บทที่ 311 - เตรียมพร้อม (4)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 311 – เตรียมพร้อม (4)

สีหน้าซอลจีฮูกลายเป็นเศร้าลงแทบจะทันที มันเหมือนกับมีก้อนหินยักษ์ถูกทิ้งลงบนแม่น้ำสงบ

เขาอยากจะถามว่าเธอพูดจริงใช่ไหม แต่ว่าเขาก็ได้แต่หุบปากเงียบไว้

เขาไม่อาจจะหาคำใดออกมาพูดได้เลย หากว่าซิซิเลียเป็นองค์กรที่แสวงหาแต่กำไรเหมือนกับกลุ่มพันธมิตรอีวา ถ้างั้นซอลจีฮูก็จะรู้สึกผิดหวังกับพวกเขาอย่างมาก ถึงขนาดจะตำหนิออกมาตรงๆด้วย

แต่ว่าซิซิเลียต่างออกไป ในระหว่างสงครามหุบเขาครั้งก่อน พวกเขาได้ทำตามคำสั่งเกณฑ์ทหารของราชวงศ์โดยไม่อิดออด และยังนำชาวโลกไปเป็นแนวหน้าในสงคราม

ตัวซินเซียเองก็เกือบจะเอาตัวไม่รอดในการต่อสู้กับความอ่อนน้อมอันอัปลักษณ์ และแอ็กเนสก็บาดเจ็บสาหัสถึงขาทั้งสองข้างขาดไป

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ซอลจีฮูถึงกับพูดอะไรไม่ออก สำหรับซิซิเลียที่เป็นองค์กรซึ่งตั้งอยู่ในฮารามาร์คแล้ว ซอลจีฮูไม่มีสิทธิ์อะไรไปดึงพวกเขาเข้าสู่สงครามสหพันธรัฐเลยสักนิด

แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้และจากไปเงียบๆ ก็อย่างที่ฟิลิปส์ มูเลอร์ได้พูดเอาไว้ พวกเขาต้องการพลังของดาวแห่งความเกียจคร้าน

ซอลจีฮูได้พูดทำลายความเงียบออกมา

“พอจะบอกเหตุผลได้ไหมครับ”

“เหตุผลงั้นสินะ”

ซินเซียได้เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าซอลจีฮูด้วยความทึ่งก่อนจะพยักไหล่ออกมา

“ผิวเผินแล้วมันก็เพราะว่านี่อาจจะเป็นแผนการของราชินีปรสิตเหมือนในสงครามหุบเขาครั้งล่าสุด ฮารามาร์คเป็นเมืองที่อยู่แนวหน้า เพราะงั้นซิซิเลียจะต้องเตรียมตัวรับการซุ่มโจมตีที่อาจจะเข้ามาได้ แต่นี่ก็แค่เหตุผลแบบผิวเผินเท่านั้นแหละ… จริงๆฉันมีอีกเหตุผลหนึ่งอยู่ในใจอยู่”

ซอลจีฮูได้จ้องหน้าเธอนิ่งๆ และซินเซียก็ฉีกยิ้มออกมา

“เอาล่ะ บอกก็ได้ มันก็เพราะว่าฉันไม่อยากจะนำลูกน้องของฉันเข้าสู่สงครามที่แพ้อย่างแน่นอนไงล่ะ”

ซอลจีฮูเม้มปากแน่น

เขารู้ว่าปรสิตอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ นี่คือเหตุผลที่่เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้

ซินเซียอาจจะแค่คาดเดาเพราะเธอไม่ได้รู้รายละเอียดทั้งหมด แต่การที่เธอบอกว่าความพ่ายแพ้มันถูกกำหนดไว้แล้วทำให้ซอลจีฮูรู้สึกไม่สบายใจ

“เหยี่ยวสงครามแห่งทางใต้ นี่เป็นชื่อที่บางคนเรียกซิซิเลีย นายรู้ไหมล่ะว่าทำไม?”

“…ไม่ครับ”

“มันก็เพราะว่าเราได้ชนะสงครามส่วนใหญ่ที่เข้าร่วม แม้ว่าจะมีบางครั้งที่เราต้องยอมอ่อนข้อให้เพราะมีบุคคลที่สามเข้ามาข้องเกี่ยว แต่เราก็ไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้อย่างเอน็จอนาจได้สักครั้ง

“…”

“มันง่ายมาก เข้าร่วมในสงครามที่จะชนะ และหลีกเลี่ยงสงครามที่จะแพ้ ฉันจะยึดมั่นในหลักการนี้มาตลอด มันมีนับตั้งแต่วันที่ฉันก็ตั้งซิซิเลียแล้ว”

เสียงหัวเราะก็ยังดังต่อมา

“แน่นอนว่าฉันเคารพในความกล้าของนาย ฉันรู้ดีว่านายมันพิเศษ แต่ว่าสงครามครั้งนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะคิดยังไง มันก็ไม่มีความน่าดึงดูดให้ฉันลองดูเลย”

“แต่เราจะแค่นั่งอยู่เฉยไม่ได้นะครับ เมื่อไหร่ที่สหพันธรัฐพังลง มนุษยชาติก็จะเป็นรายต่อไป”

“แล้วนายไม่คิดว่าระหว่างสงครามนี้จะทำให้ทั้งพวกปรสิตกับสหพันธรัฐสูญเสียกันทั้งคู่หรอ?”

ซินเซียได้ประสานมือเท้าคางมองมาที่ซอลจีฮู

“หากว่าฉันเป็นหัวหน้าสหพันธรัฐ ฉันก็จะยอมทิ้งป้อมปราการไทกอลไปนานแล้ว จากนั้นฉันก็จะวางแผนสำหรับอนาคตข้างหน้าต่อ นี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะทำได้”

“จะบอกว่าป้อมปราการไทกอลเป็นป้อมปราการธรรมดาไม่ได้นะครับ”

“ฉันรู้ ใช่ ฉันยอมรับว่ามันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ในตอนนี้ต้นไม้โลกเหี่ยวเฉาลงไปแล้ว ตอนนี้ป้อมปราการไทกอลก็ไม่ได้ต่างไปจากของเล่นเลย”

“คุณซินเซีย”

“พอได้แล้ว”

เมื่อซอลจีฮูพยายามเกลี้ยกล่อมเธอ ซินเซียก็ขัดเขานิ่งๆ

“อย่ามาตื้อเลย ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่”

ซอลจีฮูกัดฟันแน่น

หากว่านายขอให้ฉันช่วยสร้างสถานการณ์ที่นำไปสู่ชัยชนะได้ ฉันก็อาจจะคิดดี แต่ว่านายอยากจะให้ฉันส่งคนของฉันไปที่ป้อมปราการไทกอลโดยไร้เหตุผลงั้นหรอ? นายคิดจริงๆหรอว่าฉันจะตอบตกลงในคำขอที่ให้ฉันส่งลูกน้องอันล้ำค่าของฉันไปตายน่ะ?ไ

ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงเงียบๆ เขาสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นในแต่ละคำพูดของซินเซียอย่างชัดเจน

“หากว่านายอยากจะให้ฉันเคลื่อนไหว ก็สร้างสถานการณ์ที่ทำให้ฉันเชื่อว่ามันชนะได้ซะ”

“…”

“ถ้านายเข้าใจแล้วก็ไปซะ ฉันจะไม่สนใจคำพูดของนายก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะตัวแทนซอล”

เธอได้พูดออกมาอย่างชัดเจนว่าหากเขาไม่ใช่ซอลจีฮูก็คงถูกเตะออกไปนานแล้ว

ยังไงก็ตามซอลจีฮูยังคงไม่ลุกขึ้น เขารู้ว่าซินเซียอาจจะปฏิเสธคำขอ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเศร้า แต่เขาก็จะขอเลือกทางเลือกที่สองแทน

“…หากว่าผมสร้างสถานการณ์ที่ได้เปรียบแต่แรก ผมก็คงจะทำมันก่อนจะมาที่นี่แล้วครับ”

ซอลจีฮูพูดอย่างสงบ

“แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันมันไม่ได้ดีนะ ต่อให้ผมจะพยายามทำอะไร ผมก็ไม่คิดว่าราชินีปรสิตจะอยู่เฉย”

“แน่นอนสิ แล้วยังไงล่ะ?”

น้ำเสียงห้วนๆของเธอกำลังถามว่าซอลจีฮูกำลังทำอะไร

ซินเซียเกลียดการพูดอ้อมค้อมที่สุด เพราะงั้นซอลจีฮูก็เข้าประเด็นทันที

“ถึงคุณจะไม่ได้วางแผนเข้าร่วมสงคราม แต่ผมก็อยากจะให้คุณไปเตรียมพร้อมใกล้ๆกับสนามรบ”

“อะไรนะ?”

“ผมจะชุบชีวิตต้นไม้โลก”

คิ้วซินเซียได้ขมวดขึ้น ในที่สุดซอลจีฮูก็อธิบายรายละเอียดออกมาแล้ว และความเงียบก็ได้ปกคลุมทั่วทั้งห้อง

“…งั้นนายกำลังบอกฉันว่า-”

ซินเซียได้เอียงหัวออกมาด้วยสายตาสุขุม

“คอยจับตาดูสภาพสงคราม และยืนยันถึงการคืนชีพของต้นไม้โลก ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วมสงครามได้ไหมครับ? ผมแค่ขอให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับเข้าร่วมสงครามในตอนได้รับสัญญาณ สัญญาณที่ผมชุบชีวิตต้นไม้โลกสำเร็จ หากว่า-”

“ฉันเข้าใจที่นายกำลังบอกนะ นายกลัวว่าสงครามจะจบลงไปในตอนที่ซิซิเลียได้รับข่าวความสำเร็จของนาย และเดินทางไปป้อมปราการไทกอลสินะ”

“ดาวแห่งความโลภบอกว่าต่อให้ต้นไม้โลกถูกคืนชีพ เขาก็รับประกันในความสำเร็จไม่ได้ มนุษยชาติจะต้องยื่นมือเข้าช่วยสหพันธรัฐ ผู้บริหารทุกๆคนคือพลังรบสำคัญที่ประเมินค่าไม่ได้เลย”

ซอลจีฮูอ้อนวอนออกมาอย่างจริงใจ ซินเซียกอดอกและก้มหัวลง เธอไม่ได้ปฏิเสธในทันทีอย่างก่อนหน้านี้ ในฐานะนักเวทย์แล้ว เธอก็ยอมรับในความเป็นไปได้ที่จะข้ามไปอาณาจักรภูติผ่านโลกแห่งดวงดาว

นอกไปจากนี้ซอลจีฮูก็ยังแสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลก และยังมีหญ้ากกอฟิโซ่อีกด้วย

“หากว่าต้นไม้โลกถูกคืนชีพ…”

เมื่อก่อนตอนที่ต้นไม้โลกยังอยู่ ป้อมปราการไทกอลเป็นกำแพงขวางที่ปรสิตไม่อาจข้ามผ่านได้เลย แม้กระทั่งการบุกรุกของรังนับ 200 รัง และผู้บัญชาการถึงห้าคนก็ยังผ่านไปไม่ได้

แน่นอนว่าสหพันธรัฐก็ยังได้ทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการป้องกันป้อมปราการเช่นกัน ดังนั้นแล้วมันจึงส่งผลให้ในปัจจุบันพวกเขาไม่อาจจะเข้าไปในอาณาจักรภูติได้

ไม่ว่าจะแบบไหนมันก็มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ หากว่าแผนของซอลจีฮูสำเร็จ เขาก็จะเปลี่ยนทิศทางของสงครามได้

“…หากว่าแผนของนายสำเร็จ คุณค่าของป้อมปราการไทกอลจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน”

แม้ว่าเธอจะไม่อาจบอกได้ถึงความสำเร็จ แต่คำแนะนำของซอลจีฮูก็มีจุดที่น่าสนใจ

เขาขอแค่ให้ซิซิเลียคอยยืนอยู่ใกล้กับป้อมปราการ รอจนกว่าที่ต้นไม้โลกจะคืนชีพแล้วค่อยตัดสินใจเข้าร่วมสงคราม

“หากว่าดูอาจจะชนะได้ก็เข้าร่วมสงคราม แต่หากไม่ก็แค่ถอนกำลังกลับมา”

ซินเซียได้พูดออกมาหลังจากคิดอยู่นาน

“เป็นของเสนอที่ไม่เลว ย่างน้อยมันก็ดีกว่าการขอให้เขาเป็นโล่มนุษย์”

เธอได้ยิ้มกว้างและพูดต่อ

“ฉันจะลองคิดดูนะ แต่อย่างน้อยฉันก็มีข้ออ้างไว้บอกกับคนของฉันแล้ว”

เธอได้ตอบกลับในแง่ดีมากขึ้น

“แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงเราจะอยู่ที่นั่นก็อย่าได้หวังให้เราช่วย เมื่อไหร่ที่ฉันคิดว่าหมดหวังแล้ว ฉันจะถอนกำลังกลับทันที”

“ที่จริงแล้ว นี่แหละคือเหตุผลที่ผมขอให้คุณช่วย”

ซอลจีฮูได้สูดหายใจลึกก่อนพูดต่อ

“ได้โปรดให้เรายืมตัวคุณแอ็กเนสด้วย”

“…อะไรนะ?”

“เราอยากจะได้คุณแอ็กเนสช่วยในอาณาจักรภูติ”

ซินเซียขมวดคิ้วขึ้นกับคำขอนี้ ในเวลาเดียวกันแอ็กเนสก็ตาเป็นประกาย

เดิมทีซอลจีฮูอยากจะให้ซินเซียไปด้วย แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และทำไม่ได้ด้วย

ด้วยตำแหน่งของเธอทำให้ไม่อาจจะเคลื่อนไหวอย่างไม่รอบคอบได้ และด้วยเอกลักษณ์ของฮารามาร์ค ซินเซียควรที่จะอยู่คอยสั่งการชาวโลกในมิดเดิลเวิลด์มากกว่า

นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกแอ็กเนสแทน หากไม่ได้ไก่ฟ้า เขาก็จะขอไก่ ถึงแอ็กเนสจะแกร่งไม่เท่าผู้บริหาร แต่ว่าเธอก็ได้รับการยอมรับในด้านความแข็งแกร่งเป็นวงกล้าม

“คุณเคยบอกผมก่อนหน้านี้ใช่ไหมล่ะ นั่นคือคุณจะให้ผมยืมพลังในการสร้างสถานการณ์ที่จะนำไปสู่ชัยชนะ”

ซินเซียแสดงสีหน้าราวกับถูกย้อนกลับ

“นี่นาย…”

จากนั้นเธอก็แค่นเสียงออกมา

“นี่คือเป้าหมายของนายงั้นสินะ?”

ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่มองดูเธอนิ่งๆ

ซินเซียหัวเราะออกมา

“นี่คือเหตุผลที่เราควรจะระวังคำพูดของตัวเอง นายคงจะได้เรียนรู้อะไรจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์มาบ้างแล้ว”

“ขอเถอะนะครับ การมีคุณแอ็กเนสไปด้วยจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการชุบชีวิตต้นไม้โลก”

“โอ้ ฉันก็ไม่สงสัยเหมือนกัน ยังไงแล้วความสามารถของนักล่าปีศาจทารันทูล่าก็คือการอาละวาดภายในสนามรบ แค่สิ่งเดียวนี้…”

ซินเซียได้เงียบลงไปพร้อมมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น เธอดูเหมือนจะกำลังไตร่ตรองถึงทางเลือก แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็ดูจะมีความสุขกับมันด้วย

หลังเงียบอยู่สักพัก ซินเซียก็พูดออกมา

“ลำบากจะเลยนะ ฉันไม่มั่นใจแล้วสิ มันเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ฉันต้องตัดสินใจอะไรลำบากแบบนี้”

เธอได้ส่ายหัวออกมาก่อนจะเหลือบมองไปด้านข้าง

“แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ?”

“ฉันคิดว่าการไปคือความคิดที่ดีค่ะ”

น่าแปลกที่แอ็กเนสได้ตอบกลับมาในทันที

ซินเซียอุทานขึ้น

“โฮ่ แล้วเหตุผลคือ?”

“จากที่เขาบอกเรา แผนของเขาดูจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เนื่องจากหัวหน้าไม่ได้พูดอะไรเลยในตอนเขาพูดถึงโลกแห่งดวงดาว นั่นมันหมายความว่าการข้ามไปอาณาจักรภูติด้วยวิธีนั้นมันเป็นไปได้”

“แล้ว?”

“ฉันก็ยังเชื่อด้วยว่านี่เป็นภารกิจที่ดีในสถานการณ์ปัจจุบันของฉัน ฉันติดอยู่ในระดับ 6 มาค่อนข้างนานแล้ว การได้ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จบางทีอาจจะช่วยให้ฉันก้าวเข้าไปอยู่ในระดับ 7 ได้ก็ได้”

“หมดแล้วหรอ?”

แอ็กเนสก็ยังคงพูดต่อไปกับคำถามที่ไม่รู้จบของซินเซีย

“ยิ่งไปกว่านั้นหากว่าทุกๆคนที่ตัวแทนซอลพูดถึงมาด้วย ถ้างั้นนี่ก็จะเป็นทีมทำภารกิจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์พาราไดซ์ เหล่าคนที่มีชื่อเป็นตำนานต่างก็มารวมตัวกัน ฉันต้องขอยอมรับเลยว่าฉันอยากจะร่วมงานกันกับพวกเขา”

แอ็กเนสได้ตอบกลับอย่างมั่นใจสมกับเป็นตัวเธอ

ซินเซียที่ฟังอยู่เงียบๆได้หัวเราะออกมา

“เธอไม่ได้พูดถึงอันตรายจากการเข้าไปในอาณาจักรภูติเลยนะ นี่เป็นหัวใจความเป็นแม่ที่อยากจะช่วยแก้ปัญหาให้ลูกน้อยหรือเปล่านะ?”

แอ็กเนสไม่ได้ตอบกลับไป เธอได้หลบสายตามองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ ซินเซียได้แต่เดาะลิ้นถอนหายใจออกมา

“พวกเขาบอกว่าการเลี้ยงลูกสาวไปมันไม่ได้อะไรเลย ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจซะแล้วสิ”

“ฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณค่ะ หัวหน้า”

“ฉันชุบเลี้ยงเธอมาเองกับมือเลยนะ แต่ก็ช่างเถอะ”

ซินเซียโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของซอลจีฮู เธอก็เผยรอยยิ้มออกมา

“ช่างเถอะนะ ทำตามใจเถอะ นี่เป็นสิ่งที่ฉันพูดไป แล้วก็เจ้าตัวเองก็อยากจะไปด้วย”

สีหน้าของซอลจีฮูสดใสขึ้นทันที

“ขอบคุณครับคุณซินเซีย แล้วก็คุณแอ็กเนสด้วย!”

แอ็กเนสแค่นเสียงออกมา เธอได้เชิดหน้าพูดเสียงสูงออกมา

“แล้วทีมปฏิบัติการจะเริ่มเดินทางเมื่อไหร่?”

“ยังไม่ได้กำหนดเวลาครับ แต่ผมหวังว่าเราจะไปให้เร็วที่สุด”

“เข้าใจแล้ว แต่ว่าฉันต้องการเวลาเตรียมตัว เพราะงั้นคงจะไปในทันทีไม่ได้”

“ได้ครับ พอจะบอกได้ไหมว่าเมื่อไหร่?”

“วันเดียวก็พอแล้ว พรุ่งนี้เช้าฉันจะเดินทางไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยม”

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากซินเซียแล้ว จากเดินที่คืบหน้าไปอย่างเชื่องช้าได้เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

“งั้นผมต้องไปยืมรถม้าที่คอกม้าแล้วสินะครับ”

“ต้องทำแบบนั้นด้วยงั้นหรอ? นายไปที่วังของราขวงศ์ฮารามาร์คมาหรือยัง?”

“ยังเลยครับ ผมคิดไว้ว่าจะไปหลังจากนี้”

“ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก แค่ไปขอรถม้าที่เร็วที่สุดกับเจ้าหญิงเทเรซ่าก็พอแล้ว แบบนั้นพวกเราจะได้เดินทางกลับกันเร็วยิ่งขึ้น”

เธอพูดได้ตรงประเด็น ซอลจีฮูก็พยักหน้ารับออกมา

“ถ้างั้น…”

แอ็กเนสได้ดันแว่นขึ้น

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”

***

หลังจากแยกกันแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มุ่งหน้าตรงไปที่วัง นั่นก็เพื่อไปเจอกับเทเรซ่าหลังไม่ได้เจอกันนาน แล้วก็ยังบอกเธอถึงผลสรุปของการพบกันกับซินเซียอีกด้วย

เทเรซ่ากำลังนั่งรอซอลจีฮูอยู่บนเก้าอี้โดยกอดอกไขว้ขาอย่างภาคภูมิใจ

“เจ้าหญิง!”

เมื่อเห็นซอลจีฮูที่กำลังดีใจที่ได้เจอเธอ เธอก็แค่นเสียงออกมา

“ฮึ่ม น่าขำดีนะ”

“อะไรนะครับ”

“ฉันยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองขอร้องให้นายไม่ไป แต่นายก็ยังพลักไสฉันแล้วจากไป แต่ตอนนี้นายก็คลานกลับมาซะแล้ว… โฮ่ๆ! โลกนี่มันน่าขำจริงๆเลย”

“…”

“ทำไมล่ะ นี่ฉันยังดูเหมือนเทเรซ่าน่าสมเพชที่ขอความรักจากนายอีกงั้นหรอ? เสียใจด้วยนะ มันไม่มีเทเรซ่าคนเก่าอยู่อีกล้ว”

ซอลจีฮูแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา

ริมฝีปากเทเรซ่าได้บิดเบี้ยวไป

“ถูกแล้วล่ะ! ใบหน้าแบบนั้น! ฉันอยากจะเห็นใบหน้าอันเสียใจของนายตอนที่กลับมาหาฉัน! โฮ่ๆๆๆ!”

เธอกระทั่งยกมือปิดปากหัวเราะเยาะเย้ยออกมา

“ยังจะยืนนิ่งทำไมอีก? ไม่ใช่ว่านายกลับมาที่นี่ก็เพราะต้องการพลังของฉันงั้นหรอ? มาเลยสิ! ตอนนี้มันถึงคราวของฉันแล้ว คุกเข่าอ้อนวอนซะ เหมือนอย่างที่ฉันเคยทำในตอนนั้น! บอกว่านายผิดเองที่ทอดทิ้งฉันไป! บอกว่านายซ้ำนึกแล้วว่าฉันดีกว่าราชินีไร้ประโยชน์ของอีวาเป็นพันเท่า”

ซอลจีฮูยังคงยืนนิ่ง ด้านหนึ่งเขาก็พูดไม่ออก แต่อีกด้านเขาก็กำลังกังวลว่าเทเรซ่าอาจจะเป็นโรคประสาทไปได้ หรือบางทีเธออาจจะทานอะไรผิดสำแดงมาในตอนเช้าก็ได้

ขณะที่ซอลจีฮูยังคงจ้องเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล เสียงหัวเราะของเทเรซ่าก็เงียบลงไป เธอได้เหลือบมองมาที่เขาหลายครั้งเพื่อตรวจสอบสีหน้าเขา ก่อนจะคุยๆหยุดยิ้ม

“…”

“…อะแฮ่ม”

หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่นาย เสียงกระแอ่มก็ดังออกมา ไม่นานนักเทเรซ่าก็ลุกขึ้นยืน และรีบวิ่งเหยาะๆมาข้างหน้า

“โอ้! จีฮู! มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เธอได้จับมือซอลจีฮูเอาไว้ด้วยสีหน้ายินดี การเปลี่ยนแปลงท่าทีของเธอแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยสายตาตัวเอง

“ไม่เจอกันนานเลยนะ! คิดถึงฉันไหม? ฉันว่านายต้องคิดถึงแน่เลย!”

“ชะ ใช่แล้วเจ้าหญิง แล้วนี่เธอ-”

“อ่อ ไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเถอะ”

“ไม่ เธอจะเรียกมันว่า ‘ไม่มีอะไร’ ได้ยังไงกัน? ตะกี้นี้-”

“อุปส์ นายรู้แล้วสินะ นั่นคืออีกบุคลิกหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวฉัน ฉันเรียกเธอว่าแม่มดหรือเทเรซ่าด้านมืด บางครั้งเธอจะโผล่ออกมาจากจิตใจฉัน นี่มันเป็นอาการปวดตั้งแต่เด็กของฉันแล้ว”

“อ๋อ”

‘อ๋อ นั่นคือเทเรซ่าด้านมืดสินะ? ถ้างั้นในตอนนี้เทเรซ่าก็คงเป็นด้านสว่างงั้นหรอ?’

“แล้วได้ไปคุยกับซิซิเลียมาแล้วหรอ?”

เทเรซ่าได้ถามขึ้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ มันชัดเจนมากว่าเธอกำลังพยายามเปลี่ยนเรื่อง และซอลจีฮูก็ตัดสินใจปล่อยผ่านไป

เมื่อเขาได้บอกถึงการเจอกันนั้น เทเรซ่าก็ดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

“ว้าว ขนาดนั้นเลยหรอ… ถึงจะมีเงื่อนไขอยู่ แต่พวกเขาก็ยังจะเคลื่อนพลสินะ?”

เธอได้ปรบมือออกมา และพูดเหมือนซิซิเลียได้ตกลงทำอะไรที่ใจกว้างมาก ดูเหมือนว่ามุมมองที่มีต่อซิซิเลียของซอลจีฮูกับเทเรซ่าจะต่างกันมาก

“นี่มันเยี่ยมมากเลย! ในเมื่อซิซิเลียยอมเคลื่อนไหว เราก็น่าจะทำการเกณฑ์พลได้โดยไม่ยาก”

ซอลจีฮูก้มหัวลงเล็กน้อย

“ขอโทษด้วยนะ ในทางเทคนิคแล้วนี่มันจะทำให้ฮารามาร์คมีความเสี่ยงมหาศาล แต่ว่าเธอก็ยังแยกกองทัพออกมา…”

“อ๊า ฉันก็ต้องทิ้งคนเอาไว้ปกป้องฮารามาร์คอยู่เลย”

เทเรซ่าได้พูดขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจ

“แล้วก็ต่อให้พวกปรสิตบุกมา พวกเราก็น่าจะยื้อเอาไว้ได้จนกว่าที่กำลังเสริมจะมาถึง นายลืมเรื่องป้อมปราการหุบเขาไปแล้วงั้นหรอ?”

ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว หุบเขาอาร์เดนก็มีป้อมปราการอยู่เหมือนกัน ระหว่างคุยกับเทเรซ่าผ่านคริสตัลสื่อสารเขาก็เคยได้ยินเรื่องความคืบหน้าของป้อมปราการนี้ ป้อมปราการได้มีขนาดใหญ่พอจะครอบคลุมได้ถึงครึ่งหุบเขาไปแล้ว

แน่นอนว่าก็ไม่มีใครมารับประกันได้ว่ามันจะต่อต้านพวกปรสิตได้นานแค่ไหน แต่หากว่าไม่มีหนึ่งในเจ็ดกองทัพมาบัญชาการ อย่างน้อยก็น่าจะซื้อเวลาพอให้กองทัพถอนทหารกลับมาได้แน่

“…น่าจะแบบนั้นล่ะมั้ง”

รอยยิ้มบางได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซอลจีฮู ป้อมปราการที่เขาได้เสี่ยงชีวิตปกป้องเอาไว้ได้พิสูจน์แล้วว่ามันมีส่วนช่วยเขาเป็นอย่างมาก

“หากว่านายได้เจอกับพ่อแล้วก็ผู้บัญชาการแซงตัสก่อนกลับก็คงจะดี น่าเสียดายที่ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่นี่”

“คงจะยุ่งกันมากเลยสินะครับ”

“ใช่แล้ว ผู้บัญชาการแซงตัสกำลังยุ่งกับการเสริมสร้างกองกำลังทหาร ส่วนพ่อก็อยู่ระหว่างการนัดพบกับหัวหน้ากองพันทหารม้าเพื่อโน้มน้ามเขา”

“กองพันทหารม้า?”

“พวกเขาคือกองกำลังทหารม้าที่เคยเป็นที่ภาคภูมิใจของอีวา ระหว่างที่ฮารามาร์คขึ้นชื่อเรื่องทหารเกราะหนัก อีวาก็เคยขึ้นชื่อเรียกทหารม้าเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะเกษียรตัวเองออกมาแล้วก็ตาม”

ซอลจีฮูได้อุทานขึ้น พอมาคิดดูแล้วสิ่งแรกที่ซอกกูนีร์ได้ทำหลังจากวัลฮาลาการเป็นองค์กรพันธมิตรกับราชวงศ์นั่นก็คือการรวบรวมกองทัพอีกครั้ง

กองกำลังหลักของอีวาได้เกษียรกันไปหลังจากการตายของกษัตริย์องค์กรแล้ว หรือก็คืออดีตอีวามีแค่ทหารยามจากภายนอกเท่านั้น และไม่เคยมีกองทัพเลย

“แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะกระจายกันออกไปตามส่วนต่างๆแล้ว แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่มาขอสถานะผู้ลี้ภัยจากอาณาจักรอื่น แน่นอนว่านั่นก็รวมถึงที่ฮารามาร์คด้วย พวกเขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยโดยแลกกับเข้าเป็นทหารของอาณาจักร”

“เข้าใจแล้ว”

“เพราะงั้นเราก็เลยเรียกตัวอดีตทหายม้ามาระบุตัวหัวหน้าพวกเขา ตอนนี้ท่านพ่อก็น่าจะกำลังคุยกับเขาอยู่”

เทเรซ่าได้อธิบายสิ่งต่างๆอย่างรวดเร็ว ก่อนขยิบตาออกมา

‘เร็วมาก’

ซอลจีฮูอดจะตกใจไม่ได้ ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมฟิลิปส์ มูเลอร์ถึงตกใจหลังจากได้ยินเรื่องการเตรียมพร้อมของเขา

ซอลจีฮูไม่คิดเลยว่าทางราชวงศ์ฮารามาร์คจะทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง เขาได้กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

‘งั้นฉันก็ไม่ได้แค่เอาหัวไปโหม่งกำแพง’

ย้อนกลับไปในตอนที่เขากำลังค้นหานำพุ เขารู้สึกเหมือนเขากำลังฟันฝ่าอุปสรรคโดยไร้ความช่วยเหลือ

แต่มันกลับกลายเป็นว่าเขาไม่เคยตัวคนเดียวเลย ด้วยเส้นสายที่เขาสร้างมาจนถึงตอนนี้ได้กลายมาเป็นกำลังเสริมสนับสนุนเขาอยู่

พอคิดได้แล้วนี้ความกล้าก็พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจของเขา

“ที่พวกเขาจากบ้านมาก็เพราะพวกเขาผิดหวังในตัวชาล็อต อาเรีย และโกรธแค้นกับการปกครองแบบเผด็จการของพันธมิตรอีวา แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความภักดีได้หายไป ในเมื่อชาล็อต อาเรียกับอีวาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะเลือก- หืม?”

เทเรซ่าได้หยุดพูดไปกลางคัน นั่นก็เพราะเธอรู้สึกได้ถึงมือหนากำลังจับบ่าอยู่

ต่อจากนั้นซอลจีฮูได้ค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และหน้าผากของพวกเขาก็สัมผัสกัน

“ฟู่ววว…”

เสียงถอนหายใจยาวได้ดังออกมา

เธอกระพริบตาอย่างสับสน แต่ไม่นานนักรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากเธอ

เธอรู้สึกเหมือนเข้าใจความตั้งใจของเขา

[หัวฉัน… ลูบหัวฉันหน่อย]

[หลังด้วย]

เทเรซ่าได้ทำแบบเดียวกันกับในตอนที่พวกปรสิตยกทัพเข้ามาบุกหุบเขาอาร์เดน แม้กระทั่งหลังจากราชวงศ์เกณฑ์พลแล้ว แต่ชาวโลกก็ยังไม่ให้ความร่วมมือ

ตอนนั้นซอลจีฮูเป็นเพียงคนเดียวที่เธอเชื่อใจและพึ่งพา

พอมองย้อนไปแล้วมันก็น่าแปลก ตอนนั้นจิตใจเธอสับสนพร้อมแตกสลายจากทั้งความกังวล หวาดกลัว และไม่พอใจ แต่การได้ซบหน้าอกของเขากลับทำให้เธอรู้สึกสบายใจและสงบลง

เธอควรจะบอกว่าเธอรู้สึกปลอดภัยงั้นสินะ

แต่ในตอนนี้ซอลจีฮูก็กำลังมีความรู้สึกคล้ายๆกันอย่างเขาเชื่อใจและพึ่งพาเธอ

พอคิดได้แบบนี้เธอก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น เทเรซ่าได้ค่อยๆยกมือขึ้นลูบหัวและหลังเขาอย่างอ่อนโยน

เมื่อความอบอุ่นได้เริ่มกระจายอยู่บนหลังเขา ซอลจีฮูก็ยิ้มขึ้นเงียบๆ

“มันยากสินะ?”

“ไม่เลย ไม่สักนิด…”

“ไม่เป็นไรนะ น้ำหนักบนบ่าของนายจะบดขยี้นายเอานะ”

“…พูดไปแล้วก็ใช่ แต่ว่าของคุณนะเจ้าหญิง-”

“ฉันรู้ๆ ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ?”

เทเรซ่าได้ยิ้มอ่อนหวาน และเขย่งเท้าขึ้นมา

“ไม่ต้องห่วงนะ”

เธอได้ให้เขาซบหน้าอกอันอบอุ่นของเธอ และหลับตาลงอย่างอ่อนโยน

“พวกเรา…”

เสียงกระซิบเบาๆของเธอได้ดังออกมา จากนั้นก็ค่อยๆเพิ่มเสียงพูดขึ้นอย่างชัดเจน

“พวกเราจะไม่แม้ ไม่ใช่คราวนี้ และไม่มีวันแพ้”