บทที่ 451 ยาเม็ดเล็ก
บทที่ 451 ยาเม็ดเล็ก
“เธอรู้หรือเปล่าว่าทำไมคนคนนั้นถึงมีท่าทีกับฉันแบบนี้? ฉันนึกว่าตอนกลับมาจะโดนลงโทษที่ฝ่าฝืนกฎตระกูลซะอีก” เซียวเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามจางเสี่ยวหยูขณะที่พากันเดินไปยังลานที่พักของลุงรอง จางจงเหมา
เพราะความผิดพลาดที่เซียวเฟิงเคยก่อไว้ในอดีตนั้นมันร้ายแรงมาก ๆ มันไม่ถือเป็นการพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่ามันเป็นความผิดระดับน้อง ๆ หายนะ ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งอาจารย์หรือทำลายความน่าเคารพของบรรพบุรุษรวมไปถึงความผิดต่าง ๆ อีกมากมาย มันร้ายแรงเสียจนจางจงเหลียงถึงกับต้องถอดชื่อสกุลจางออกจากเขาและขับไล่ออกจากตระกูลจางด้วยความโกรธ
ทว่าครั้งนี้ที่เขากลับมา จางจงเหลียงกลับปฏิบัติกับเขาราวกับมันไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เจอหน้ากันมานานแต่เซียวเฟิงก็รู้ว่าจางจงเหลียงเป็นคนใจกว้างมาก ๆ แถมยังมีจิตใจดีเป็นนิจด้วย และด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นคนแบบนี้อยู่ตลอด มันเลยทำให้เซียวเฟิงยากที่จะคาดเดาความคิดของเขาไปด้วย
ถึงก่อนหน้านี้จะได้ยินถ้อยคำที่ฟังดูไม่น่าภิรมณ์ในออกมาจากคำพูดของจางจงเหลียงอยู่บ้าง เนื่องจากตลอดมาจางจงเหลียงไม่เคยใช้คำว่า พ่อ-ลูก เวลาเรียกเซียวเฟิงเลย แต่ถึงจะบอกว่าเป็นถ้อยคำที่ไม่น่าภิรมณ์ใจ แต่ความใจดีของคน ๆ นี้ก็ทำให้เซียวเฟิงแอบรู้สึกปลาบปลื้มใจอยู่เหมือนกัน
“เพราะเมื่อตอนที่พี่หายตัวไปเมื่อ 5 ปีก่อน ลุงใหญ่น่ะหัวเสียเอามาก ๆ ในจะตระกูลจางที่ต้องสั่นคลอนด้วย ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องที่พี่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลจาง แถมพวกเขายังไปที่ยุโรปเพื่อตามหาตัวพี่กลับมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม” จางเสี่ยวหยูพูด
เซียวเฟิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดถึงเรื่องนี้เลย ใบหน้างุนงงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม “ถ้างั้นเธอรู้หรือเปล่าว่าที่ตอนท้ายไม่สำเร็จเพราะอะไร? มีใครมาขัดขวางพวกเขาเหรอ?”
“อืมมม ช่วงนั้นพวกเราโดนแรงกดดันน่ะค่ะ ฮัวเซียไม่อนุญาติให้ตระกูลโบราณสืบทอดเชื้อสายด้วยบุตรหลายคน ดูเหมือนว่าจะมีข้อตกลงบางอย่างที่ยื่นเสนอให้กับตระกูลจางอยู่ลับ ๆ ด้วย เพราะงั้นการออกตามหาตัวพี่จึงหยุดไป ตอนนั้นฉันยังไม่มีศักดิ์เป็นเจ้าตระกูลคนต่อไป ก็เลยไม่รู้ว่าข้อตกลงที่ว่าระบุไว้อย่างไรบ้าง พี่ชาย ถ้าพี่ต้องการ เดี๋ยวฉันจะตรวจสอบให้เดี๋ยวนี้เลย”
จางเสี่ยวหยูเหลือบมองฉิ่งเอ้อที่อยู่ด้านหลังตน เธอก้าวเข้าไปใกล้เซียวเฟิงมากขึ้น 2 ก้าวแล้วพูดเสียงเบา
“ไม่ได้อยากรู้มากขนาดนั้น” เซียวเฟิงส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
ตลอดมา เซียวเฟิงคิดเรื่องต่าง ๆ มากมาย จุดประสงค์ดั้งเดิมของการจัดการแข่งขัดระดับโลกรอบสุดท้ายนั้น มันก็เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศด้วย ต่อให้สปอนเซอร์จะเป็นมิดซัมเมอร์กรุ๊ป แต่ก็ต้องมีคนของรัฐมาคอยควบคุมอยู่ดี ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผู้เล่นจากเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงป้องกันการเล่นตุกติกด้วย
แต่ในกรณีของเซียวเฟิงนี้ เขากลับยังโดนลอบทำร้ายได้ ไม่ว่าจะเป็นการโดนวางยาในเครื่องดื่ม รวมไปถึงการถูกไล่ล่าและถูกจับตัวไปขณะเดินทางกลับไปยังโรงแรมครั้งนั้น
เขาไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่แฝงตัวอยู่จะไม่รู้เรื่องนี้เลย ไม่งั้นแล้วแสดงว่าการป้องกันของประเทศนี้มันหละหลวมเอาเสียมาก ๆ
และเมื่อครู่นี้ที่ได้ยินจางเสี่ยวหยูบอกว่า รัฐพยายามกดขี่ตระกูลจางไว้ตั้งแต่ตอนนั้น พอมารวมเข้ากับเรื่องต่าง ๆ แล้วมันก็เหมือนว่าบางเรื่องจะถูกปะติดปะต่อได้ ภายในประเทศจีนนี้ ตระกูลยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลจาง มีเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้นที่มีกำลังมากพอจะปราบปรามได้
แต่ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แท้จริงเสียทีเดียว คน ๆ เดียวที่จะวางแผนจัดการเขาในการแข่งขันได้ นอกจากมิดซัมเมอร์กรุ๊ปแล้วก็จะเหลือแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐเช่นเดียวกับผู้ที่คอยกดดันตระกูลจางไว้เองก็น่าจะเป็นคนของฮัวเซียด้วย
ทว่าเซียวเฟิงตัดสินใจจะปัดเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน ยังไงเสียมันก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน เขายังไม่สามารถยืนยันได้ เพราะสิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับทรัพยากรที่ยังเหลืออยู่ หากรัฐบาลฮัวเซียยังรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา เขาย่อมต้องไม่สามารถกระทำการใด ๆ ที่จะถือเป็นการขัดและทำลายผลประโยชน์ของประเทศนี้ได้
เรื่องของข้อตกลงระหว่างรัฐและตระกูลจางถูกวกกลับมาคิดในหัวเซียวเฟิงอีกครั้ง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ถึงเนื้อความด้านใน แต่การมีอยู่ของมันก็ทำให้เขาฉุกคิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้
มันจะเป็นไปได้ไหมว่า แท้จริงปัญหาทรัพยากรของประเทศนี้ถูกจัดการได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว? รวมไปถึงการแข่งขันเองก็ถูกวางผลไว้ตั้งแต่แรกด้วย?
แต่เพราะการมีอยู่ของเขามันทำให้ข้อตกลงลับ ๆ เหล่านั้นต้องพังทลายลงไป เขากำลังทำให้ผลประโยชน์ของประเทศต้องสูญเสียไปงั้นเหรอ?
“อ๊ะ ถึงแล้วล่ะค่ะ ลุงรองคะ! อยู่หรือเปล่า?”
ความคิดในหัวเซียวเฟิงถูกปัดตกไปก่อนอีกครั้ง หลังจากที่เขาและจางเสี่ยวหยูเดินทางมาถึงที่หน้าสวนของจางจงเหมา กลิ่นของยาต่าง ๆ คละคลุ้งจนข้ามกำแพงสวนออกมาจนเป็นเอกลักษณ์ จางเสี่ยวหยูที่มาด้วยเคาะประตูไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อรอพักหนึ่งแล้วไม่มีใครออกมาเธอจึงตะโกนถามอีกครั้ง
เอี๊ยด…
ประตูลานที่พักถูกเปิดออกจากด้านใน ทว่าผู้ที่เปิดประตูนั้นกลับไม่ใช่จางจงเหมาแต่เป็นคิงคองที่มาเปิดแทน
“นายท่าน!”
คิงคองตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นเซียวเฟิง เช่นเดียวกับเซียวเฟิงที่แม้เขาจะไม่ได้ตะโกนอะไรแต่สายตาก็ไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าของอีกฝ่าย เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรมันก็ทำให้เซียวเฟิงโล่งใจมาหน่อย อย่างน้อย ๆ จากเท่าที่มองด้วยสายตา คิงคองก็ดูปกติกว่าเขาที่ต้องห่อตัวเองด้วยผ้าก๊อซหนาเตอะเช่นนี้
“นายปกติดีใช่ไหม? ลุงรองคนนั้นทำอะไรแปลก ๆ กับนายหรือเปล่า? ยิ่งที่นี่เป็นที่ของเขาด้วย!”
พลันเมื่อเซียวเฟิงนึกถึงคำพูดของจางเสี่ยวหยูที่บอกว่าลุงรองของเขาพาคิงคองมาวิจัยศึกษา มันก็ทำให้เขารีบถามออกไปเช่นนั้นทันที
“ผมไม่เป็นไรครับ คนคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเลยกินจากให้กินยาน้ำสีดำที่รสชาติเต็มทน แล้วก็บอกไม่ให้ผมออกจากที่นี่เฉย ๆ ” คิงคองส่ายหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จะว่าไป นายท่านครับ! คนคนนั้นแข็งแกร่งมาก ๆ เลยนะครับ! ผมพยายามจะต่อต้านอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองน่ะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย เป็นไปได้พวกเราไม่ควรเป็นศัตรูกับคน ๆ นั้นเด็ดขาดเลยครับ”
“นายอ่อนแอลงหลังจากดื่มยาน้ำดำนั่นไปหรือเปล่า?”
ได้ยินเช่นนั้น เซียวเฟิงก็พลอยนึกถึงยาจีนน้ำดำที่ตนดื่มเข้าไปอีก เพราะงั้นเขาจึงถามเพื่อเปรียบเทียลผลลัพธ์ แต่ส่วนของประโยคที่สองที่คิงคองกล่าวไว้นั้น เซียวเฟิงรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะไร้สาระเลยทีเดียวเพราะถ้าคิงคองสามารถเอาชนะคนคนนี้ได้ ป่านนี้พวกเขาไม่สามารถเดินข้างถนนในประเทศนี้ได้อย่างสบายใจหรอก แถมฝั่งยุโรปก็จะไม่เกรงกลัวประเทศนี้และยกย่องว่าเป็นดินแดนต้องห้ามอีกด้วย
เด็กที่เกิดในตระกูลที่สืบทอดกันมาอย่างเซียวเฟิงย่อมต้องรู้อยู่แล้วถึงเหตุผลที่ทำใหม่ ฮัวเซียถึงถูกเรียกว่าดินแดนต้องห้าม นั่นก็เพราะการมีอยู่ของตระกูลใหญ่ทั้งหลายนั่นแหละ
เมื่อเขตแดนถูกนักฆ่าหรือกองกำลังของต่างประเทศบุกรุกเข้ามา ทางการจะมีกองทัพระดับสูงไว้สำหรับรับมือ รวมไปถึงนายพลต่าง ๆ ก็พร้อมจะออกปฏิบัติการด้วยเช่นกัน ตราบใดก็ตามที่ระดับของผู้บุกรุกนั้นยังไม่เกินกำลังคนธรรมดามากนัก แต่ถ้าสิ่งที่บุกรุกเข้ามาเป็นถึงระดับสัตว์ประหลาดอย่างที่เซียวเฟิงพูดบ่อย ๆ ในเกม ระดับนี้เหล่าคนจากตระกูลหลักจะถูกสั่งให้ปฏิบัติการ คราวนี้ไม่ว่าผู้บุกรุกจะมีจำนวนมากขนาดไหน ภายในชั่วข้ามคืน พวกเขาก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างแน่นอน
หากคิดตามให้เห็นภาพความน่ากลัวของเหล่าตระกูลสืบทอดที่อยู่เบื้องหลังการป้องกันประเทศแล้วล่ะก็ ให้คิดเสียว่าฝั่งยุโรปมีนักสู้ระดับสุดยอดอย่างคิงคอง แต่พวกเขากลับไม่สามารถเป็นศัตรูได้แม้กระทั่งลุงรองที่ทำเต็มที่แล้ว พวกคุณจำเป็นต้องรู้เพิ่มอีกนิดหน่อยว่า ลุงรองคนนี้เองก็ยังถือเป็นสายตระกูลชั้นนอกแล้ว ตัวเขานั้น น่ากลัวน้อยกว่าพวกอดีตเจ้าตระกูลที่เป็นแก่นแท้ของตระกูลจริง ๆ ยิ่งนัก
ถึงแม้เซียวเฟิงจะคุ้นเคยกับการใช้คำว่า ‘ปีศาจโบราณ’ เพื่ออธิบายถึงบรรพบุรุษคนในตระกูลที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหลายคร่าว ๆ แต่หากจะให้ใช้คำพูดอื่น เซียวเฟิงเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน
เมื่อครั้งที่ตัวเขายังเป็นเด็ก เซียวเฟิงเคยเผลอวิ่งเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง และถูกคนแก่ผู้มีผมและเคราสีขาวยาวพาตัวออกมา จากนั้นไม่นานเขาถึงได้รู้ว่าชายชราคนนั้นก็คือบรรพบุรุษของตระกูลจางที่มีอายุมากกว่าสามร้อยปี คนคนนี้ถอยตัวเองให้ออกห่างจากโลกภายนอกและนั่งสมาธิอยู่ตลอดทั้งวัน ว่ากันว่าในรอบหนึ่งปี จะมีเพียงไม่กี่วันเท่านั้นที่เขาลืมตาตื่น เช่นนั้นแล้วจะไม่ให้เซียวเฟิงเรียกว่าปีศาจโบราณได้อย่างไร?
“ดูเหมือนผมจะไม่ได้อ่อนแอลงนะครับ แถมยังรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นด้วย” คิงคองลองขยับร่างกายแล้วเกาหัวเบา ๆ ขณะพูดอย่างซื่อสัตย์
“หา? ไม่รู้สึกอ่อนแอหน่อยเลยเหรอ? นายยังมีแรง แถมยังเยอะกว่าเดิมด้วยเนี่ยนะ?” เซียวเฟิงถึงกับชะงักไปหลังจากได้ยินเช่นนั้น เขาหันกลับมามองผ้าก๊อซที่พันบริเวณหัวไหล่เขาอยู่ แล้วเริ่มตระหนักว่า ลุงรองนั้นให้ยาตัวเดียวกันกับเขาแน่ใช่ไหม?
“ไม่รู้สึกแปลกจริง ๆ ครับ ดูเหมือนว่าคนคนนั้นจะพูดเรื่อง ความแข็งแกร่งของชีวิต พลังชีวิต อะไรทำนองนี้อยู่ อาจจะเกี่ยวข้องก็ได้นะครับ” คิงคองพยายามนึกย้อนกลับไป “อ้อ แล้วก็มีที่บอกว่า ร่างกายของผมนั้นพิเศษ แต่ผมไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าพิเศษที่ว่านั่นหมายถึงอะไร”
“ฉันเข้าใจแล้ว นายไม่ต้องพูดต่อก็ได้” เซียวเฟิงถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาจำเป็นต้องรีบตัดบทไป สิ่งที่บอกว่าร่างกายของคิงคองนั้นพิเศษก็เพราะว่าโครงสร้างของอีกฝ่ายเหมือนถูกสร้างมาให้รับความเสียยหายได้ในปริมาณมหาศาลอยู่แล้ว ดังนั้นลุงรองจึงไม่ได้ใช้ยาเพื่อกดความแข็งแกร่งของร่างกายให้เขาไว้ กลับเลือกให้ยาสำหรับกระตุ้นศักยภาพคิงคองไว้แทน
หากจะบอกว่าพลังของคิงคองนั้นอยู่ในแง่ของศักยภาพมันก็ไม่เกินไปนัก ถึงแม้จะไม่ได้โดดเด่นเท่าชูร่าและไร้เทียมทานของเซียวเฟิง แต่ในยามที่คิงคองได้แผลงฤทธิ์ อย่างน้อย ๆ เขาก็มีพลังระดับที่เซียวเฟิงใช้ไร้เทียมทานได้เลย
“ลุงรองไม่อยู่ที่นี่เหรอ?” จางเสี่ยวหยูที่มองเข้าไปด้านในผ่านบานประตูถาม
จากตรงจุดที่พวกเขายืนกันอยู่นี้ มันสามารถมองเห็นยาสมุนไพรหายากหลายตัวที่อยู่ภายในลานแห่งนี้ได้ ซึ่งยาเหล่านี้มีอายุมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เห็ดหลินจือที่สีดำสนิทที่มีขนาดใหญ่เสียยิ่งกว่ายางรถยนต์อีกสองเท่า!
“ผมเห็นเขาออกไปด้านนอกเมื่อเช้านี้ เห็นว่าจะไปหาดอกไม้อะไรสักอย่าง ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลยครับ” คิงคองเกาหัวแล้วพูดขึ้น ตอนนี้มันเป็นเวลาบ่ายแล้ว นั่นหมายถึงจางจงเหมาไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลาพักใหญ่ ๆ แล้ว
“พี่ชาย! รอฉันตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันออกมา! ฉิ่งเอ้อ เธอก็ไม่ต้องตามฉันเขาไปด้วย!”
ได้ยินเช่นนั้นจางเสี่ยวหยูก็ตาเป็นประกายขึ้นมา เธอรีบเดินเข้าไปในลานของจางจงเหมาและย่องเข้าไปในห้องที่ถูกปิดประตูไว้อย่างไม่รีรอ ปล่อยให้เซียวเฟิง ซางกวนซีเฟยและคิงคองต่างมองหน้ากันอยู่ด้านหลัง แม้ว่าเซียวเฟิงจะหันไปมองฉิ่งเอ้อ แต่เธอก็ทำได้แค่ส่ายหน้าให้เขาเท่านั้น
ในบรรดาที่อยู่อาศัยของสมาชิกในตระกูลสายนอก ส่วนที่พักของจางจงเหมาน่าจะถือว่าใหญ่ที่สุดแล้ว เพราะที่นี่ไม่เพียงแต่เก็บวัตถุดิบสำหรับทำยาหายากมากมายเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่สกัดยาต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็นหลายชั้นอีกด้วย
เซียวเฟิงยืนรอตามที่เด็กสาวบอกไว้ครึ่งค่อนชั่วโมง ครั้นเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานาน เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่รอเธอต่อแล้ว
“ฉิ่งเอ้อ พวกเราจะไปก่อนนะ ไว้เดี๋ยวจะบอกเสี่ยวหยูทีหลัง” ยังไงจางเสี่ยวหยูก็ไม่ได้จะมากับเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเซียวเฟิงจึงไม่ได้ตั้งใจจะรอเธอ ไม่งั้นแล้วพวกเขาอาจจะไม่มีเวลามากพอที่จะกลับไปยังเมืองเฉิงไห่ได้
“กลับไปยังที่ที่ท่านจากมาเถิดค่ะ นายน้อยลำดับที่ 3 ฉิ่งเอ้อผู้นี้รับรู้แล้ว” ฉิ่งเอ้อในชุดชาววังสวมผ้าบางปิดทับใบหน้าสีเขียวเอาไว้โค้งตอบรับด้วยความสง่างาม
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
เซียวเฟิงหันหลังกลับโดยไม่ได้รู้สึกคิดคะนึงถึงบ้านตระกูลจางแห่งนี้เสียเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่เกิดของเขา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรนัก นั่นเพราะเหล่าคนในตระกูลล้วนทุ่มเทให้กับการฝึกสมาธิเพื่อเข้าสู่แก่นแท้ของชีวิต ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจึงไม่มีอะไรมากมาย นอกจากนี้การกลับมาครั้งนี้เซียวเฟิงก็ไม่ได้พบเจอกับญาติคนอื่น ๆ อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรออยู่ที่นี่ต่ออีก
ในตอนนี้ข้างกายเขามีซางกวนซีเฟยอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นวิธีการลงภูเขาก็เหลือเพียงทางเดียวก็คือบันไดวนที่ด้านหน้า แม้ว่าระหว่างทางเขาจะได้พบเจอกับเด็ก ๆ ในตระกูลจางมากมาย แต่ท้ายสุดก็สามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยดี กระนั้นจะพูดว่าพวกเขาไม่ได้คิดอะไรคงไม่ได้ เนื่องจากเด็ก ๆ เหล่านี้ล้วนแต่ก็เป็นผู้ที่ถูกเซียวเฟิงและคิงคองปะทะจนบาดเจ็บเมื่อครั้งที่เข้ามาป้องกันอารามซือเซียวเมื่อสามวันก่อน ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องไม่ไว้วางใจและมองเซียวเฟิงเป็นศัตรูอยู่แล้ว
โชคยังดีที่อารามซือเซียวนั้นถือเป็นสถานที่สำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยือน ดังนั้นมันจึงตั้งอยู่ด้านนอกสุดท่ามกลางตำหนักตระกูลจางที่ซับซ้อน เซียวเฟิงเพียงแค่ได้พบเจอเหล่าลูกศิษย์ที่ดูแลรอบนอกอยู่เท่านั้นตอนที่ขึ้นมา ไม่งั้นแล้วหากที่แห่งนี้ตั้งอยู่ด้านในตำหนักแล้วล่ะก็ เขาจะต้องเจอกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปีศาจโบราณ’ อย่างแน่นอน
และถ้าเรื่องมันเป็นอย่างนั้น หากฝ่ายตรงข้ามไม่รู้จักเซียวเฟิงมาก่อนและมองว่าทั้งเขาและคิงคองเป็นผู้บุกรุกจนทุ่มแรงทั้งหมดเพื่อต่อต้านเนื่องจากเซียวเฟิงบุกเข้ามาในตำหนักแล้ว ชะตากรรมของเซียวเฟิงจะต้องจบสิ้นลงด้วยเงื้อมมือคนในตระกูลแน่นอน
“พี่ชาย รอก่อน!”
ทว่าขณะที่เซียวเฟิงกำลังลงบันไดวนไปเรื่อย ๆ จางเสี่ยวหยูก็ตามเขามาทันในที่สุด เธอเหนื่อยหอบเพราะดูเหมือนว่าจะรีบวิ่งตามเข้ามาด้วยความร้อนใจเอาเสียมาก ๆ