บทที่ 450 สนทนา

บทที่ 450 สนทนา

นอกจากชั้นหนังสือที่วางขนานกันสองฝั่งแล้ว ภายในห้องของจางจงเหลียงก็ไม่มีโต๊ะอยู่เลย ตัวเจ้าของห้องนั้นนั่งสมาธิอยู่บนฟูกที่อยู่กลางห้องซึ่งตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นธูปรอบ ๆ ตัวจนดูลึกลับ

“นั่งก่อนสิ”

แม้จะไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าผู้ที่เข้ามานั้นคือเซียวเฟิง เพราะงั้นจึงเอ่ยขึ้นมาก่อน

ที่ด้านหน้าเขานั้นมีฟูกอยู่อีกสามผืน ซางกวนซีเฟยและจางเสี่ยวหยูช่วยประคองเซียวเฟิงนั่งลงที่ฟูกตรงกลางก่อนจะนั่งตามลงไปประกบด้านซ้ายและด้านขวาอย่างสงบ

“ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงได้หายตัวไปเมื่อห้าปีก่อน?” ดวงตาที่ปิดสนิทนั้นไม่ได้ลืมตาตื่น และแม้จะกล่าวถามลอย ๆ แต่เซียวเฟิงก็รับรู้ได้ว่าคำถามนั้นหมายถึงใคร

“เมื่อห้าปีก่อน…ช่วงที่ผมเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลกที่ยุโรป ผมถูกปองร้าย เริ่มจากถูกวางยาในเครื่องดื่มก่อนจะลงแข่ง และหลังจากที่แข่งชนะก็รู้สึกว่าตัวเองจะโดนลอบสังหารอีก ก็เลยต้องหนีไปให้ไกล”

เซียวเฟิงเล่าความจริง เขาถือว่าทุกคนในที่นี้คือคนในที่สามารถเชื่อถือได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก

“แล้วเจ้าได้เจอตัวบงการเบื้องหลังหรือยัง?” จางจงเหลียงคิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาถามต่อหลังจากครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง

“ผมกำลังตามหาคนคนนั้นอยู่ แต่จากการที่พยายามทำทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม” เซียวเฟิงตอบ

“พยายามหาต่อไป พยายามสร้างเบาะแสให้ได้หากสิ่งนั้นยังไม่มี” จางจงเหลียงขมวดคิ้ว

“นั่นก็กำลังทำอยู่” ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงมิดซัมเมอร์กรุ๊ป หรือการเข้าแข่งขันการประลองของมิธ ทุกสิ่งอย่างนั้นเซียวเฟิงทำเพื่อหาเบาะแสของผู้ที่อยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว

“ร่างกายของเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว? เจ้าฝึกฝนศาสตร์ทมิฬสายกอร์ฟีนอย่างงั้นหรือ?” ในที่สุดจางจงเหลียงก็ลืมตาขึ้นมา

เขาเป็นพ่อแท้ ๆ ของเซียวเฟิง แต่วันนี้เซียวเฟิงกลับทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคย ไม่เพียงแต่ร่างกายที่เปลี่ยนจากเด็กอ้วนตัวเล็กกลายเป็นหนุ่มผอมเพรียวไปแล้วเท่านั้น ตัวเขายังดูเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งเอ่อล้นออกมาอีกด้วย

ทุกท่านควรจะรู้กันไว้ก่อนว่าเซียวเฟิงนั้นแต่เดิมแล้วเป็นเพียงคนธรรมดา เขาไม่ได้รับมรดกทางพันธุกรรมตกทอดจากทางตระกูลจางเหมือนคนอื่น ๆ นั่นหมายถึงเขาแทบจะสู้ใครไม่ได้เลยในรุ่นเดียวกัน ทว่านี่ตัวเขากลับเอาชนะหัวกะทิอันดับต้น ๆ ของรุ่นได้อย่างอยู่หมัดเสียอย่างนั้น!

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือความโดดเด่นและน่าอัศจรรย์ของเซียวเฟิงที่ได้แสดงให้เห็นผ่านการต่อสู้ที่โหดเหี้ยมโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ความโหดเหี้ยมที่รังสรรค์ความแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัว สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้จางจงเหลียงไม่สามารถปล่อยวางได้

“ไม่ใช่ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อตอนที่กำลังหลบหนี ผมโดนองค์กรวิจัยเกี่ยวกับพันธุกรรมที่ค่อนข้างน่ากลัวจับตัวไป และโดนใช้ร่างในการทดลอง คนพวกนั้นนำผมไปทดลองกับการปลูกถ่ายพันธุกรรมใหม่ และการทดลองนั้นได้ผล ร่างกายนี้ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ”

น้ำเสียงของเซียวเฟิงค่อนข้างที่จะใจเย็นมาก ๆ ราวกับว่ากำลังพูดเรื่องไม่สำคัญ ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่หลุดออกมาจากปากเขานั้นทำให้ซางกวนซีเฟยและจางเสี่ยวหยูพากันหน้าซีดไปทั้งคู่ พวกเธอถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองไว้และมองเซียวเฟิงด้วยความตกใจ

เช่นเดียวกับจางจงเหลียง เขามองเข้าไปในแววตาของเซียวเฟิง ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ข้างใน เจ้าตระกูลผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ถึงกับนั่งเงียบไปอยู่นานก่อนจะพูดต่อ

“ทุกสรรพสิ่งบนโลก ล้วนมีการเกิดขึ้นและตั้งอยู่ภายใต้ข้อจำกัด เมื่อสิ่งหนึ่งได้เติบใหญ่ อีกสิ่งหนึ่งก็จะถดถอย นี่เป็นกฎที่รัดตรึงจักรวาลแห่งนี้เอาไว้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ก็ใช่ว่าไม่มีข้อแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายของมันเองก็สูงมากเช่นกัน จงเหมาได้ตรวจดูเจ้าแล้ว หากเจ้ายังใช้พลังนี้อยู่ ร่างกายและชีวิตของเจ้าจะต้องทรุดหนักภายในสิบปีแน่ ๆ ”

จางจงเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จงเหมา คือชายเครายาวที่ปรากฏตัวไปก่อนหน้า จางจงเหมา คนนี้ได้ทำการตรวจสอบร่างกายของเซียวเฟิงไปแล้วขณะที่เจ้าตัวสลบไสลอยู่ เซียวเฟิงในตอนนี้ แม้จะดูว่องไว กระฉับกระเฉง และทรงพลังมาก ๆ แต่ในความเป็นจริงมันคือการเผาผลาญพลังชีวิตของตนเอง ซึ่งนับว่าเป็นการเสี่ยงที่น่ากลัวมาก เซียวเฟิงจะอยู่ได้ไม่ถึงสิบปีหากยังปล่อยให้ร่างกายใช้พลังนี้บ่อย ๆ!

เพราะงั้นนี่จึงเป็นสาเหตุให้พวกเขาเตรียมยาจีนมาให้เซียวเฟิงดื่ม

“พี่ชาย! เรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ยังไงน่ะ!?”

“ท่านเซียว…”

ซางกวนซีเฟยและจางเสี่ยวหยูที่ปิดปากไว้ก่อนหน้านั้น ณ ตอนนี้สีหน้าของพวกเธอดูซีดเผือดมากกว่าเดิมเสียอีก ทั้งสองมองเซียวเฟิงด้วยแววตาที่ตกตะลึง

“ไม่เป็นไรน่า ฉันรู้เรื่องร่างกายของฉันดี มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก”

เซียวเฟิงปลอบทั้งสองสาวไปพร้อม ๆ กัน เขารู้อยู่แล้วถึงผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากที่ใช้ชูร่าและไร้เทียมทานไปพร้อม ๆ กัน นั่นคือการที่เขาจะต้องเสียพลังชีวิตในอนาคตไป นอกจากนี้ยังรู้ตัวดีอีกว่ามันไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่จางจงเหลียงพูด

แต่เพราะหลายวันมานี้เขาใช้ความสามารถทั้งสองอย่างติดต่อกันเรื่อย ๆ มันเลยทำให้ร่างกายของตัวเองอ่อนแอลงและดูจะฟื้นกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ไหว ยังไงเสียร่างกายของเซียวเฟิงก็ถูกดัดแปลงใหม่เพื่อให้รับมือกับความแข็งแกร่งเหล่านี้อยู่แล้ว การฟื้นตัวเซลล์ของเขานั้นจัดว่าอยู่ในระดับสุดยอดแล้ว ดังนั้นจึงไม่อ่อนแออย่างที่ทุกคนคิด

“เจ้าควรจะกังวลเกี่ยวกับพลังที่คล้ายกับศาสตร์ทมิฬเหล่านี้ไว้ให้ดี ยิ่งใช้น้อยมันก็ยิ่งเป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง ไว้รอลุงของเจ้าสะสางงานเสร็จแล้ว ข้าจะเชิญให้เขามาช่วยถ่ายทอดปัญญาแห่งจางให้แก่เจ้า มันเป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง เป็นผลดีมาก ๆ”

เมื่อเห็นว่าเซียวเฟิงทำเหมือนเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จางจงเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ด้วยคำพูดนั้น เซียวเฟิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกและมองจางจงเหลียงด้วยความเงียบสงบ ไม่เพียงจางจงเหลียงต้องการจะให้เขาได้รับการถ่ายทอดปัญญาแห่งจางเท่านั้น แต่คนคนนี้ยังพูดถึงลุงของเขาด้วย

การที่ตระกูลจางสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะหัวใจสำคัญของตระกูลอย่าง วิชาดาบและปัญญาแห่งจางถูกสืบทอดลงมาเรื่อย ๆ และการที่จะแบ่งว่าคนไหนจะถือเป็นคนนอก คนไหนจะเป็นคนใน ก็แบ่งกันด้วยสิ่งที่ถูกสืบทอดในตัวคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ท่ามกลางหัวใจทั้งสองดวงนี้ ปัญญาแห่งจางถือเป็นสิ่งที่แม้แต่คนในตระกูลจางแท้ ๆ ยังยากที่จะรับไว้ในกายได้ อย่างน้อย ๆ จากที่เซียวเฟิงรู้สึกได้ จางเสี่ยวหยูก็ไม่ควรค่าแก่สิ่งนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอคนนี้คือผู้ที่จะมาเป็นเจ้าตระกูลคนต่อไปแท้ ๆ ดังนั้นแล้วไม่ต้องพูดถึงฉิ่งเอ้อ ข้ารับใช้แห่งคมดาบเลย

เช่นนั้นการที่จางจงเหลียงพูดว่าจะให้เซียวเฟิงได้รับการสืบทอดปัญญาแห่งจาง นั่นหมายถึงเขายอมรับแล้วว่าเซียวเฟิงเป็นคนในตระกูลจาง การยอมรับนี้ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เนื่องจากเมื่อห้าปีก่อนเขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนนอกตระกูลไปแล้วเพราะละเมิดกฎร้ายแรง มิเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปจากตระกูลจางเช่นนี้ การกระทำของจางจงเหลียงมันไม่เพียงแค่ไม่ซักไซ้ถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แต่ยังปฏิบัติกับเขาเฉกเช่นผู้สืบทอดอย่างแท้จริงอีกด้วย!

แม้จางจงเหลียงจะเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเซียวเฟิง แต่เขานั้นก็ไม่ได้ดูแลเซียวเฟิงเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ตัวเขายังถือการนั่งสมาธิเป็นหลักและไม่ฝักใฝ่ในสิ่งใด เมื่อครั้งเซียวเฟิงยังเป็นเด็ก ตัวเขาก็ไม่ได้มอบความอบอุ่นให้แก่เด็กคนนี้นัก นอกจากนี้ยังไม่ปฏิบัติกับเซียวเฟิงอย่างเท่าเทียมเหมือนเด็กคนอื่น ๆ จนมันกลายเป็นแผลใจที่ทำให้ทัศนคติมุมมองของเซียวเฟิงที่มีต่อจางจงเหลียงนั้นค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อย

แต่ยังไงสิ่งที่ทำให้เซียวเฟิงเงียบไปจริง ๆ ก็ยังคงไม่พ้น ลุงของเขาที่จางจงเหลียงกล่าวถึง ซึ่งก่อนหน้านี้จางเสี่ยวหยูก็กล่าวถึงไว้เช่นกัน

“เจ้าคือซางกวนซีเฟยสินะ?” เมื่อเห็นว่าเซียวเฟิงไม่พูดอะไรต่อ จางจงเหลียงก็หันไปให้ความสนใจกับซางกวนซีเฟยแทน

“ใช่แล้วค่ะ หลานชื่อ ซางกวนซีเฟย ยินดีที่ได้พบเจ้าตระกูลจางค่ะ” พลันเมื่อถูกทักถาม ซางกวนซีเฟยก็รีบลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับให้อีกฝ่ายโดยเร็ว ไม่ว่าจางจงเหลียงจะอยู่ในสถานะอะไรในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตระกูลหรือพ่อของเซียวเฟิง ยังไงเสียเธอก็ยังหวาดกลัวเขามาก ๆ อยู่ดี

“ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะก้าวก่ายเรื่องของเจ้ากับเฟิงเอ้อหรอกนะ เพราะข้ารู้ว่าร่างกายของเจ้าเองก็พิเศษ และความพิเศษนี้ก็เป็นผลดีกับเฟิงเอ้อมาก ๆ ด้วยในการที่จะทำให้เขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นตระกูลจางของข้าจะไม่ปฏิบัติกับเจ้าแย่หรอก ในเมื่อบัญญัติโบราณได้ถูกใช้แล้ว ต่อให้ตระกูลซางกวนและตระกูลซีเหมินจะมาคุยกันหลังจากนี้ ข้าก็จะคอยขัดให้เอง ถึงแม้ว่าเฟิงเอ้อจะมีสัญญาแต่งงานอยู่แล้ว แต่ถ้าเจ้าอยากมีชื่อด้วย ข้าสามารถยกเลิกสัญญาแต่งงานนั้นแล้วให้เจ้าใช้ชื่อของเจ้าได้นะ”

จางจงเหลียงพูด มีอารยธรรมหลายอย่างที่ถูกสืบทอดลงมาในบรรดาตระกูลโบราณทั้งหลาย หนึ่งในนั้นก็อารยธรรมหลายภริยาด้วย

“ละ…หลานเป็นเพียงผู้น้อย ไม่กล้าเรียกร้องอะไรมากขนาดนั้นหรอกค่ะ! ทุกวันนี้หลานเพียงขอแค่ได้อยู่คู่กับท่านเซียว แค่นี้หลานก็พึงพอใจแล้ว”

แก้มนวลของซางกวนซีเฟยแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจเรื่องที่จางจงเหลียงพูดว่าร่างกายของเธอพิเศษแต่เธอก็รีบปฏิเสธในสิ่งที่เขาพูดไปก่อน

สำหรับเธอนั้น เพียงแค่รู้ว่าจางจงเหลียงยินยอมให้เธออยู่กับเซียวเฟิงได้ก็ถือว่ามากพอแล้วที่จะให้มีความสุข แล้วยิ่งจางจงเหลียงเสนองานแต่งงานให้เธอ ถึงแม้ว่าจะสนใจมาก ๆ แต่ท้ายสุดก็ยอมปฏิเสธไปเพราะเรื่องความเหมาะสม

มันไม่ใช่ว่าเธอกังวลว่าจางจงเหลียงจะคิดมากเกินไปจนไปยกเลิกงานแต่งงานของคนอื่นหรอก สิ่งที่เธอกังวลจริง ๆ น่ะคือกลุ่มสาว ๆ ของเซียวเฟิงที่อยู่ในคฤหาสน์ยอดเขานั่นต่างหาก ขืนปล่อยให้จางจงเหลียงทำตามที่พูด พวกเธอได้มองหน้ากันไม่ติดพอดี

ยังไงก็ตาม ซางกวนซีเฟยรับรู้อยู่แล้วว่ายังไงเสียการแต่งงานของเซียวเฟิงก็ต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่งในแง่ของการสืบทอดวงศ์ตระกูล เธอในตอนนี้มีคำสัญญาของจางจงเหลียงแล้ว อย่างน้อยการให้เธอได้เป็นบ้านน้อยหรืออยู่ห้องข้าง ๆ เซียวเฟิง เท่านี้เธอก็สุขใจแล้ว…

เซียวเฟิงที่เงียบอยู่นั้นไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจอะไรเลย บทสนทนาระหว่างจางจงเหลียงและซางกวนซีเฟยค่อนข้างจะทำให้เขาประหลาดใจกับมุมมองของจางจงเหลียงมากเลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้เซียวเฟิงจินตนาการภาพของตนที่ต้องกลับมายังบ้านตระกูลจางซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่กลับไม่มีครั้งไหนเลยที่จะคิดว่ามันจะไหลลื่นขนาดนี้ ราวกับว่าสิ่งผิดพลาดเมื่อในอดีตนั้น มันไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วเสียอย่างนั้น

“เจ้ายังคิดจะไปอยู่อีกงั้นหรือ?” จางจงเหลียงหันไปถามเซียวเฟิงอีกครั้ง

“ก็คงต้องเป็นอย่างงั้น เพราะคนบงการที่อยู่เบื้องหลังยังไม่เผยตัว แล้วก็ผมยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องไปทำ” เซียวเฟิงพยักหน้า

“โลกใบที่สอง…” ตอนนั้นเอง จู่ ๆ จางจงเหลียงก็พูดขึ้นมาด้วยความลังเล

“มิธเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า?” เซียวเฟิงถามด้วยความสงสัย

“โลกใบที่สองนั้นซ่อนความลับที่น่ากลัวเอาไว้ สิ่งนั้นคุกคามความอยู่รอดของผู้คนอีกมากมาย มันเกี่ยวข้องกับการที่ตระกูลหลักมากมายได้เข้าร่วมกับโลกใบที่สองนี้ ข้าได้ยินมาแล้วว่าความคืบหน้าของเจ้าในโลกใบนี้นั้นไม่ได้ต่ำต้อย ดังนั้นจงระวังให้ดี” จางจงเหลียงทำใจให้สงบแล้วตัดสินใจพูดต่อ

“ความลับ? ความลับนั้นคืออะไรกัน?” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็สนใจขึ้นมาทันที แววตาของเขาจริงจัง นั่นเพราะตัวเขาเองก็รู้สึกได้ถึงสิ่งนี้กลาย ๆ อยู่เช่นกัน

“เจ้าต้องเป็นผู้ที่ค้นหาสิ่งนี้ด้วยตนเอง ข้าบอกเจ้าได้เพียงแค่ว่ามันเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ที่คอยควบคุมโลกนั้นอยู่” จางจงเหลียงส่ายหน้า

“โนอาห์” เซียวเฟิงขมวดคิ้วแน่น จู่ ๆ เบาะแสบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจับประเด็นต่าง ๆ ไม่ได้เท่าที่ควร

“ไปทำหน้าที่ของเจ้าเสีย ดูแลร่างกายของเจ้าให้ดีเมื่ออยู่ด้านนอก ไม่เคยมีเชื้อสายตระกูลจางคนไหนอยู่ไม่ถึงร้อยปี ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นคนแรกที่ทำได้”

ดวงตาของจางจงเหลียงค่อย ๆ หลับลงอีกครั้งหลังพูดจบ เขาเริ่มนั่งสมาธิต่อและไม่พูดอะไรออกมาอีก

ทั้งสามก๊วนเซียวเฟิงทำได้เพียงลุกขึ้นและออกจากห้องของจางจงเหลียงไป แต่ขณะที่ยืนอยู่ด้านนอกห้อง พวกเขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ลึก ๆ หากแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาก่อนเท่านั้น

“พี่ชาย พี่จะกลับไปเมืองเฉิงไห่เหรอ?” ในที่สุด จางเสี่ยวหยูก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบด้วยคำถาม

“อ่าฮะ” เซียวเฟิงพยักหน้า

“กว่าท่านลุงจะกลับมาก็อีกตั้งหนึ่งสัปดาห์* ทำไมพี่ไม่อยู่ที่บ้านต่ออีกสักพักแล้วรอให้ท่านกลับมาก่อนล่ะ?” เด็กสาวพูดแสดงเจตจำนงของเธอออกไป

“คงจะไม่ได้หรอก ฉันต้องกลับไปเล่นเกม อีกอย่างฉันไม่ได้ออนไลน์มาตั้งสามวันแล้วด้วย” เขาส่ายหน้า ที่ตั้งของบ้านตระกูลจางนี้ค่อนข้างพิเศษ มันถูกตัดขาดจากไฟฟ้า เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงอินเตอร์เน็ตเลย ต่อให้เขาจะพกหมวกเล่นเกมแบบใช้ไวไฟมาด้วย แต่เมืองที่อยู่เหนือเมฆแห่งนี้น่ะ ยังไงสัญญาณไวไฟก็ขึ้นมาไม่ถึงอยู่ดี

“อ๋า…” จางเสี่ยวหยูแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอเสียดายมาก ๆ

“ไว้เธอว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยไปเที่ยวเล่นที่เมืองเฉิงไห่บ้างก็ได้”เซียวเฟิงปลอบใจน้องสาวของตนอย่างเรียบง่าย เขารู้ดีว่าจางเสี่ยวหยูนั้นถือเป็นเจ้าตระกูลคนต่อไป ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องรับผิดชอบนั้นค่อนข้างจะใหญ่หลวง คงจะบอกให้ไปเที่ยวบ่อย ๆ ไม่ได้

“อ๊ะ! งั้นก็ได้! ไว้ฉันไปเมืองเฉิงไห่ครั้งต่อไป ฉันเองก็จะอยู่ที่คฤหาสน์นั่นด้วย! พี่ต้องเตรียมห้องให้ฉันด้วยนะ! ไม่งั้นฉันจะนอนเตียงเดียวกับพี่แน่ ๆ!”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จางเสี่ยวหยูพูดก็ทำให้เซียวเฟิงพูดไม่ออกตามไปด้วย

“ก็ได้ ๆ แล้วคิงคองอยู่ไหน?” เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ถูกต่อความยาวสาวความยืด เซียวเฟิงจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที

“พี่ชายหมายถึงชายผิวดำตัวใหญ่ ๆ น่ะเหรอ? ถ้าใช่เขาอยู่กับท่านลุงรองแน่ะ เห็นว่าท่านลุงอยากจะศึกษาเขาสักหน่อย” เด็กสาวพูด และมันทำให้สีหน้าของเซียวเฟิงเปลี่ยนสีทันทีหลังได้ยินแบบนั้น

ทำการทดลองเหรอ?