บทที่ 313 - ช่วงเวลาสำคัญ (2)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 313 – ช่วงเวลาสำคัญ (2)

[ใกล้ถึงเวลาแล้ว]

เสียงฮึกเหิมเคร่งขรึมได้ดังก้องไปทั้งท้องพระโรง

[อีกไม่นานดวงดาวก็จะออกไปจากมิดเดิลเวิลด์]

หลังพูดจบราชินีปรสิตได้กางปีกกระดูดขึ้น ที่ปลายปีกดูสั่นไหวเล็กน้อยเป็นสัญญาณของความตื่นเต้น

[ทุกคนฟัง]

จากนั้นขณะที่ราชินีปรสิตยื่นมือออกไปและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง-

“ขออภัยด้วยท่านราชินีที่เคารพ”

น้ำเสียงแผ่วเบาได้ขัดเธอเอาไว้ ในตอนนี้เองความอ่อนน้อมอันอัปลักษณ์ ความบริสุทธิ์อันโสมม ความเอื้อเฟื้ออันน่าขยะแขยง ความอดทนอันบ้าคลั่ง ต่างก็หันไปมองด้วยความตกตะลึง

จากนั้นพวกเขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังมองตรงไปที่ราชินี

พูดขัดคำพูดของราชินีผู้สูงส่ง? เหล่าผู้บัญชาการกองทัพทั้งสี่คนที่ได้รับพลังของเทพแห่งคุณธรรมทั้งเจ็ด และกลายมาเป็นข้ารับใช้ของราชินีต่างก็คิดไม่ถึงเลย

“มีเรื่องที่ผมอยากจะรู้อยู่ ผมขอถามได้ไหม?”

มีเพียงแค่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเท่านั้นที่เงยหน้ามองชายที่กำลังพูดอยู่แค่เล็กน้อย

“อวดดี!”

น้ำเสียงสง่างามได้ดังขึ้น แม้ว่าเจ้าของเสียงนี้จะดูเหมือนกับสตรีชั้นสูง แต่ด้วยผ้าห่อศพที่พาดอยู่บนตัวเธอก็ได้ให้บรรยากาศที่มืดมน

นี่คือความอดทนอันบ้าคลั่ง

“ต้องขออภัยต่อองค์ราชินีด้วย โปรดอภัยแก่เผ่าพันธุ์อันต่ำต้อยคนนี้ด้วย”

ด้วยความกลัวว่าราชินีจะพิโรธขึ้นทำให้เสียงของวิญญาณหญิงสาวนี้ดังก้องทั้งท้องพระโรง

แต่ท่าทีของราชินีกลับน่าตกใจยิ่งกว่า โดยปกติแล้วเธอลงโทษเหล่าผู้บัญชาการที่โอหังพร้อมทั้งเผยถึงจิตสังหารออกมา

[พูดสิ]

แต่ความนี้เธอกลับปล่อยผ่านมัน และยิ้มขึ้น

[มีอะไรที่เจ้าสนใจขนาดนั้นงั้นหรอ?]

เธอดูเหมือนกับแม่ที่เฝ้ามองดูลูกเกิดใหม่

ขณะที่ความอดทนอันบ้าคลั่งตกตะลึง ซึงชิฮยอนก็ยิ้ม

“ผมมีคำถามนี้มาตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์แล้ว”

[พูดมาได้เลย ข้าก็สงสัยเหมือนกัน]

ซึงชิฮยอนได้พูดตรงๆทันที

“เหตุผลอะไรที่ทำให้ท่านหมกหมุ่นอยู่แต่กับมัน?”

[หมกหมุ่น?]

“ผมหมายถึงป้อมปราการไทกอล ผมก็เคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง แล้วที่นั่นก็ไม่ใช่เล่นๆเลย”

[แล้วยังไงล่ะ?]

ราชินีปรสิตพยักหน้าออกมา

“เอ๋ มันไม่เชิง ‘แล้วไง?’ สิครับ”

[คิคิ เข้าใจแล้ว เจ้าอยากจะรู้ว่าทำไมเราถึงเอาแต่โจมตีป้อมปราการไทกอลทั้งๆที่มีสถานที่อื่นที่โจมตีได้อยู่แล้วสินะ]

[ถูกครับ มันก็จริงที่ว่าป้อมปราการไทกอลต้องถูกพังลงให้ได้ แต่ค่อยทำลายมันทีหลังก็ได้นี่ พูดตามตรง หากท่านปล่อยวางสหพันธรัฐไว้ก่อน และไปสนใจกับการโจมตีมนุษยชาติ ป่านนี้อาณาจักรทั้งเจ็ดก็คงล่มสลายไปนานแล้ว”

[ถูกแล้วล่ะ ถ้างั้นแล้วเจ้าจะถามไปทำไมล่ะ?]

“ผมกำลังจะบอกว่าผมมีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจอยู่?”

“ทำไมเจ้าไม่หยุดแค่นี้ล่ะ?”

เมื่อคำถามของซึงชิฮยอนจบลง ความอดทนอันบ้าคลั่งก็ขัดขึ้นอย่างสงบ

“มนุษย์นี่ไม่มีมารยาทกันเลยงั้นหรอ? เดรัจฉานน่าขยะแขยง หากพูดในเรื่องนี้เแล้ว ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าราชินีของเรา”

ซึงชิฮยอนได้หันหน้าไปมอง เขามองดูวิญญาณสาวที่สวมใส่ชุดเหมือนชนชั้นสูงด้วยสายตารำคาญเล็กน้อย

“ไม่มีความอดทนสมชื่อเลยนะ เป็นฉายาที่เหมาะกันซะจริง!”

ความอดทนอันบ้าคลั่งได้แค่นเสียงกับคำเยาะเย้ยนี้

“น่าขำนะที่เจ้าพูดแบบนั้น ข้าในตอนนี้อดทนมากแล้วนะ หากว่าไม่ใช่เพราะเรากำลังอยู่ต่อหน้าองค์ราชินี ข้าได้ไปสอนบทเรียนให้กับเจ้านานแล้ว”

“โอ้ งั้นหรอ?”

ซึงชิฮยอนได้ลุกขึ้นยืนนิ่งๆ เมื่อเขาหันหน้าไปจับดาบขึ้นมา เหล่าผู้บัญชาการก็ไม่อาจจะซ่อนความตกใจเอาไว้ได้อีก

ซึงชิฮยอนกำลังท้าสู้อยู่อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังเป็นต่อหน้าราชินีอีกด้วย

“องค์ราชินี”

ซึงชิฮยอนอ้าปากพูดออกมา

“ท่านน่าจะรู้เหตุผลที่ผมทรยศมนุษยชาติใช่ไหม”

[ข้ารู้]

“ถ้างั้นท่านก็น่าจะเข้าใจว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ท่านเป็นคนใจกว้างใช่ไหมล่ะ?”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันเหย่อหยิ่ง ราชินีปรสิตก็หัวเราะเสียงดังออกมา

[แน่นอน ลูกของข้าไม่ยินดีนักที่รู้ว่าเจ้าร่วมมือกับเรา โดยเฉพาะความอดทนอันบ้าคลั่งที่เคยพ่ายแพ้เจ้าในการต่อสู้ครั้งก่อน]

“เนื่องจากเรากำลังจะทำสงคราม ผมจะไม่ทำให้เธอถึงตาย ผมจะหยุดไว้แค่สั่งสอนเธอก็พอ”

[ฟุฟุ เจ้าดูถูกราชินีวิญญาณเกินไปแล้ว เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าเจ้ายังควบคุมพลังไม่ได้เลย]

“จนกว่าผมจะได้ฉีกผ้าห่อศพนั่นของเธอ ผมก็จะไม่รู้ว่าเธอควรให้ความเคารพหรือควรดูถูก ผมสงสัยจริงๆว่าเธอคนนี้จะทำเสียงยังไงบนเตียง”

ใบหน้าของหญิงสาวชนชั้นสูงได้แดงขึ้นทันทีเมื่อถูกชายหนุ่มพูดเหยียดหยามในเรื่องบนเตียง มันเหมือนกับว่าเธอจะปะทุได้ทุกเมื่อแล้ว

[กำหนดลำดับชั้นงั้นสินะ ข้ายอมรับว่ามันไม่เลว]

ราชินีปรสิตได้เท้าคางหัวเราะออกมา

[แต่เจ้ายังไม่ได้รับคำตอบเลยนี่สิล

เมื่อได้ยินแบบนี้ซึงชิฮยอนก็เก็บดาบที่เกือบจะชักออกมากลับไป

“ที่นี่ก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าท่านได้อนุญาติแล้ว”

เขาได้ยิ้มสดใส จากนั้นก็กลับไปคุกเข่า

[คำตอบสำหรับคำถามของเจ้าก็ง่ายมาก]

เสียงของราชินีปรสิตดังออกมา

[เหตุผลที่ข้าหมกหมุ่นอยู่แต่กับป้อมปราการไทลกอล นั่นก็เพราะว่าป้อมปราการไทกอลคือจุดเปลี่ยนสุดท้าย]

“จุดเปลี่ยนสุดท้าย?”

[จุดเปลี่ยนที่เป็นทางแยกที่เราจะต้องผ่านไปเพื่อให้ถึงอนาคตที่ดีที่สุดที่ข้าวาดหวังไว้]

“ผมไม่คิดเลยนะว่าองค์ราชินีจะชอบทำตัวคลุมเครือเหมือนกู่ลา… ท่านแค่พูดว่า ‘เราโจมตีป้อมปราการก็เพราะ…’ ไม่ได้หรอ? นั่นมันจะทำให้ผมเข้าใจได้ง่ายมากกว่า”

[หากว่าเจ้าต้องการแบบนั้น ข้าก็จะลดระดับตัวเองลงไปในระดับเดียวกับเจ้าและถามออกมา อะไรคือแรงขัดขืนใหญ่สุดของสหพันธรัฐกับมนุษยชาติที่เจ้านึกออกในตอนนี้ล่ะ?]

“นั่นก็…”

ซึงชิฮยอนได้ตอบกลับหลังพึมพำคำถาม

“การฟื้นฟูอาณาจักรภูติและชุบชีวิตต้นไม้โลก แล้วผมเดาว่าเป็นการร่วมมือกันของมนุษยชาติกับสหพันธรัฐงั้นหรอ?”

[แล้วสมมติว่าเรื่องทั้งหมดนั่นกลายเป็นจริง เจ้าคิดว่านั่นจะพอพลิกกระแสของสงครามครั้งนี้ไหม?]

ซึงชิฮยอนเอียงหัวออกมา

“อืม… สงครามอาจจะยาวนานขึ้น และกลายเป็นน่ารำคาญขึ้น… แต่ผมก็ไม่คิดว่าเราจะเสียเปรียบหรือกระทั่งแพ้เลยนะ ตราบใดที่ผมควบคุมพลังนี้ได้น่ะนะ”

[เจ้าพูดถูก ที่เจ้าจะพูดก็คือชัยชนะอยู่ตรงหน้าเราแล้ว]

“นั่นแหละ ถ้างั้นแล้วทำไม-”

[มันจะเป็นแบบนั้น หากว่าเราสามารถกำจัดอุปสรรคหนึ่งไปได้]

เมื่อได้ยินแบบนี้ซึงชิฮยอนก็แสดงสีหน้าอ่อนลง

“อุปสรรค?”

[ข้ากำลังพูดถึงเรื่องดวงดาว ดวงดาวที่เปล่งประกายยิ่งกว่าดวงใดๆ]

ราชินีปรสิตพูดอย่างสงบก่อนจะเงยหน้าขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นราวกับกำลังมองดูดวงดาวนับไม่ถ้วนที่กำลังเปล่งประกายอยู่รอบโลกใบนี้

หลังจากเยบอยู่สักพัก

[มีดาวอยู่นับไม่ถ้วนในจักรวาล ไม่ใช่แค่ในพาราไดซ์เท่านั้น แต่คือทั้งจักรวาล]

ราชินีปรสิตได้พูดต่อไป

[ดวงดาวส่วนใหญ่ต่างกำเนิดขึ้นมาพร้อมชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้แล้ว โดยทั่วไปดวงดาวเหล่านั้นจะไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมที่ถูกเลือกเอาไว้แล้วได้]

ดวงดาวส่วนใหญ่จะดำเนินไปตามชะตาที่ถูกกำหนด ดังนั้นแล้วหากว่ามีสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนการโคจรของดวงดาวไปจากวิถีเดิมได้ ในท้ายที่สุดมันก็จะถูกดูดย้อนกลับเข้ามาในที่เดิม

[แต่ว่า]

ในตอนนี้เองการคาดการณ์ของราชินีปรสิตบิดเบี้ยวไป

[มีดวงดาวจำนวนน้อยมากที่จะสร้างชะตากรรมของตัวเองขึ้นมาได้]

ดวงดาวที่จะไม่โคจรไปตามการดึงดูดจากภายนอก ดวงดาวที่สามารถจะใช้พลังของตนเองสร้างเป็นอนาคตสำหรับตนเองขึ้นมาได้

[และในหมู่ดวงดาวที่หาได้ยากเหล่านั้นก็ยังจะมีดวงดาวที่ทำให้ดาวดวงอื่นวิวัฒนาการขึ้นได้ด้วย]

นอกจากนี้ยังมีดวงดาวที่ดึงดูดดวงดาวใกล้ๆเข้ามาในวงโคจร และเปลี่ยนวิถีการโคจรของฝ่ายตรงข้ามไปอย่างช้าๆ

[…ข้า]

น้ำเสียงของราชินีปรสิตกำลังสั่นเทา

[ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น และก็ยังหวาดกลัวดวงดาวประเภทนั้น]

ทั้งท้องพระโรงได้เกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้น ไม่มีใครคิดเลยว่าราชินีจะยอมรับว่าเธอหวาดกลัว

มีเพียงแค่ความอ่อนน้อมอันอัปลักษณ์เท่านั้นที่ก้มหัวนิ่งโดยไม่เคลื่อนไหว

[ย้อนกลับไปมันเป็นเพียงแค่ดาวที่ตายไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นด้วยการถูกความทรงจำอันน่าอับอายในอดีตรบกวนทำให้สุดท้ายข้าทำพลาดครั้งใหญ่ลงไป]

“ท่านหมายถึง…”

[การส่งเจ็ดกองทัพไปกำจัดดาวดวงนั้น]

ซึงชิฮอยนกำลังถามว่า ‘ถ้าท่านกลัว ทำไมท่านไม่ทำลายดาวดวงนั้นซะเลยล่ะ?’ แต่เมื่อได้ยินราชินีปรสิตพูดแบบนี้ เขาก็ต้องเงียบไป

‘มันแปลกอยู่นะ’

ส่วนหนึ่งในใจเขายังคงสงสัย ราชินีได้ส่งสามกองทัพที่นำโดยความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ออกไป แต่ว่าดาวดวงนั้นก็ยังรับไหว?

แต่มันก็แปลกอยู่ดี ด้วยพลังที่มากขนาดทำคุกคามให้มนุษยชาติต้องล่มสลายได้กลับต้องมากังวลเพียงแค่ดาวดวงเดียว

[นั่นเป็นความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ได้แล้ว ทั้งหมดที่ข้าต้องทำก็คืออย่าสนใจ และเดินไปตามเส้นทางเดิมต่อไป]

ราชินีปรสิตได้ตัดพ้อมกับตัวเองออกมา

แต่ใครจะไปโทษเธอได้ล่ะ? ที่เธอต้องเลือกอย่างร้อนรนก็เพราะดวงดาวที่ตายไปแล้วส่องแสงกลับขึ้นมา

แค่ดูจากการโคจรของดวงดาวในตอนนี้ก็มองออกได้ง่ายมากเลย เส้นทางมากมายที่นำไปสู่อนาคนที่ราชินีปรสิตต้องการได้ถูกปิดตัวลง ในอีกด้านหนึ่งเส้นทางมากมายที่จะนำไปสู่อนาคตที่มนุษยชาติกับสหพันธรัฐต้องการได้ถูกเปิดขึ้น

แต่ว่ากระแสนำก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป

ถึงแม้ว่าราชินีปรสิตจะต้องใช้สิ่งที่เธอสร้างขึ้นมาอย่างมากมาย แต่อนาคตที่เธอต้องการก็ยังมีอยู่

แต่หากว่าเธอทำพลาดแบบคราวก่อนอีกครั้งหนึ่งล่ะ?

ถึงแม้ว่าราชินีปรสิตจะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยมันก็ชัดเจนมากว่าจะเกิดกลายเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนน่าหวาดกลัวขึ้น

และในที่สุดราชินีปรสิตก็รับรู้ว่าดวงดาวนั่นไม่อาจจะเข้าไปยุ่งย่ามได้ง่ายๆ

การเข้าไปแตะต้องดาวดวงนั้นโดยไม่ระวังมีแต่จะทำให้ดวงดาวพัฒนาขึ้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงไม่ไปกระตุ้นดาวดวงนั้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

[นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราต้องยึดป้อมปราการไทกอล]

ป้อมปราการไทกอล จุดเปลี่ยนสุดท้าย ขั้นตอนสุดท้ายที่จะต้องทำก่อนที่ราชินีปรสิตจะไปถึงอนาคตที่ต้องการ

“ฮ่าๆ”

ซึงชิฮยอนพูดออกมา

“แล้วที่ท่านบอกว่าดาวดวงนั้นจะออกไปจากมิดเดิลเวิลด์…”

เขาพยักหน้าและพูดต่อ

“ท่านหมายความว่าท่านจะโจมตีป้อมปราการไทกอลในระหว่างที่เขาไม่อยู่ในโลก”

[ถูกต้อง]

ในที่สุดราชินีปรสิตก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ

[ทันทีที่ป้อมปราการไทกอลพังลง ชะตาของสหพันธรัฐกับมนุษยชาติก็ถูกกำหนดไว้แล้ว โลกจะมุ่งไปตามอนาคตที่ข้าต้องการ ดังนั้นมันจะต้องทำในระหว่างที่ดาวดวงนั้นจากไป]

อนาคตจะถูกเปิดกว้างสุดก็ต่อเมื่อข้ามผ่านอุปสรรคสุดท้ายนี้ไปได้ นับตั้งแต่นั้นไปชะตากรรมของเหล่าปรสิตก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่น

[แม้กระทั่งแซลมอนก็ไม่อาจจะว่ายทวนกระแสน้ำเชี่ยวได้]

ราชินีปรสิตพูดอย่างหนักแน่น

[ไม่ว่าดวงนั่นจะเปล่งประกายแค่ไหน แต่ก็เป็นแค่ดาวดวงหนึ่งอยู่ดี ตราบใดที่เส้นทางของดวงดาวได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าจะดิ้นรนมากสักแค่ไหน ก็มีแต่จะหมดแรงไปเองเท่านั้น]

“…ผมเข้าใจแล้ว”

ซึงชิฮยอนพยักไหล่ออกมา

“ผมก็ไม่ได้จะขัดการต่อสู้ที่จะมาถึงอะไรหรอกนะ ผมแค่สงสัยเท่านั้นเอง สำหรับผมแล้วแค่นั่งดูการแสดงเฉยๆก็พอใจแล้ว”

[ใช่ ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปสำหรับเจ้าที่จะมุ่งหน้าสู่สนามรบ ข้าจะสั่งให้เจ้าลงมือก็ต่อเมื่อเจ้าชินกับพลัง และควบคุมมันได้แล้วเท่านั้น]

“แต่ก็ไปดูได้ใช่ไหม?”

[ตราบเท่าที่เจ้าจำที่ข้าพูดไว้ได้]

หลังจากอนุมัติแล้ว ราชินีปรสิตก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์

[ทุกคนฟัง!]

ผู้บัญชาการทั้งหมดก้มหัวต่ำลง

[ข้ามั่นใจว่าทุกๆคนได้ยินกันแล้วว่าสงครามกำลังจะมา]

[ทันทีที่ดวงดาวเคลื่อนออกไปก็จะถึงเวลาสงครามของเรา]

[และเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว]

[รวบรวมกองกำลัง! ในระหว่างที่ดวงดาวจากไป ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อโค่นป้อมปราการไทกอล!]

การประกาศสงครามเต็มกำลังเริ่มขึ้นแล้ว เหล่าปรสิตที่อยู่สงบมานาหลังความพ่ายแพ้ที่หุบเขาอาร์เดน ได้ตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ผู้บัญชาการกองทัพได้ขานรับคำราชินี และลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

ในตอนนั้นเองราชินีปรสิตได้เรียกผู้บัญชาการคนหนึ่ง

[เจ้าอยู่ที่นี่]

“องค์ราชินี?”

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่ถูกเรียกชื่อได้ถามกลับไป

[ใช่ มีเรื่องที่ข้าต้องคุยกับเจ้าส่วนตัว]

เมื่อผู้บัญชาการอีกห้าคนได้จากไปตามลำดับแล้ว ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็เงยหน้าขึ้น

“หืม ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะไม่มอบคำสั่งอันน่าเบื่อหน่ายให้ข้าอย่างการโจมตีมนุษย์ที่ถูกมัดไว้”

นอกเหนือจากซึงชิฮยอนแล้ว ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ดูดซับพลังของคุณธรรมทั้งเจ็ดได้จนหมดสิ้น

เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของมังกรตนสุดท้าย ราชินีก็ยิ้มออกมา

[ไม่ต้องห่วง นั่นก็เป็นสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน แต่ว่าภารกิจที่ข้าจะมอบให้เจ้าเป็นอีกเรื่อง ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องสนใจแน่]

“โฮ่ ท่านเพิ่งจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของป้อมปราการไทกอล ท่านกำลังบอกข้าว่ามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกงั้นหรอ?”

[มันช่วยไม่ได้ นี่ก็เพราะดาวอีกดวงหนึ่ง]

ราชินีปรสิตพูดอย่างไม่เต็มใจ

“โฮ่ ดาวอีกด้วย หรือท่านคงจะหมายถึง-”

[ดาวแห่งราคะ]

ดวงตาความเมตตาอันบิดเบี้ยวสว่างขึ้น

ราชินีปรสิตได้เงยหน้ามองกำเพดานอีกครั้งหนึ่ง เธอกำลังมองไปที่ดวงดาวที่เธอหวาดกลัวที่สุด

ถึงแม้ว่าแสงสว่างของมันในตอนนี้จะเพียงแค่เล็กน้อย แต่เธอก็ไม่กล้าประมาท นั่นก็เพราะว่าหากดูในอีกมุมแล้ว เพียงแค่แสงสว่างอันเล็กน้อยนี้ก็ทำให้มันมีความสำเร็จถึงขนาดนี้

เธอจะต้องไม่ทำพลาดซ้ำสอง

ราชินีปรสิตที่จดจ่ออยู่กับกลุ่มดาวได้กำหมัดแน่นขึ้น

[การกระทำล่าสุดของเขาทำให้ข้ารู้สึกไม่ดีเลย]

“ข้าทึ่งแล้วสิ ถ้างั้นแล้วท่านจะให้ข้าทำอะไร?”

[หากว่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์อยู่ที่นี่ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เด็กคนอื่นๆไม่อาจจะทำให้ข้าพึงพอใจได้ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ข้าจะฝากฝังเรื่องนี้ได้]

ราชินีปรสิตหันสายตากลับลงมา และพูดต่อ

[นับจากนี้ไป เจ้าจะ…]

เพราะแบบนี้ทำให้เธอไม่เห็นบางอย่าง

เบื้องหลังดาวดวงที่เธอหวาดกลัว มีดาวดวงเล็กๆที่ซ่อนอยู่แผ่ความหนาวเย็น และเริ่มลุกโชนขึ้นอย่างเงียบๆ

***

ในเวลาเดียวกัน

อึนยูริกำลังนั่งมองหน้าอยู่กับโรเซร่า

“คุณอึนยูริ…”

แม้ว่ามันจะไม่ชัดเจนว่าทั้งคู่พูดอะไรกัน แต่โรเซร่ากำลังแสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยออกมา

“อาจารย์”

อึนยูริได้เรียกโรเซร่าด้วยน้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความเร่งรีบ

“อาจารย์คิดว่าเป็นไปได้ไหม?”

โรเซร่ากระพริบตานิ่งๆอยู่พักหนึ่ง

“สรุปคือ…”

เธอเลียริมฝีปากและพูดต่อ

“ยืนพลังของเส้นทางที่ร่างอวตารของต้นไม้โลกใช้เพื่อปรากฏตัว เชื่อมต่ออาณาจักรภูติกับมิดเดิลเวิลด์ และทำให้โลกแห่งความฝันการเป็นจริง”

โรเซร่าพูดอย่างสงบพร้อมวางแก้วชาที่พึ่งจิบลงไป

“…คุณอยากจะสร้างพื้นที่ที่อยู่เหนือกว่าโลกแห่งดวงดาวที่มีสองโลกซ้อนทับกัน พื้นที่ที่แม้กระทั่งฉันก็ยังไม่เข้าใจ และไม่อาจจะมั่นใจได้ว่า…”

เคร๊ง เมื่อเสียงแก้วชากระทบกับที่วางแก้วดังขึ้น-

“โอ้”

มุมปากของโรเซร่าก็โค้งเป็นรอยยิ้ม

“คุณอึนยูริ คุณช่างมีความคิดที่น่าสนใจจริงๆเลย