บทที่ 312 – ช่วงเวลาสำคัญ (1)
หลังจากได้รับพลังงานมาจากเทเรซ่าแล้ว ซอลจีฮูก็กลับมาหนักแน่นได้เหมือนเคย
ก่อนที่พวกเขาจะแยกกันเทเรซ่าก็ได้ขอเขาหนึ่งอย่าง เธอไม่ได้ขออะไรมาก แต่แค่ให้เขาประทับตราสัญญา
ซอลจีฮูที่สงสัยว่าอาจจะเป็นสัญญาแต่งงานทำให้เขาอ่านเนื้อหามันอย่างละเอียดก่อนที่จะต้องเบิกตากว้าง
“เจ้าหญิง นี่มัน…”
“การจับตาชีวิต”
เทเรซ่าได้อธิบายออกมา
“โดยพื้นฐานแล้วมันคือสัญญาที่จะทำให้นายสามารถมองเห็นพลังชีวิตของอีกฝ่ายได้ มันจะบอกให้ได้รู้ถึงสถานะของอีกฝ่ายไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
“ถ้างั้นแล้วมันก็จะช่วยบอกว่าฉันอยู่หรือตายงั้นสินะ?”
“ใช่แล้ว หากว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สัญญาก็ยังจะคงอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าหากนายอยู่ในจุดวิกฤติเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งร้อนขึ้นเท่านั้น และเมื่อพลังชีวิตหายไป สัญญาก็จะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน”
ซอลจีฮูพยักหน้าออกมา เขาเข้าใจว่าทำไมเทเรซ่าถึงได้เอากระดาษแผ่นนี้ออกมา
‘ไม่เลวเลย’
การเคลื่อนไหวสำคัญของมนุษยชาติรวมไปถึงเทเรซ่าเองจะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของแผนการเขา หากว่าแผนการชุบชีวิตต้นไม้โลกล้มเหลว มันก็จะเหมือนกับการเอาไข่ไปกระทบหินเหมือนอย่างที่ซินเซียพูดไว้
นี่คือสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่เขาไม่อยากจะนึก แต่ว่าหากมันเกิดขึ้นจริง ถ้างั้นการเลือกถอยกลับไปให้เร็วก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ในจุดนี้สัญญานี้จะช่วยได้
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ซอลจีฮูได้ประทับตราลงไปบนสัญญาโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
เทเรซ่าที่มองดูเขาด้วยสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อยได้พูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“จริงด้วย ยังมีกระดาษอีกแผ่นอยู่ด้านล่างนะ ประทับตรามันด้วย…”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆอ่านสัญญาอีกฉบับเช่นเดียวกัน… แต่ว่าเขาก็ต้องชะงักมือที่กำลังจะประทับตราลงไปอย่างหวาดกลัว
น้ำเสียงเทเรซ่าได้กลายเป็นแหลมสูงขึ้น
“มัวทำอะไรอยู่ล่ะ? ทำไมไม่ประทับตรา?”
“คือว่านะ นายมาบังคับแบบเด็กๆนี่มันอะไรกัน… เธอทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
“ช่างเถอะ วันนี้มันไม่ใช่วันปลอดภัยเพราะงั้นก็น่าจะมีโอกาสสูง เรามาทำมันกันเถอะ”
“อะไรนะ? จะปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยก็ตาม… แต่ทำไมเราถึงต้องทำแบบนั้นด้วย?”
“ก็เพราะว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนาย ถ้างั้นฉันก็จะไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อน่ะสิ หากว่าเรามีลูกกัน ฉันก็น่าจะยังพอมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่บ้าง ฉันน่าจะยังคงใช้ชีวิตเฝ้ามองดูลูกที่เหมือนกับนายได้”
ซอลจีฮูที่เห็นเทเรซ่าพยักหน้าพูดกับตัวเองอย่างน่าทึ่งได้กลายเป็นพูดไม่ออก
“เจ้าหญิง! ไม่ใช่ว่าเธอควรจะอวยพรให้ฉันปลอดภัยหรอกหรอ?”
“แน่นอนสิ ฉันจะอวยพรให้นาย!”
“แล้วสัญญานี่มันอะไรกัน!?”
“อะไรล่ะ? เรื่องนี้มันผิดตรงไหนกัน!?”
“นี่เธอจะทำแบบนี้จริงๆงั้นหรอ!?”
“ใช่สิ! ฉันเป็นผู้หญิงนะนายรู้ไหม!?”
ในท้ายที่สุดแล้วทั้งคู่ก็เถียงกันขึ้นทั้งๆที่ไม่ได้พบกันมานานแล้ว
ยังไงก็ตามหลังจากเถียงกันอยู่สักพักหนึ่ง ทั้งคู่ก็ยิ้มออกมาราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่จะแยกกันไป
***
ในตอนเย็นวันเดียวกันจางมัลดงก็ได้กลับมา
ซอลจีฮูได้ทักทายกับปาร์ควูรี และยูยอลมูที่เขาไม่ได้เจอกันนานแล้ว
ทั้งคู่ดูจะดีใจที่ได้เจอกับซอลจีฮู แต่ไม่นานนักพวกเขาก็กลับไปพักที่ห้องด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าจากการฝึกหนัก
อึนยูริก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ว่าเธอก็ยังคงอยู่ฟังเรื่องราวของซอลจีฮู
“นายรับงานยากมาอีกแล้วนะ”
หลังจากได้ยินคำอธิบาย จางมัลดงก็ได้ถอนหายใจออกมา
การอยู่รอดของอาณาจักรภูติ
ไม่ต้องพูดถึงชาวโลกโดยทั่วไปเลย เรื่องนี้แม้กระทั่งสหพันธรัฐก็ยังทำไม่ได้
ซอลจีฮูหาวิธีการได้แล้ว แต่จางมัลดงก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี แต่ถึงแบบนั้นจางมัลดงก็รู้ว่านี่คือเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จ
“ระวังตัวด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมคิดว่ามีคนช่วยผมมากกว่าที่ผมคิดไว้”
“เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีนะ”
ทั้งคู่ได้คุยกันง่ายๆ และลุกขึ้นยืนเหมือนอย่างเคย จางมัลดงได้แนะนำให้เขาไปพัก แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังไม่ออกไปจากสำนักงาน
เขาอยากที่จะไปบาร์ กินดื่ม และเพลิดเพลิน เพราะเขาไม่ได้ไปที่นั่นมาสักพักแล้ว
เขาบอกกับทุกคนว่าจะไปคนเดียว แต่อึนยูริก็ได้เดินตามเขามาอย่างไม่สนใจใดๆ เธอตามหลังเขามาเงียบๆด้วยสีหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
ซอลจีฮูก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอ
เขาได้นั่งลงอยู่บนโต๊ะยาว และพูดทุกๆอย่างที่อยู่ในหัวออกไป ทั้งเรื่องการฝึกของเธอ และถามเธอว่าเคยมาที่บาร์นี้มาก่อนหรือเปล่า
“ที่บาร์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของฉันเลยนะ”
หลังจากดื่มน้ำลงไปแล้ว ซอลจีฮูก็มองไปรอบๆก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แต่ด้วยเสียงของผู้คนภายในบาร์ก็ทำให้เสียงพูดของเขาแทบจะถูกกลบไปหมด
“นี่เป็นที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น ฉันได้เข้าร่วมทีมซามูเอลในฐานะคนแบกของ ไปทำสัญญากับคาเพเดี่ยม ไปที่ป่าแห่งการปฏิเสธ และได้เจอกับโฟลน…”
“อืม”
“ยังไม่หมดแค่นั้นนะ ทุกๆอย่างมันเกิดขึ้นภายในบาร์แห่งนี้ ฉันจะมาดื่มที่นี่พร้อมทั้งมองหาคนร่วมทีมไปทำภารกิจ แล้วก็มีการทะเลาะกันโดยไร้เหตุผล เอาเถอะนะ เรื่องต่างๆก็ทำนองนี้แหละ”
“…”
“แต่รู้ไหมว่าทุกๆครั้งที่มันเกิดขึ้นฉันคิดอะไรอยู่?”
“ไม่ค่ะ”
“อ่อ! ฉันจะ-”
เขากำลังเมาจนหลุดพูดบางอย่างออกมาแล้ว แต่ซอลจีฮูก็พูดต่อโดยไม่ใจใส
“ฉันจะ… กลับมาที่นี่ได้ไหม… เพื่อนของฉันล่ะ… แล้วจะยังมาคุยหัวเราะกันได้ไหม…?”
อึนยูริที่นั่งกินขนมฟังเขาพูดอยู่เงียบๆได้นิ่งไป
“ฉันจะกลับมาได้หรือเปล่า… ในคราวนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง…”
ซอลจีฮูปล่อยเสียงหัวเราะพร้อมยิ้มอย่างเหนื่อยล้า
“หากว่าคราวนี้ฉันยังทำมันได้ก็คงดีนะ…”
ในตอนนั้นเองจู่ๆมือเขาก็ล้วงลงไปในกระเป๋า
“พี่”
อึนยูริพูดขึ้นเบาๆ
“ว่าไง?”
“ภารกิจคราวนี้… ฉัน-”
“ไม่ได้”
ซอลจีฮูได้ปฏิเสธโดยไม่ฟังให้จบเลย
“นับตั้งแต่ที่พี่เจอฉันในเขตพื้นที่เป็นกลาง ฉันแกร่งขึ้นมากแล้วนะ ระดับร่างกายฉันดีขึ้น รวมถึงความสามารถเวทมนต์ด้วยนะ”
อึนยูริได้พยายามโน้มน้าวเขาให้เธอได้เข้าร่วมภารกิจ แต่ว่า…
“ฉันรู้ ฉันรู้ว่าเธอน่าทึ่งอึนยูริ”
ซอลจีฮูส่ายหัวออกมา
“แต่ว่าในภารกิจนี้เรามีนักเวทย์อยู่แล้ว โดยเฉพาะเขาเป็นนักเวทย์ที่โดดเด่นที่สุดอีกด้วย”
“การมีนักเวทย์สองคนในทีมก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไรนี่นา ฉันไม่เป็นตัวถ่วงหรอกนะ”
ซอลจีฮูเงยหน้าขึ้น
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”
ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็เบาลงไป
“นั่นมันไม่ใช่ปัญหา”
อึนยูริที่ชะโงกหน้าเข้ามาเพื่อฟังสิ่งที่เขาพูดให้ชัดจู่ๆก็ตัวสั่นขึ้น
สีหน้าของซอลจีฮูได้เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน ดวงตามึนเมาที่กำลังเปล่งประกายสีน้ำเงินกำลังจ้องมองเธออยู่
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่อึนยูริได้เห็นสีหน้าอื่นของซอลจีฮู
“ในตอนนี้ดาวแห่งความโลภคือชายที่อยู่ในจุดสูงสุดของนักเวทย์ และเป็นผู้บริหารที่เทพได้เลือกเอาไว้”
“…ค่ะ”
“แม้กระทั่งคนแบบเขาก็ยังไม่ใจไม่ได้เลยว่าเขาจะรอดหรือเปล่า… นี่แหละคือความโหดร้ายของภารกิจนี้”
“…”
“คุณอึนยูริ คุณคิดว่าคุณจะทำได้ดีกว่า… ไม่สิ ทำได้เท่าเขาหรือเปล่า?”
อึนยูริไม่อาจจะตอบกลับมาได้
ถึงว่าเธอจะเป็นอัจฉริยะในด้านเวทมนต์ก็จริง แต่ว่ามันก็ยังอีกยาวไกลกว่าเธอจะไปเทียบกับฟิลิปส์ มูเลอร์ได้
“…ไม่”
อึนยูริตอบกลับเบาๆ
“ใช่ไหมล่ะ?”
อึนยูริได้คลายสีหน้าออกมา และยิ้มขึ้น
ค่อยๆฝึกฝนเรียนรู้ต่อไป ในอนาคตต่อให้เธอไม่อยากไป ฉันก็จะพาเธอไปด้วยเอง”
หลังพูดแบบนี้สุดท้ายแล้วเขาก็เอามือออกมาจากกระเป๋า
“พูดไปแล้วก็นะ!”
ตึง! เขาได้วางบางอย่างลงตรงหน้าอึนยูริ มันก็คือชิ้นส่วนน้ำแข็งที่ปล่อยความหนาวยะเยือกออกมา
อึนยูริได้กระพริบตาอยู่หลายครั้งด้วยความตกใจ ก่อนที่สายตาเธอจะเริ่มเป็นประกายขึ้นเมื่อเห็นดอกไม้ที่ถูกน้ำแข็งห่อหุ้มอยู่
“แก่นแท้น้ำแข็ง”
อึนยูริได้หันกลับมาจ้องซอลจีฮู
ซอลจีฮูที่เข้าใจการกระทำของเธอผิดได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมา
“ขอโทษด้วยนะ ฉันน่าจะให้เธอตั้งแต่ที่จบบทฝึกสอนแล้ว แต่ว่ามันยุ่งมากจนฉันลืมสนิทเลย”
อึนยูริได้กลายเป็นสับสนไป เธออยากจะได้มัน แต่เธอก็ไม่มั่นใจว่าเธอรับมันมาได้จริงๆหรือเปล่า
“รับไปสิ ฉันมีแก่นแท่นแห่งพลังแล้ว ฉันคิดว่าการให้มันกับคนอื่นคงจะดีกว่า แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ การให้เธอมันก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ลองคิดดูนะ พลังเวทย์ของเธอจะทรงพลังขนาดไหนหากเสริมพลังน้ำแข็งสุดขั้วเข้าไปด้วยน่ะ?”
พอซอลจีฮูได้โน้มน้าวเธอพร้อมทั้งยื่นส่งแก่นแท้น้ำแข็งให้เธอ ในที่สุดอึนยูริก็ได้แกล้งยอมแพ้และรับมันมา
“ฉันก็น่าจะช่วยเธอหลอมแก่นแท้และผสานมันเข้าไป แต่โชคร้ายที่ฉันไม่มีเวลาแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำมันเองได้”
“เอาเถอะ ในเมื่อพลังเวทมนต์ต่อต้านปีศาจเป็นหนึ่งในสาขาเวทย์มาก่อน คุณโรเซร่าก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี”
ซอลจีฮูได้ยกมือจับหน้าผากเขา แอลกอฮอล์ได้ทำให้เขาเวียนหัวแล้ว
“อ่า… ตอนนี้คงต้องไปแล้ว ฉันต้องออกไปตั้งแต่เช้าซะด้วยสิ”
เขาได้ลุกขึ้นยืนพิงกับโต๊ะ ก่อนจะมองไปที่ทางออกด้วยสายตาพร่ามัวพร้อมพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมประตูมันดูอยู่ไกลจังเลย…”
อึนยูริกระพริบตามองดูซอลจีฮูที่ยืนมั่นคงไม่ได้เลย เขาดูเหมือนกับจะล่มลงได้ตลอดเวลา อึนยูริที่กำลังเล่นกับก้อนน้ำแข็งอยู่กำลังจะลุกขึ้นยืนตามเขา แต่จู่ๆก็ลังเลขึ้นมา
เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่าคำพูดว่า ‘ไม่’ อันแน่วแน่ของซอลจีฮูได้ย้อนเข้ามาในหัวเธอ
แต่ความลังเลนั่นก็อยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เธอได้แสดงสีหน้ามุ่งมั่นก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน และวิ่งตามหลังเขาไป
เธอได้วิ่งมายืนอยู่ข้างๆซอลจีฮูที่กำลังโซเซ และพยุงเขาไว้
“ให้ฉันช่วยนะคะ”
“อ่า… ฉันไหว…”
“พี่ดูไม่ไหวเลยสักนิด ให้ฉันช่วยเถอะค่ะ”
“เข้าใจๆแล้ว นี่มันดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบคุณนะ”
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมา ก่อนจะแสดงความขอบคุณ
“ฉันคิดว่าฉันไหวนะ…”
เขาได้ยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“ฉันคิดว่าฉันทำมันได้ แต่… บางครั้งฉันก็เหนื่อยเหมือนวันนี้…”
อึนยูริได้เม้มปากขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘เหนื่อย’
“ไม่ต้องห่วงค่ะ”
เธอได้เผลอจับแขนเขาแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ฉันจะช่วยเอง ”
***
วันต่อมา แอ็กเนสก็ได้มาถึงสำนักงานตั้งแต่เช้าตามสัญญา
หลังจากกล่าวลากับทั้งสี่คนที่สำนักงานแล้ว ซอลจีฮูก็โดยสารรถม้าที่ทางราชวงศ์เตรียมไว้ให้ออกไป
เนื่องจากรถม้าที่พวกเขานั่งถูกลากด้วยฮอรัสถึงแปดตัว ทำให้ไม่นานนักก็หายไปไกลจนสุดขอบฟ้า
จนกระทั่งหายไปจนลับตาแล้ว จางมัลดงก็ถอนหายใจยาวก่อนจะหันหน้ากลับไป
“หืม?”
เมื่อเขาเห็นคนๆหนึ่งด้านหลังเขา เขาก็เบิกตากว้างขึ้น
ปาร์ควูรีกับยูยอลมูได้กลับไปที่สำนักงานแล้ว แต่ว่าอึนยูริยังคงยืนอยู่ตรงนี้โดยที่จ้องมองไปทางที่รถม้าหายไปด้วยสายตาที่ลุกโชน
“…ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม”
เธอได้กำดอกไม้ที่ถูกน้ำแข็งห่อหุ้มไว้แน่นจนไม่สนความหนาวเย็นที่มือเลย
***
ซอลจีฮูได้ติดต่อไปหาฟิลิปส์ มูเลอร์ในระหว่างทางกลับอีวา นั่นก็เพื่อแจ้งข้อมูลการเข้าพบซิซิเลียของเขา
ฟิลิปส์ มูเลอร์ก็ได้บอกความคืบหน้าทางฝั่งเขาเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือผลลัพธ์ของพวกเขาไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ดาวแห่งอัตตากับดาวแห่งความพิโรธต่างก็ตกลงโดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องชุบชีวิตต้นไม้โลกสำเร็จ เหมือนอย่างที่ดาวแห่งความเกียจคร้านทำ
สิ่งที่น่าสบายใจที่สุดก็คือพวกเขาได้รับคำสัญญาจากราชวงศ์ของทั้งสองเมืองที่จะมีคำสั่งเกณฑ์พล และสนับสนุนพวกเขาในตอนที่สงครามปะทุขึ้น
ในท้ายที่สุดแล้วทุกๆอย่างก็ขึ้นอยู่กับภารกิจของพวกเขา ชะตาของสหพันธรัฐ และมนุษยชาติขึ้นอยู่กับความสำเร็จของพวกเขา
พวกเขาจะรอดต่อไปได้อีกครั้ง หรือจะจบสิ้นไปทั้งแบบนี้
บ่าซอลจีฮูได้หนักขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อคิดเรื่องนี้ หัวใจเขาก็ยังกลายเป็นหนักอึ้ง เขาเริ่มจ้องมองดูภาพการเปลี่ยนแปลงต่างๆภายนอกรถม้า
“นายเปลี่ยนไปหน่อยนะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้น ซอลจีฮูได้หันหน้ากลับไปมองแอ็กเนส
“ผมหรอครับ?”
เขาชี้มาที่ตัวเอง
“ใช่”
แอ็กเนสพยักหน้าเบาๆ
“คนเรามักพูดว่าชายหนุ่มจะถูกตำแหน่งหน้าที่หล่อหลอมขึ้น คงจะจริงนะ”
“…ยังไงหรอครับ?”
“ไม่รู้สิ”
แอ็กเนสได้มองเขาด้วยรอยยิ้มบาง
“อย่างแรกเลยฉันคิดว่านายเป็นแค่เด็กน้อยขี้แกล้งเท่านั้นเอง… แต่พอได้มาเห็นความตั้งใจของนาย ฉันก็ต้องมองนายใหม่แล้ว”
ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังพูดเลย
แอ็กเนสพยักไหล่ขึ้น
“ก็ไม่ได้แย่หรอกนะ มันน่ายกย่อง ใช่แล้วล่ะ ผู้ชายก็ต้องมีด้านที่จริงจังซะบ้าง ที่ฉันรู้สึกแบบนี้คงเพราะว่าฉันจับตาดูนายมาตั้งแต่เขตพื้นที่เป็นกลางแล้วล่ะมั้ง”
ซอลจีฮูเอียงหัวออกมา ย้อนไปตอนนั้นเขาเพิ่งจะเลิกเล่นพนัน
“ผมไม่มั่นใจ…”
ขณะที่เขากำลังจะพูดต่อให้จบก็มีบางอย่างดึงดูดสายตาเขาไว้
นั่นก็คือบริเวณช่วงล่างเอวของแอ็กเนสที่มีความแน่นและเด่นชัด
จากที่ไม่ได้เห็นมานาแล้วได้ทำให้ซอลจีฮูยิ้มขึ้น และพูดออกมา
“จริงด้วย นี่คือสิ่งที่คุณคิดสินะ?”
“นี่นายคิดว่านายกำลังพูดอะไรอยู่?”
น้ำเสียงของแอ็กเนสได้กลายเป็นแหลมสูงขึ้น
“ไม่ใช่นะ ผมแค่ไม่ได้เห็นมานาแล้ว ผมก็เลยคิดว่าผมควรจะทักทายมัน”
“จะหุบปากไหม!?”
ทันใดนั้นแอ็กเนสก็ตัวแข็งทื่อด้วยความโกรธ และรีบตรวจสอบหน้าต่างสถานะเพื่อดูว่ามีฉายาไร้สาระเพิ่มมาอีกหรือเปล่า
ซอลจีฮูที่เห็นแบบนี้ก็หัวเราะออกมา
“โอ้ นายกำลังหัวเราะงั้นสินะ?”
“คะ คุณแอ็กเนส?”
“มันน่าขำหรอ? มันน่าขำมากสินะ?”
แน่นอนว่าไม่นานนักเสียงหัวเราะก็กลายเป็นเสียงร้องเหมือนกับหมูถูกเชือด
***
กองทัพสิ่งมีชีวิตสีดำมืดที่ได้ย้อมให้ทั้งสวรรค์และผืนดินกลายเป็นสีดำสนิท
ที่ปลายแถวของมันมีเมดูซ่าที่มีผมเป็นงูอยู่
ทุกๆครั้งที่มีเสียงร้องดังออกมา แมลงและแมลงสาบก็จะพุ่งขึ้น ด้านหลังของพวกมันก็มีมอนสเตอร์รูปร่างเหมือนปลายักษ์ทีมีหนวดออกมาจากทุกส่วนของร่างกายอยู่
ติเมโร่
ทุกๆครั้งที่มันอ้าปากก็จะมีปรสิตพุ่งออกมาจากปาก และกรามของมัน หากว่าเมดูซ่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของปรสิตระดับกลางที่ให้กำเนิดปรสิตระดับต่ำ ถ้างั้นติเมโร่ก็เป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของปรสิตระดับสูงที่ให้กำเนิดปรสิตระดับกลาง
และด้านหลังของมันก็เป็นมอนสเตอร์ที่มีขนาดเท่าอาคารที่ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยหนามแหลม เมื่อร่างกายของมันได้ขยายขึ้นอย่างกระทันหันจนเหมือนกับจะระเบิดออกมา ก็จะมีมอนสเตอร์ที่เหมือนแมมมอธเก้าหัวโผล่ขึ้น
ชื่อของสัตว์ประหลาดที่กลับไปอยู่ในขนาดเดิมอย่างรวดเร็วเหมือนบอลลูนก็คือเรจิน่า พวกมันเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของปรสิตระดับสูงสุดที่ให้กำเนิดปรสิตระดับสูงอย่างปีศาจหรือไฮดร้า
ด้านหลังของเรจิน่าก็คือรังที่มีจำนวนเกือบสามร้อยรัง ร่างกายของมันกำลังพองขึ้นราวกับกำลังหายใจ
รังก็แบ่งได้เป็นระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับสูงสุดตามการสั่งสมอาหาร การให้กำเนิด และประสบการณ์ของพวกมัน
ในตอนพวกมันยังอยู่ระดับต่ำจะไม่มีอะไรให้น่าสนใจนัก แต่เมื่อไหร่ที่มันวิวัฒนาการกลายเป็นระดับกลางก็จะให้กำเนิดเมดูซ่าขึ้นมา เมื่ออยู่ในระดับสูงก็จะให้กำเนิดติเมโร่ และสุดท้ายเมื่อพวกมันวิวัฒนาการถึงระดับสูงสุด พวกมันก็จะสามารถแพร่ระบาดเชื้อโลกไปพร้อมๆกันกับการให้กำเนิดเรจิน่าอีกด้วย
หรือก็คือรังเป็นรากฐานของกองทัพปรสิต เป็นที่ผลิตกองกำลังอันไม่สิ้นสุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารังจะถูกดูแลเหมือนกับเป็นสมบัติล้ำค่าของปรสิต เนื่องจากว่าพวกมันคืออำนาจที่สำคัญที่สุดของราชินีปรสิต การให้กำเนิดชีวิต และแพร่ระบาดมลพิษ
บวกเข้ากับกองทัพซากศพที่มาจากหลากหลายสายพันธุ์ในสงครามต่างๆได้ทำให้ทั้งสวรรค์และผืนดินถูกย้อมไปด้วยสีเทาขี้เถ้า
ราชินีปรสิตได้สูดลมหายใจเข้าด้วยกลิ่นเหม็นเน่าที่ปกคลุมทั่วทั้งจักรวรรดิ
หากว่าทุกๆอย่างจบลงเพียงเท่านี้ก็คงดี แต่ว่านี่ก็ยังไม่จบ กองกำลังสำคัญของปรสิต เจ็ดกองทัพซึ่งเป็นตัวการในการทำให้สหพันธรัฐกับมนุษยชาติต้องสิ้นหวังก็รวมอยู่ในก็ทัพนี้ด้วย
[ในที่สุดก็มาครบแล้ว]
น้ำเสียงมั่นใจของราชินีปรสิตได้ดังออกมาพร้อมกับที่เธอมองลงมาจากบัลลังก์
ในท้องพระโล่งมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่เปล่งออร่าทรงพลังกำลังรอรับคำสั่งเธออยู่
ยกเว้น ‘ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง’ ที่ถูกส่งไปกวาดล้างส่วนที่เหลือของอาณาจักรภูติแล้ว ผู้บัญชาการกองทัพทั้งหกคนต่างก็ถูกเรียกมารวมตัวในที่แห่งนี้