหย่งหนานเองก็รู้สึกปวดเศียรไม่ต่าง ที่เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่กล้าออกไปไหนก็เพราะเย่หยวน เขาแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีอีกแล้วในเมืองกุยฉางแห่งนี้

 

แต่ทันใดนั้นเอง เฉินหย่งหนานก็นึกความคิดอะไรดีๆออกและกล่าวขึ้นว่า

“พี่หวัง ในเมื่อหอมหาสมบัติได้รับสูตรโอสถบ่มเพาะปราณมา ไฉนเราไม่ไป…รายงานเรื่องนี้กับฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองหลวงกันล่ะ!”

 

คู่ดวงตาพราวประกายสว่างขึ้นทันที หวังซ่งตบเข่าดังฉะและกล่าวตอบโดยไวว่า

“ไม่ต้องสงสัยเลย ฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองหลวงไม่มีทางพับแขนงอขาอยู่เฉยๆแน่นอน! แต่ไม่ว่าอย่างไร ตราบใดที่ไอ้เด็กเหลือนั้นซ่อนตัวอยู่ในหอมหาสมบัติ พวกเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน!”

 

เฉินหย่งหนานถอนหายใจเสียงยาวพร้อมกล่าวว่า

“ในตอนนี้ พวกเราทำได้เพียงค่อยๆเป็นค่อยๆไปเท่านั้น”

 

 

 

……………………

 

 

วันเวลาผ่านไปอีกครึ่งปี

แม้แต่เซียวเฟิ้งยังไม่คิดไม่ฝัน ว่าเขาจะติดปัญหาในขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะพลังเกือบครึ่งปีเต็ม!

เมื่อได้ฟังเย่หยวนอธิบายเกี่ยวกับหลักการสำหรับหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณ เซียวเฟิ้งพลันพบว่า ตนมีความเข้าใจต่อโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งลึกซึ้งขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ

ในทางตรงกันข้าม ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งค้นพบว่า สิ่งที่ตนไม่เคยรู้กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ!

 

ปรากฏว่า โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งยังมีเรื่องราวอันลึกซึ้งอีกมากมายให้ศึกษา!

ถึงขั้นที่ว่าเซียวเฟิ้งพลางคิดกับตัวเอง เขามองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปได้อย่างไรในอดีต?

 

“เมื่อได้สนทนากับน้องเล็กเย่ ข้ารู้สึกว่า ตนได้รับประโยชน์มากมายเสียยิ่งกว่าฝึกปรือด้วยตัวเองนับสิบปี! น้องเล็กเย่ ครึ่งปีที่ผ่านมานี้…เจ้าทำให้เราชายชราได้เห็นแสงสว่าง!”

เซียวเฟิ้งกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยคำขอบคุณ

 

 

เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า

“ผู้อาวุโสเกรงใจแล้ว มีหลากหลายมุมเช่นกันที่เย่คนนี้ได้ขยายขอบเขตอันไกลโพ้น ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อเย่คนนี้เช่นกัน”

เย่หยวนมิได้เอ้ยปากชมเป็นมารยาท แต่ระดับชั้นจอมเทพโอสถสามดาว ต้องกล่าวเลยว่าเซียวเฟิ้งผู้นี้สมควรได้รับมันแล้ว

ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถของเขาลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าเย่หยวนอย่างชัดเจน

หลายสิ่งหลายอย่างในมุมมองของเขา ค่อนข้างกว้างไกลกว้างเย่หยวนมาก ยามได้สัมผัสแลกเปลี่ยนความรู้กัน เย่หยวนเองก็ได้ผลกำไรมิใช่น้อย

แท้ที่จริงแล้ว ครึ่งปีที่ผ่านมา ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกันเสียมากกว่า

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เซียวเฟิ้งก็อดประหลาดใจมิได้เลย

ความเร็วในการเรียนรู้ของเย่หยวนค่อนข้างสูงมาก บางแง่มุมที่คลุมเครืออย่างมาก จนแม้แต่เขาไม่สามารถอุปมาอุปไมยได้ ทว่าเย่หยวนกลับสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง!

 

ในที่สุดเซียวเฟิ้งก็ตระหนักได้แล้วว่า เหตุใด เย่หยวนถึงสามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ขณะที่เขาไม่สามารถหลอมกลั่นได้เลย!