บทที่ 453 ความรุ่งเรืองของเมืองแห่งความโศกเศร้า

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

บทที่ 453 ความรุ่งเรืองของเมืองแห่งความโศกเศร้า

บทที่ 453 ความรุ่งเรืองของเมืองแห่งความโศกเศร้า

“นายน้อยลำดับที่ 3 ครับ!” สิ่งแรกที่ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกไม่คาดคิดเลยหลังจากลงมาถึงตีนเขาแล้วนั่นก็คือ ชายวัยกลางคนในชุดสูทและรองเท้าหนังกำลังกล่าวทักทายเขาหลังจากยืนรอที่เบื้องหน้าทางเข้าอยู่เนิ่นนาน ราวกับคนคนนี้รู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องลงมาทางนี้

“นายเป็นใครน่ะ?”

เซียวเฟิงวางร่างของซางกวนซีเฟยที่อยู่บนหลังแล้วกล่าวถามด้วยสีหน้าสงสัย

ทางด้านซางกวนซีเฟยที่ถูกปล่อยลงมาจากหลังขณะที่เธอยังรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ และเขินอายอยู่ ขาเรียวงามนั้นไม่สามารถหยั่งพื้นได้อย่างมั่นคง และมันทำให้เธอเสียศูนย์จนตอนรีบคว้าจับแขนของเซียวเฟิงเอาไว้แน่น ๆ เพื่อประคองตนเองไว้

“ข้าผู้น้อยเป็นหัวหน้าชุดที่รับหน้าที่ดูแลทิวทัศน์เบื้องล่างนี้ มาจากสกุล อู๋ครับ” ชายวัยกลางคนโค้งให้เซียวเฟิงด้วยความเคารพ

“โอ้ หัวหน้าอู๋สินะ…” เซียวเฟิงพยักหน้า ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หัวหน้าอู๋ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อนด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน

“โอ้ โอ้! ข้ามิบังอาจ นายน้อยลำดับที่ 3 ได้โปรดเรียก เสี่ยวอู๋ ก็พอครับ” ผู้จัดการอู๋ผู้ซื่อสัตย์ปาดเหงื่อที่หน้าผาก

ตอนนี้เป็นฤดูร้อนแล้ว ดังนั้นแม้จะบอกว่าเย็น แต่ดวงตะวันก็ยังเปล่งแสงและความร้อนแผดเผาอยู่ตลอด อุณหภูมิของบริเวณตีนเขานี้จึงยังคงสูงผนวกกับตัวเขานั้นก็สวมชุดสูทเต็มยศอยู่ด้วย มันจึงไม่แปลกใจนักที่ร่างของคน ๆ นี้จะอาบชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“ฉันถูกขับไล่ออกจากตระกูลจางแล้ว เพราะงั้นหัวหน้าอู๋ไม่ต้องสุภาพมากก็ได้” ชายหนุ่มที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดเกลี้ยกล่อมอีกคนด้วยความใจเย็น เขารู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับความสุภาพระดับนี้สักเท่าไหร่

และการที่หัวหน้าอู๋ได้รับหน้าที่ให้มาดูแลธุรกิจของตระกูลจาง นั่นหมายถึงเขาคงไม่ใช่เพียงหัวหน้าของตระกูลจางสายนอกแน่ ๆ ตัวเขาในตอนนี้น่าจะสนิทกับเชื้อสายด้านในของตระกูลจางระดับหนึ่งแน่นอน

“นายน้อยลำดับ 3 นี่ช่างเป็นคนตลกจริง ๆ เลยครับ ท่านเจ้าตระกูลสั่งให้ข้าน้อยลงมารอท่านที่นี่เองเลยนะครับ ถึงข้าน้อยจะไม่รู้ว่านายน้อยลำดับ 3 ได้ละเมิดกฎตระกูลร้ายแรงอะไรไว้ แต่ยังไงเสียท่านเจ้าตระกูลก็ยังมองนายน้อยเป็นคนในตระกูลจางเสมอ” หัวหน้าอู๋หัวเราะโดยไม่รู้สึกสงสัยอะไร

“เขาบอกให้นายมาที่นี่เหรอ? แค่นี้น่ะนะ?” เซียวเฟิงถามย้ำ

“นายท่านบอกให้ข้าน้อยมารอนายน้อยลำดับที่ 3 ที่กำลังลงเขามาและคอยรับคำสั่งจากนายน้อยครับ” ชายวัยกลางคนรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว

“ถ้าเป็นอย่างงั้นก็ช่วยเตรียมรถบ้านไว้สักคันกับหมวกสำหรับเล่นเกมมิธให้ทีนะ” เมื่อรู้แล้วว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร เซียวเฟิงก็ครุ่นคิดก่อนจะพูดไป มันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะให้คิงคองเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ หากว่ามีคนเสนอตัวจะช่วย มันคงจะง่ายยิ่งขึ้น ทว่าไม่รู้เหตุใด ยามที่ซางกวนซีเฟยได้ยินคำว่า ‘รถบ้าน’ แก้มนวลของเธอกลับแดงขึ้นกว่าเดิม แถมมันยังเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาแล้วด้วย

“รับทราบแล้วครับ ข้าน้อยจะรีบเตรียมการให้เดี๋ยวนี้เลย!” หัวหน้าอู๋รีบรับคำ

ด้วยอิทธิพลอันกว้างไกลของหัวหน้าอู๋ เพียงแค่เซียวเฟิงขยับคอเสื้อเพื่อระบายความร้อนที่สะสมมาก่อนหน้า รถบ้านคันโตรูปทรงหรูหราก็เข้ามาจอดเทียบข้างในเวลาอันสั้น ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่จุดชมวิวที่นี่มีอยู่แล้ว

เซียวเฟิงไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่นานนัก หลังจากที่เขาทานอะไรง่าย ๆ ที่หาได้ภายในจุดชมวิวเรียบร้อยแล้ว เขาก็ปฏิเสธไม่ให้หัวหน้าอู๋ขับรถไปส่ง และเลือกที่จะรีบออกจากที่นี่ด้วยความเร่งรีบ

คนที่ขับรถคือ คิงคอง ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของรถบ้านคันหรูนี้ มันใหญ่พอที่เขาจะสามารถเข้าไปนั่งขับได้พอดีเลย

เมื่อขึ้นรถมาได้ เซียวเฟิงก็เข้าไปในห้องพักด้านในโดยมีซางกวนซีเฟยตามเขาไปติด ๆ ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่สนใจเธอ รวมถึงพยายามปลีกตัวออกห่างด้วย

“ท่านเซียว ทำไมถึงต้องหลบหน้าหลบตาฉันด้วยล่ะ?” ประตูรถถูกปิดลง ในขณะที่โหมดปกติของซางกวนซีเฟยก็ถูกเปิดออกมาแทน ตลอดเวลาที่อยู่บนภูเขาอู่ถัง เธอจำเป็นต้องสงบเสงี่ยมและเรียบร้อยอยู่ตลอดเพราะต้องเจอกับพ่อของเซียวเฟิงที่ซึ่งเป็นถึงเจ้าตระกูลจาง ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าทำตัวยั่วยวนเหมือนดั่งที่ทำมาตลอด ไม่แม้กระทั่งสวมเสื้อผ้าเปิดเผยเนื้อหนังด้วย

ทว่าตอนนี้มันจบลงแล้ว ในที่สุดเธอก็ได้อยู่สองต่อสองกับเซียวเฟิงเสียที ความอึดอัดที่คาใจซางกวนซีเฟยมันกระจายหายไปราวกับยกภูเขาออกจากอก ทันทีที่เสื้อผ้าที่ดูมิดชิดเหล่านั้นถูกปลดเปลื้องออก มันก็เผยให้เห็นบราไร้สายตัวสีขาวพาดด้วยลายลูกไม้ดูเด่นสายตาควบคู่กับชั้นในลายเดียวกันที่น่าหลงใหล หน้าอกที่ถูกบีบรัดไว้มันแทบจะล้นออกมาจากขอบลูกไม้ ขณะที่ต้นขาอิ่มแน่นทั้งสองข้างก็คอยเย้ายวนอยู่ตลอดเวลา

“ถอยไปห่าง ๆ ฉันเลย ห้ามเข้ามาใกล้เด็ดขาด”

เซียวเฟิงเอนตัวนอนลงบนเตียง เขาขยับสะโพกหนีซางกวนซีเฟยอีกครั้งพลางขมวดคิ้ว นั่นเพราะในตอนนี้ ภายในร่างกายของเขามันยังคงร้อนรุ่มอยู่ และมันยากมากหากจะต้องมาควบคุมทั้งร่างกายและอารมณ์ ณ ขณะนี้

“ท่านเซียว ก่อนหน้านี้นายก็เพิ่งจะจับต้นขาฉันมา 2 ชั่วโมงเต็ม ไม่คิดจะรับผิดชอบที่ได้สัมผัสมันหน่อยเหรอคะ?”

แววตาอันงดงามของซางกวนซีเฟยสั่นคลอนเบา ๆ นั่นเพราะตลอดทางที่เซียวเฟิงแบกเธอมานั้น มือปลาหมึกของเขามันก็เอาแต่จะบีบนวดต้นขาของเธออยู่ตลอดเวลา

“นั่น…ก็แค่เผลอไป” เซียวเฟิงพยายามกระชับคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจของเขามันอ่อนแอลงมาก ๆ และอย่างที่เขาได้กล่าวไว้ สิ่งที่เผลอไปนั้นคือเผลอไปจริง ๆ

“หน้าผากของท่านเซียวร้อนมาก ๆ เลย แล้วก็ยังดูเหมือนว่าท่านเซียวจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่เหมือนแต่ก่อนด้วย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกันไหม?”

ซางกวนซีเฟยนั้นรู้อยู่แล้วว่าเซียวเฟิงไม่ใช่คนฉวยโอกาส ดังนั้นเธอจึงเลิกแกล้งหยอกเล่นและเข้าไปดูอาการเขาใกล้ ๆ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกาย มือที่เรียวสวยเหมือนปฏิมากรรมอันอ่อนนุ่มก็สัมผัสไปที่หน้าผากของเซียวเฟิงเบา ๆ พร้อมพูดด้วยความเป็นห่วง

“เสี่ยวหยูให้ยาฉันไว้ก่อนพวกเราจะออกมา และผลลัพธ์มันก็เหลือเชื่อมาก ๆ ด้วย” เซียวเฟิงไม่ปกปิดเรื่องนี้ไว้

“ยาชูกำลังชั้นเลิศเหรอ?” ซางกวนซีเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะนึกไปถึงฉากตอนที่จางเสี่ยวหยูป้อนยาเซียวเฟิงก่อนจะจากกันมา

“ฉันกลัวว่ามันจะเลวร้ายยิ่งกว่ายาชูกำลังอีกเนี่ยสิ ตอนนี้ฉันกำลังสงสัยว่าเสี่ยวหยูไปขโมยเจ้ายานี่มา แล้วมันน่าจะเป็นยาอายุวัฒนะ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า เขารู้อยู่แล้วว่าคนในตระกูลจางนั้นมีความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุกันสืบทอดมาตั้งแต่โบราณ และลุงรองของเขา จางจงเหมา เองก็เป็นผู้สืบทอดวิชานี้รุ่นล่าสุดด้วย ดังนั้นคนคนนี้จึงถือว่าเป็นบุคคลที่สร้างผลประโยชน์ให้แก่ตระกูลจางเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

มันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อตอนที่จางเสี่ยวหยูแอบย่องเข้าไปในลานของจางจงเหมา ต้องเป็นตอนนั้นแน่ ๆ ที่เธอคนนี้แอบขโมยเอายาล้ำค่านี่มา

“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ตราบใดที่มันช่วยท่านเซียวได้ ฉันว่าน้องเสี่ยวหยูเองก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายนายหรอก ไม่งั้นเธอคงไม่ให้ยาที่ทำให้แผลบนหัวไหล่นี่หายเร็วขนาดนี้” ซางกวนซีเฟยหายใจด้วยความโล่งอก

“แต่ยานั่นไม่หมดฤทธิ์ซักที ตราบใดที่ผลของยายังไหลเวียนอยู่ในร่างกายของฉัน มันก็ทำให้ฉันยากที่จะควบคุมตัวเองในบางอย่าง เพราะงั้นเธอควรจะอยู่ให้ห่างฉันเอาไว้”

เซียวเฟิงยกมือขึ้นดันไหล่ของซางกวนซีเฟยที่เข้ามาปล่อยกลิ่นหอมตรงหน้าออกไปให้ห่าง ในเวลานี้ กลิ่นหอมหวนของเธอนั้นทำให้เขายากที่จะควบคุมตนเองมากที่สุด หากเธอยังคงอยู่ใกล้ ๆ ปล่อยกลิ่นให้เขาสูดดมเช่นนี้ มีหวังเขาไม่สามารถทนได้แน่ ๆ

“ไม่ใช่ว่าท่านลุงจางเพิ่งจะบอกไปหรอกเหรอว่าร่างกายของฉันถือเป็นประโยชน์กับท่านเซียวน่ะ? เพราะงั้นพวกเรา…”

ฮีลเลอร์สาวไม่ยอมแพ้ เธอเลียริมฝีปากอมชมพูมันวาวของตนเองด้วยสีหน้าเย้ายวน แววตาอันงามงดเปล่งประกายแสงจาง ๆ อีกครั้ง พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เซียวเฟิงอีกรอบ

“ไม่ ฉันกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำให้เธอเจ็บ”

และเช่นเดิม เซียวเฟิงเลือกที่จะปฎิเสธความพยายามนั้น และแน่นอนว่าสิ่งที่หนุ่มสาวพูดคุยกันนั้นไม่มีอะไรหลุดรอดจากการได้ยินของคิงคองไปได้ เขาสามารถแยกประสาทการรับรู้ได้แม้ตนเองจะทำอย่างอื่นอยู่

สิ่งที่น่าห่วงที่สุดตอนนี้คือสภาพจิตใจของเซียวเฟิงในตอนนี้ ซึ่งขนาดตอนที่เซียวเฟิงปกติดี ต่อให้ร่างกายของซางกวนซีเฟยจะพิเศษขนาดไหน สุดท้ายก็ยังต้องนอนชาอยู่บนเตียงหลายวัน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเซียวเฟิงที่ควบคุมอารมณ์ความเร่าร้อนในตนเองไม่ได้เลย ฮีลเลอร์สาวคนสวยผู้นี้ได้นอนระบมหนักเกินกว่าจะจินตนาการได้แน่ ๆ

เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะต้องทนขนาดไหน เซียวเฟิงก็จะต้องกลับไปยังเมืองเฉิงไห่โดยสวัสดิภาพให้ได้ และเขาจะไม่ยอมให้สาว ๆ ในคฤหาสน์ต้องมารับภาระจากตัวเขาอีกอย่างแน่นอน

“ถ้าว่างก็ไปเอาหมวกเล่นเกมมาให้ฉันซะ”

เซียวเฟิงไม่เปิดโอกาสให้ซางกวนซีเฟยได้เข้าใกล้เขาอีกด้วยการให้เธอออกไปของให้ จากนั้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เขาก็รีบสวมมันเข้าไปที่หัวปล่อยให้เธอแก้มป่องไม่พอใจและเข้าสู่โลกของเกมไปทันที

ยามที่เซียวเฟิงลมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าของเขาก็เป็นภาพประตูเมืองแห่งความโศกเศร้า ที่เดิมก่อนเขาจะออฟไลน์ไปเมื่อครั้งก่อน ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ถูกโจมตีแต่อย่างใด แสดงให้เห็นชัดเจนว่าภายใต้อาณาเขตของเมืองแห่งความโศกเศร้า ไม่มีผู้เล่นคนใดกล้าที่จะฝืนกฎของมัน

ระหว่างที่เซียวเฟิงสวมชุดที่ปกปิดร่างกายและซ่อนชื่อเอาไว้ ไม่มีผู้เล่นคนไหนรู้ว่าเขาเป็นใคร สังเกตได้จากการที่ไม่มีผู้เล่นมามุงรอบตัวเขาขณะที่กลับมาออนไลน์นี้ จะมีก็แต่ผู้เล่นบางคนที่เดินออกมาใกล้ ๆ กับจุดที่เขาอยู่และออฟไลน์ไปเท่านั้น

ในโลกแห่งเกมนี้ ร่างกายของเซียวเฟิงสามารถขยับได้อย่างอิสระ มันทำให้ตัวเองรู้สึกดี อย่างน้อย ๆ ความร้อนที่พลุ่งพล่านภายในร่างกายก็ไม่ได้ตามมาหลอกหลอนถึงในโลกใบนี้ การเดินทางจากภูเขาอู่ถังไปยังเมืองเฉิงไห่ใช้เวลาราว ๆ 12 ชั่วโมงหากขับรถไป คำนวณเวลาแล้วกว่าจะถึงปลายทางผลข้างเคียงของยาที่กินไปน่าจะสงบลงแล้ว และมันน่าจะทำให้ในโลกความจริงนั้น เขาสงบลงได้ดังเดิม

“เธออยู่ไหน? เอาชุดของฉันมาคืนเร็ว ๆ เลย” เซียวเฟิงเปิดดูรายชื่อเพื่อน และเมื่อเขาเห็นซือเยี่ยจิ๋งออนไลนอยู่ เขาก็รีบส่งข้อความไปหาเธอทันที

“นายอยู่ไหน?” ซือเยี่ยจิ๋งตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“เมืองแห่งความโศกเศร้า” เขาเหลือบมองผู้คนที่เริ่มคับแน่นบริเวณหน้าประตูเมืองก่อนจะตอบไป

“ถ้างั้นรออยู่ที่เมืองสักครู่หนึ่ง เดี๋ยวฉันจะรีบไป” บทสนทนาจบลงง่าย ๆ โดยที่ซือเยี่ยจิ๋งไม่ได้พูดอะไรต่อ ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนเองถึงทำเช่นนี้

เซียวเฟิงส่ายหน้าเบา ๆ แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าเมืองแห่งความโศกเศร้าไป ชายหนุ่มไม่ได้กลับมาที่นี่นานมาก ๆ มันเลยทำให้เขาไม่รู้เลยว่าที่แห่งนี้เปลี่ยนไปมากมายขนาดไหน

ทว่ายังไม่ทันไร ความประทับใจแรกก็ปรากฏขึ้นมา เพราะเมื่อมองดูดี ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าปริมาณผู้ที่มายังเมืองนี้มันเริ่มจะเยอะเกินไปแล้ว ผู้คนที่แออัดบริเวณประตูนั้น ไม่สามารถเดินเข้าไปได้ในทีเดียว

พวกเขาต้องค่อย ๆ เดินเข้าไปเพราะเบียดกันเอง ทุกท่านต้องตระหนักกันก่อนว่าเมืองแห่งความโศกเศร้านี้เป็นเมืองหลักระดับ 2 ซึ่งมีประตูเมืองกว้างถึง 8 เลนเลยทีเดียว เช่นนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ง่าย ๆ เลย!

หลังจากที่สามารถเข้ามาในเมืองได้แล้ว เซียวเฟิงก็ถึงกับพูดไม่ออกอีกครั้ง เพราะตามระนาบกำแพง มีร้านค้ามากมายผุดขึ้น ซึ่งแต่ละร้านก็มีชื่อและสโลแกนโฆษณาแตกต่างกันออกไป ที่สำคัญ ห้างร้านเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแบรนด์ธุรกิจชื่อดังหรือไม่ก็แบรนด์ยักษ์ใหญ่กันทั้งนั้น! ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่าจะสามารถสังเกตเห็นที่ทำการกิลด์หลัก ๆ ภายในเขตฮัวเซียหลายกิลด์แทรกอยู่ตามร้านค้าเหล่านี้ แต่เพราะการที่พวกเขาต่างก็ขึ้นป้ายรับสมัครสมาชิกเพิ่มกัน มันเลยทำให้ทุกอย่างกลมกลืนกันไปหมด

ถนนที่กว้างใหญ่ภายในเมืองอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย และแออัดไปด้วยการซื้อขาย เสียงตะโกนและความจอแจ แม้แต่ร้านค้าผู้เล่นที่ตั้งแผงลอยอยู่ข้างทางก็ยังคึกคัก ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงร้านค้าระบบภายในเมืองแห่งนี้เลย แต่ละร้านล้วนแต่มีคิวแถวที่ทอดยาวออกมาด้านนอกกันทั้งนั้น

“พวกนายกำลังต่อแถวซื้ออะไรกันน่ะ?” เซียวเฟิงสุ่มถามเอาจากผู้เล่นคนหนึ่งที่กำลังเข้าแถวซื้อของอยู่ ซึ่งแถวดังกล่าวกินเนื้อที่มาถึงกลางทางเดินเลย เขาเลยอดไม่ได้ที่จะถาม

“ซื้ออาวุธไง นายไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?” คำถามของเซียวเฟิงถูกผู้เล่นหน้าใสคนหนึ่งตอบกลับ ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะเป็นคลาสนักธนู เขาดูจะร้อนใจกับคำถามของเซียวเฟิงเสียเหลือเกิน

“ซื้ออาวุธ? อาวุธอะไร?” ทว่าเซียวเฟิงก็ยังไม่ได้หยุดถามเพียงเท่านั้น เนื่องจากร้านค้าของระบบน่ะ จะขายก็แค่อาวุธระดับขาวเท่านั้น หรือต่อให้ร้านนายช่างเองได้อาวุธระดับสูงสุดก็แค่หายาก หลัก ๆ แล้วฟังก์ชั่นที่ผู้เล่นมาขอให้ NPC ช่วยทำให้ส่วนมากจะเป็นการตีบวกอาวุธกัน มันใช้วัตถุดิบและค่าจ้างจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ก็จะสามารถทำให้อาวุธธรรมดา ๆ พิเศษขึ้นมาได้ ซึ่งตามปกติอาวุธที่ผู้เล่นใช้ก็จะมาจากการปราบมอนสเตอร์ได้กันอยู่แล้ว

ดังนั้นการที่มีคนจำนวนมากมาที่แห่งนี้ มันย่อมไม่ปกติแน่ ๆ แล้วยิ่งคำตอบของนักธนูคนนี้ ก็ยิ่งทำให้เซียวเฟิงประหลาดใจ หรือว่าเมืองแห่งความโศกเศร้าสามารถขายอาวุธระดับสูงได้แล้วเหรอ?

“แน่นอนว่าต้องเป็นอาวุธระดับทองเลเวล 40 อยู่แล้วครับ พวกนี้เป็นอาวุธที่ดีที่สุดในเกมเลยในตอนนี้ รวมถึงแพงที่สุดในเกมด้วยนะครับ” คราวนี้คำตอบมาจากผู้เล่นนักเวทที่กำลังต่อแถวอยู่ด้านหน้านักธนูผู้นี้ เขาเป็นนักเวทที่ดูจะมีความอดทนสูงมาก ๆ

“อาวุธระดับทองเลเวล 40 งั้นเหรอ?” น่าประหลาดใจจริง ๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้ผู้เล่นจะสามารถซื้ออาวุธระดับสูงมาใช้กันได้แล้ว!

“ใช่แล้วครับ เพราะตอนนี้ดันเจี้ยนส่วนใหญ่ที่เปิดได้เป็น ดันเจี้ยนเลเวล 35 กันหมดแล้ว มันเลยทำให้ตลาดร้านค้าเองก็ต้องนำอาวุธหรืออุปกรณ์เลเวล 35 ขึ้นไปมาขายด้วยน่ะครับ อนึ่งก็เพราะผู้เล่นส่วนใหญ่เลเวลสูงกว่า 40 กันแล้วด้วย หากหวังพึ่งของที่เลเวลต่ำกว่าเลเวล 35 กันต่อคงจะไม่ดีแน่ ๆ อ๊ะ แต่ว่าที่นี่ยังไม่มีอาวุธเลเวล 45 หรอกนะครับ เพราะยังไม่มีดันเจี้ยนเลเวลนั้นถูกเปิดได้สำเร็จ เพราะงั้นแล้วหากมีข่าวคราวว่าที่ไหนมีอาวุธเลเวล 40 หรือ 45 หลุดรอดออกมา พวกผู้เล่นก็จะแห่กันมาทันทีเลย และด้วยความที่ปกติพวกเขาจะได้สิ่งนี้กันแค่จากการกำจัดมอนสเตอร์ระดับสูง มันเลยกลายเป็นของหายากมาก ๆ ยิ่งชิ้นไหนหายาก ราคาตลาดก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ดังนั้นการที่มีร้านค้าระบบนำสิ่งเหล่านี้มาขายได้ มันเลยกลายเป็นตัวกระตุ้นความต้องการของผู้เล่นชนิดที่ว่าขาดดุลการค้าได้เลยน่ะครับ”

จากคำพูดและกริยาของนักเวทหนุ่มผู้นี้ ดูเหมือนเขาน่าจะมีอุปกรณ์หรืออาวุธดี ๆ ไว้ในครอบครองแล้ว เพราะงั้นจึงสามารถอดทนรอกับแถวที่ยาวยืดนี้ได้

“นายเพิ่งจะบอกว่าเมืองแห่งความโศกเศร้าสามารถขายอาวุธระดับทองเลเวล 40 ได้แล้วสินะ?” สิ่งที่เซียวเฟิงสนใจนั้นไม่ใช่ความต้องการของผู้เล่น หากเป็นการที่เมืองแห่งความโศกเศร้านี้สามารถขายอาวุธระดับสูงได้แล้วต่างหาก

“ใช่แล้วครับ ในฐานะที่ที่นี่เป็นเมืองแห่งการค้าแห่งแรกของเขตฮัวเซีย เมืองแห่งความโศกเศร้ามีฟังก์ชั่นที่น่าเหลือเชื่ออยู่ด้วย เมื่อครั้งที่พวกเขาประกาศว่า NPC ร้านขายของภายในเมืองนี้มีอาวุธระดับทองขายแล้ว ทั่วทั้งฮัวเซียก็ไม่มีใครเชื่อเลยนะครับบ เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่าพวกเราทุกคนต่างก็ล้วนอยากได้อาวุธระดับทองมาเป็นพื้นฐานกันไว้ก่อน อย่างน้อย ๆ มันก็ช่วยทำให้สามารถเอาตัวรอดในเกมได้ง่ายมากขึ้น ในเมื่อมีการประกาศว่า NPC มีขาย ผมเองก็รีบมาที่ร้านขายอาวุธที่เมืองนี้เพื่อเห็นด้วยตาตนเองเช่นกัน และมันเป็นความจริง ที่นี่มีอุปกรณ์ระดับทองคำขายจริง ๆ! แถมยังมีสูงถึงเลเวล 40 เลยด้วย! ถึงแม้ว่าราคาของอาวุธเหล่านี้จะสูงมาก แต่ยังไงมันก็ล่อตาล่อใจผู้เล่นให้หลั่งไหลเข้ามาได้อยู่ดี!” นักเวทหนุ่มอธิบาย

เซียวเฟิงพยักหน้ารับฟัง เขาพอจะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นแล้ว และเมื่อได้ลองหันมองรอบ ๆ เพื่อสังเกตดูดี ๆ ผู้เล่นที่กำลังต่อแถวอยู่นี้ก็ไม่ใช่ผู้เล่นทั่วไปเสียด้วย ต่อให้พวกเขาไม่ใช่คนดัง แต่อุปกรณ์และอาวุธของพวกเขาก็จัดอยู่ในระดับสูง ชัดเจนเลยว่า พวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องการเงินเลยแม้แต่นิด เป็นพวกคนร่ำรวยที่แท้จริง!

“เฮ้ ฉันถามว่านายเป็นใคร? ทำไมนายถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย? นี่นายเป็นผู้เล่นจากฮัวเซียจริงหรือเปล่าเนี่ย? นายไม่รู้เหรอว่าตอนนี้เมืองแห่งความโศกเศร้าน่ะโด่งดังขนาดไหนแล้ว?” นักธนูคนเดิมยังคงมองเซียวเฟิงด้วยความใจร้อนหลังจากเซียวเฟิงทำตัวแปลก ๆ ให้เห็น

“ฉัน…แด๊ด” เซียวเฟิงตอบ

“นายบอกว่านายเป็นใครนะ?”

“ฉันบอกว่า ฉันชื่อ…แด๊ด”