บทที่ 452 ความร้อน

บทที่ 452 ความร้อน

“พี่ชาย เร็วเข้า! กินนี่ซะ!”

ก่อนที่เซียวเฟิงจะได้ถามอะไรออกไป จางเสี่ยวหยูที่วิ่งตามมาก็ตะปบมือเข้าไปที่ปากของเซียวเฟิง บางสิ่งบางอย่างในมือเล็กนั้นไหลเข้าปากเซียวเฟิงอย่างไม่ทันตั้งตัว บางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับยา เม็ดยาปริศนานั้นแทบจะละลายในปากทันทีเมื่อโดนน้ำลาย และเซียวเฟิงก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่ปะทุออกจากยานั้นตั้งแต่ในปากจนกระทั่งไหลลงไปในลำคอด้วย

“นี่มันอะไรน่ะ?” เขารู้สึกประหลาดใจหลังรู้สึกว่าร่างกายมันร้อนรุ่มไปหมด

“พี่ไม่ต้องกังวลนะ แล้วก็รีบไปได้แล้ว!” จางเสี่ยวหยูไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม กลับกันเธอกลับยิ่งเร่งเร้าให้เซียวเฟิงรีบออกจากที่นี่เสียด้วยซ้ำ

เซียวเฟิงทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความงุนงง แต่เพราะไม่มีเวลาให้ชักช้า ชายหนุ่มจึงจำใจต้องก้าวเดินลงบันไดวนหินต่อไปโดยที่จางเสี่ยวหยูมองตามจากด้านหลัง

จุดสูงสุดของภูเขาอู่ถังนั้นสูงขึ้นมาจากระดับน้ำทะเลถึงหกกิโลเมตร และหินที่เรียงเป็นขั้นบันไดเหล่านี้ก็ลอยอยู่เหนืออากาศด้วย พวกมันถูกเรียกว่า หินหวังจาง ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นมานี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อใช้เรียกเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะหินพวกนี้จะถูกดูแลอยู่ตลอดปี ทำให้ถึงกาลเวลาจะผ่านพ้นมาหลายพันปี พวกมันก็ยังคงสภาพดีอยู่ดังเดิม

นอกจากนี้แล้วถ้ำที่เซียวเฟิงค้นพบนั้น ยังถูกเรียกว่า บันไดหินหมื่นก้อน อีกด้วย ที่แห่งนี้ถือเป็นหนึ่งช่องทางลับที่สามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของภูเขาอู่ถังได้โดยตรง ไม่เพียงแต่มันมีเหล่าศิษย์ตระกูลจางคอยเฝ้าเวรยามอยู่ทุก ๆ กิโลแล้ว ที่แห่งนี้ยังขึ้นชื่อว่ามีปราการธรรมชาติแฝงอยู่ด้วย กล่าวคือ การวางตัวของหินที่ใช้สำหรับปีนป่ายนั้นอยู่ในระดับที่ชันเกินกว่าคนธรรมดาจะใช้งานมันได้ นี่ก็ถือว่ามันได้ทำหน้าที่คัดเลือกผู้ที่จะใช้ทางผ่านนี้ไปแล้วขั้นหนึ่ง

ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่โดนกดดันจากกลุ่มไหนเลยก็จริง แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอของเซียวเฟิง เพียงแค่ลงเขาไปก็ถือว่าเป็นเรื่องยากเหมือนกัน ซึ่งเซียวเฟิงเองก็รู้ดีในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงขอให้คิงคองเป็นผู้พาเขาลงเขาไปหากมันไม่ไหวจริง ๆ ทว่าหลังจากที่เดินลงมาได้ 10 นาที ด้วยการช่วยเหลือของซางกวนซีเฟย จู่ ๆ เซียวเฟิงก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในร่างกายของเขา

ความร้อนภายในร่ายกายมันเริ่มระอุขึ้นอีกครั้ง! และคราวนี้มันก็กระจายไปทั่วตามแขนและขาด้วย แต่สิ่งที่แปลกคือ ความร้อนเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาอึดอัด กลับกันมันทำให้รู้สึกอบอุ่นและเหมือนบริเวณที่ความร้อนนี้ไปถึงถูกรักษาไปด้วย ความรู้สึกอ่อนล้ามันหายไปแล้ว แถมร่างกายของเซียวเฟิงและพลังในการรักษาตนเองก็เพิ่มขึ้นจนน่ากลัวด้วย!

“อ๊ะ!”

คนป่วยที่ต้องให้จืออี้ช่วยเหลือตลอดทาง จู่ ๆ ก็ยื่นแขนออกมาและกระชากผ้าก๊อซที่บริเวณหัวไหล่ตนออกจนทำให้ทั้งซางกวนซีเฟยและคิงคองที่อยู่ตรงหน้าต่างพากันตกใจ

“ท่านเซียว…”

“นายท่าน!”

ซางกวนซีเฟยมองไปยังเซียวเฟิงด้วยความประหลาดใจไม่ต่างกับคิงคอง

อย่างไรก็ตามภายใต้จุดที่โดนผ้าก๊อซห่อไว้นั้น ตอนนี้ไม่มีเลือดไหลออกมาเพิ่มแล้ว มันกลายเป็นเพียงจุดที่มีรอยเสื้อขาดและเปื้อนเลือดอยู่เท่านั้น แผลที่เกือบทำให้หัวไหล่ของเขาขาดออกจากลำตัวถูกรักษาอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา ภายในเวลา 3 นาที แผลดังกล่าวก็ฟื้นหายเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น!

“สบายตัวขึ้นเยอะเลยแฮะ”

เซียวเฟิงลองขยับหัวไหล่ดูอย่างช้า ๆ ขณะเดียวกับที่ดวงไฟสีแดงที่ตาของเขาเองก็เริ่มปรากฏแสงจาง ๆ ทำให้เขารู้สึกโล่งใจออกมาด้วย ความอ่อนแอได้ลาจากเขาไปแล้ว

“นายท่านครับ แผลหายดีแล้วเหรอครับ?” คิงคองที่เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นคนแรกที่กล่าวถามออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“อ่าฮะ ดูเหมือนจะหายดีแล้ว” เซียวเฟิงพยักหน้า ภายใต้ความร้อนที่ถูกจุดขึ้นมาภายในร่างกาย ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก

“อย่างที่คิดเลย ท่านเซียวน่ะสุดยอดจริง ๆ ด้วย” ซางกวนซีเฟยเม้มปากและผลิยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ไปกันเถอะ กลับไปยังเฉิงไห่ แล้วจะได้เล่นเกมกันสักที” เซียวเฟิงกลับมาเป็นฝ่ายนำหน้าทุกคนลงบันไดวนที่สุดแสนจะชันนี้อีกครั้ง คราวนี้ไม่ว่ามันจะชันสักเพียงไหน มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

คิงคองและซางกวนซีเฟยที่เห็นว่าเซียวเฟิงกลับมาแข็งแรง ทั้งสองเองก็รีบตามไปอย่างไม่ทิ้งระยะห่าง

ไม่ไกลนักจากจุดที่เซียวเฟิงกำลังลงมาอยู่ ที่นั่นมีศาลาหินสำหรับให้ผู้ที่เดินทางไกลพักตั้งไว้ และแม้ว่าที่นี่เองก็จะมีคนจากตระกูลจางคอยดูแล แต่พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนเป็นนักบวชที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิกันอยู่ พลันเมื่อพวกเขารับรู้ได้ถึงการมาของพวกเซียวเฟิง นักบวชทั้งหมดก็ลืมตาและมองไปยังต้นเสียงทันที

เมื่อเหล่านักบวชเห็นเซียวเฟิงและคิงคอง พวกเขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที นั่นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาทุกคนล้วนนั่งสมาธิอยู่ที่นี่ แต่วันนี้กลับได้เห็นเซียวเฟิงลงมาจากด้านบนยอดเขา เหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้แปลกก็เพราะว่าไม่มีใครในที่นี้จำได้เลยว่าเซียวเฟิงกับคิงคองใช้เส้นทางนี้ขึ้นผ่านไปตอนไหน ด้วยเหตุนี้มันเลยทำให้นักบวชเหล่านี้เกิดอาการสับสนกันเล็กน้อย

ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นซางกวนซีเฟยลงมาด้วย กลุ่มนักบวชในศาลาหินก็หลับตาลงและนั่งสมาธิดังเดิม

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะพวกเขาจำเธอคนนี้ได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนซางกวนซีเฟยขึ้นมาพร้อมกับนายหญิงแห่งตระกูลจาง และถึงแม้เซียวเฟิงกับคิงคองจะมีสถานะเป็นผู้มาเยือนแปลกหน้า แต่เพราะทั้งสองไม่ได้กำลังขึ้น หากแต่เป็นกำลังลงมาจากภูเขา นี่จึงไม่ใช่กงการอะไรของพวกเขาที่มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ใครก็ตามขึ้นไปด้านบนโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่อย่างใด

เช่นเดียวกับเซียวเฟิงที่เลือกจะไม่ยุ่งอะไรกับนักบวชเหล่านี้ เพราะเขารู้ดีว่าผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของตระกูลจางนั้นล้วนแต่แข็งแกร่ง แล้วยิ่งเป็นหุบผาหน้าไม้เช่นนี้แล้วเขาก็ยิ่งไม่ควรไปมีเรื่องด้วย เกิดพลาดท่าตกลงไปมันคงจะไม่น่าดูชมนัก

จากการคำนวณผ่านความเร็วที่เซียวเฟิงใช้มาตลอดหลายกิโลเมตรที่ผ่านมา บางทีพวกเขาอาจจะถึงตีนเขาในเวลาไม่ถึงคืน ทว่าตอนนี้เซียวเฟิงก็ตระหนักได้ถึงปัญหาแล้ว ทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น

นั่นคือซางกวนซีเฟย…

แต่เดิมแล้ว บันไดหินหมื่นขั้นนี้ก็ถือเป็นกำแพงธรรมชาติที่คอยป้องกันยอดเขาจากคนธรรมดาอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าทายาทของตระกูลที่สืบทอดมันก็ไม่มีอะไรยากเกินไปนัก เพราะเด็กแต่ละคนจะได้รับการสืบทอดพลังลงมา พวกเขามีความสามารถมากพอที่จะขึ้นหุบเขานี้ได้ง่าย ๆ ทว่าก็ยังมีบางคนที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น

ยกตัวอย่างเช่น ซางกวนซีเฟย ที่ทักษะของเธอแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนคนทั่วไปเลย ถึงแม้ว่าเธอจะเก่งกาจกว่าคนธรรมดาอยู่บ้าง แต่บันไดหินหมื่นขั้นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องตึงมือสำหรับเธอเช่นกัน เมื่อตอนที่ตามจางเสี่ยวหยูขึ้นมาบนภูเขาก่อนหน้า เธอก็ใช้วิธีการเดินขึ้นสลับกับพักบ้างตามไหล่ทางจนเธอทั้งสองถึงทีท่หมายกันล่าช้า ใช่แล้ว ถึงเธอจะสามารถปีนมันขึ้นมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะรวดเร็วเหมือนเซียวเฟิงหรอกนะ

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เซียวเฟิงที่ซึ่งออกจากเฉิงไห่ตามหลังจางเสี่ยวหยูหลายชั่วโมง สามารถไล่ตามจางเสี่ยวหยูที่อารามซือเซียวทันในเวลาไม่กี่นาทีให้หลังเท่านั้น

และเพราะครั้งนี้ แม้จะเป็นการลงเขาแต่ด้วยความเร็วระดับเซียวเฟิงแบบที่ไม่มีหยุดพักเหมือนขาขึ้น มันทำให้ท้ายสุดซางกวนซีเฟยก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

“เธอเหนื่อยแล้วเหรอ?” เซียวเฟิงรู้สึกได้ว่าซางกวนซีเฟยเริ่มทิ้งระยะห่างพวกเขา เพราะงั้นเขาจึงหันหน้ากลับไปถาม

“นิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวปาดเส้นผมที่ติดกับเหงื่อบนใบหน้าและยิ้มแห้ง ๆ ให้แก่ผู้ถาม ตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายของเธอมีเหงื่อชุ่มเต็มไปหมดแล้ว

“งั้นเดี๋ยวฉันแบกเธอลงไปเอง” เมื่อรู้เช่นนั้น เซียวเฟิงก็คุกเข่าลง เนื่องจากนี่ยังเป็นเวลาบ่ายอยู่ หากเมื่อไหร่ที่ฟ้ามืดแล้ว เขาจะไม่สามารถออกไปจากภูเขาลูกนี้ได้ ดังนั้นตอนนี้ เวลาของพวกเขาที่จะออกจากที่นี่เหลือไม่มากแล้ว

“เข้าใจแล้วค่ะ รบกวนด้วยนะคะ ท่านเซียว”

ซึ่งซางกวนซีเฟยก็ไม่ใช่พวกอวดตน เธอยิ้มออกมาขณะที่ร่างกายกำลังปลดปล่อยกลิ่นหอมหวานพิเศษที่จะรุนแรงมากขึ้นเมื่อเหงื่อไหลอาบร่างกาย หญิงสาวเดินเข้าหาเซียวเฟิงราวกับปีศาจสาวที่พราวเสน่ห์ก่อนจะขึ้นไปขี่บนหลังเซียวเฟิงอย่างกระฉับกระเฉง

เซียวเฟิงไม่ได้พูดอะไร เขาแบกร่างนั้นไว้บนหลังและกอดต้นขาแน่นที่สอดเข้ามาข้างเอวของเขาเอาไว้ จากนั้นทั้งคิงคองและเซียวเฟิงก็เริ่มเร่งความเร็วในการลงเขาอีกครั้ง ทั้งสองทะยานลงไปตามขั้นบันไดหินทั้งหมื่นขึ้นนั้นราวกับกำลังโผบิน ด้วยความเร็วที่มองด้วยตาเปล่าไม่ต่างอะไรกับการถลาลงมานั้น มันเลยพลอยทำให้ผู้ที่ไม่ชินอย่างซางกวนซีเฟยอดไม่ได้ที่จะเสียวหนังหัวเป็นระยะ ๆ

เมื่อลงมาจนพอจะเห็นภาพอันสวยงามของบรรยากาศตีนเขาอู่ถังอยู่ในระยะหนี่งกิโลเมตรแล้ว สัญญาณโทรศัพท์ก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง เซียวเฟิงรีบหยิบมันขึ้นมาเปิดหาเที่ยวบินเพื่อจะบินกลับในทันที ทว่ามันช่างน่าเสียดายที่ค่ำคืนนี้ไม่มีเที่ยวบินที่จะบินกลับไปยังเมืองเฉิงไห่เลย เที่ยวบินที่ใกล้ที่สุดก็มีแต่พรุ่งนี้เช้าเท่านั้น

“นายท่านครับ ถ้าเป็นแบบนี้เราขับรถกลับไปน่าจะเร็วกว่า” คิงคองเสนอแนะหลังจากรู้สถานการณ์และคำนวณเส้นทางเรียบร้อยแล้ว ด้วยการขับรถนี้มันจะทำให้เขาสามารถถึงเมืองเฉิงไห่ได้ช่วงเช้าของอีกวันหนึ่งพอดี

“ถ้างั้นก็ไปเอารถ แล้วก็เอาหมวกเล่นเกมมาด้วย” เซียวเฟิงคิดตามครู่หนึ่ง แล้วพบว่าถ้าหากเขาโดยสารรถยนต์ไป เขาก็จะสามารถเล่นเกมไปด้วยได้ เพียงแค่หาซื้อหมวกเล่นเกมแบบไร้สายมาเหมือนกับของหลิวเฉียงเหว่ย ยังไงเสียบนรถหมวกเล่นเกมก็สามารถใช้ได้อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม คิ้วของเซียวเฟิงก็ขมวดแน่นขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะการคิดถึงลู่ทางต่าง ๆ หากแต่เพราะจู่ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าความร้อนภายในร่างกายของเขานั้นมันยังไม่หยุดร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างหาก!

แม้จะยังไม่รู้ว่าจางเสี่ยวหยูนำยาอะไรมาให้ตนกินกันแน่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาพอจะเดาได้ นั่นคือ ผลข้างเคียงของมัน มันเหมือนกับยาต้าปู๋ ยาต้าปู๋ระดับสูงที่โดดเด่นเรื่องการใช้ความร้อนสะกัดพิษร้ายในร่างกายเลย!

เซียวเฟิงรับรู้ได้ว่าความอ่อนล้าภายในร่างกายถูกขจัดไปจนหมด รวมถึงพลังงานที่สูญเสียให้กับการใช้โหมดชูร่าและไร้เทียมทานก็ถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็วด้วย พลังงานเหล่านี้มันสูงกว่ากินอาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ หลายเท่านัก

ตลอดเวลาที่กำลังลงมาจากภูเขา สิ่งที่เซียวเฟิงสูญเสียไปทั้งหมดมันฟื้นคืนกลับมาได้จนเต็มเปี่ยมหมดแล้ว กระนั้นความร้อนนี้ก็ยังไม่ได้จางหายลงไปเลย มันยังคงวิ่งไล่ไปตามทุกส่วนของร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน

หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้ความร้อนพวกนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น ความร้อนตอนนี้ก็กำลังทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย เพราะพลังงานที่ได้รับมามันเต็มไปแล้ว แต่ยานี่ก็ยังคงสร้างพลังงานให้เขาอยู่เรื่อย ๆ จนมันมีสภาพเหมือนคนจุกข้าว

ด้วยร่างที่นุ่มนิ่มและเย้ายวนของซางกวนซีเฟยที่เรียกได้ว่าเป็นเรือนร่างของปีศาจบนแผ่นหลัง หน้าอกที่โดนกดลงมาเป็นระยะ ๆ กับเอวบางที่กระแทกเป็นครั้งคราว ทำให้สัมผัสที่ได้รับจากเธอค่อนข้างจะเร่าร้อนไม่แพ้ความร้อนในตัวเลยทีเดียว

มือที่กระชับต้นขาของซางกวนซีเฟยไว้ของเซียวเฟิงเริ่มขยับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเริ่มที่จะลูบไปตามต้นขานุ่มของหญิงสาวโดยที่แทบจะไม่รู้ตัวเองเลย

ซางกวนซีเฟยในวันนี้สวมชุดรัดกุมมากกว่าทุกวัน ช่วงล่างของเธอสวมกางเกงยีนส์เข้ารูปตัวบางเอาไว้ มันเลยทำให้เซียวเฟิงสามารถรับรู้ได้เพียงความนุ่มของขาที่อยู่ในฝ่ามือเท่านั้น ไม่สามารถสัมผัสถึงความลื่นเนียนได้ ไม่งั้นแล้วเขาอาจจะถูกครอบงำง่ายกว่านี้

“ฟู่…”

การขยับเพียงเล็กน้อยของเซียวเฟิงนั้นไม่สามารถรอดจากการรับรู้ของซางกวนซีเฟยไปได้ เธอพยายามข่มลมหายใจของตนให้สงบนิ่งขณะอยู่บนหลังของเขา กระนั้นแล้วใบหน้าสวยก็ยังแดงระเรื่อให้เห็นอยู่เป็นนิจ เธอคิดว่าเซียวเฟิงตั้งใจจะเป็นฝ่ายรุกเธอก่อน ดังนั้นเธอจึงหยอกเย้าเขากลับไปบ้างด้วยการเป่าลมใส่หลังหูเบา ๆ

“อ๊ะ?”

ทันทีที่มีลมร้อนปะทะเข้าหลังหู มันก็เหมือนการที่สติของเซียวเฟิงถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขารับรู้แล้วว่าร่างกายของเขาไม่ปกติดี เพราะตนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และชัดเจนด้วยว่าความไม่ปกตินี้เกี่ยวข้องกับความร้อนที่พุ่งขึ้นสูงไม่หยุดในร่างกาย!

“คิงคอง เร็วขึ้นอีก!”

“ครับ นายท่าน!” ด้วยความอดกลั้นระยะสุดท้าย เซียวเฟิงเร่งความเร็วของเขาอีกครั้ง เขาต้องลงไปให้ถึงตีนเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อดูว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่!

หลังจากที่วิ่งลงมาด้วยความเร็วสูงสุด ในที่สุดพวกเขาก็สามารถออกจากยอดเข้าอู่ถังลงมาถึงตีนเขาที่มีทิวทัศน์งดงามได้ในเวลา 6 โมงเย็นพอดิบพอดี