หยางอวิ๋นชิงถูกพระองค์จดจ้อง เวลาไม่นาน บนหน้าผากพลันมีเหงื่อเย็นๆ ผุดไปทั่ว ถึงขนาดต้องเบนสายตาหนีโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าประสานสายตากับพระองค์อีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ยังไม่มีรับสั่งลงมา แต่กลับส่งสายตาให้หลี่รุ่ยเสียง
วันนี้พระองค์ได้รับความตระหนกไม่น้อย ร่างกายคล้ายจะแบกรับไม่ไหว เมื่อครู่ปิดปากเงียบก็ยังพอทน พอจะเปิดปากพลันไอเสียงแหบแห้งออกมา
หลี่รุ่ยเสียงล้วงขวดกระเบื้องใบเล็กออกจากแขนเสื้อ ป้อนยาให้หนึ่งเม็ดแล้วช่วยลูบที่อกให้พระองค์พอหายใจคล่อง พักหนึ่งเมื่อรู้สึกดีขึ้น ก็ยกมือไปทางฉู่ฉีเหยียนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตรัสว่า “ไปจวนสกุลหยาง จับตัวคนทั้งหมดมาที่นี่!”
คนอย่างหยางอวิ๋นชิง แม้จะคิดก่อกบฏแต่ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าเขาเป็นบุรุษใจเด็ดที่พร้อมจะพลีชีพได้ทันที เรื่องการทรมานให้เขาสารภาพนั้น?
คนที่ชอบคำนวณใจคนอย่างฮ่องเต้ไม่เสียเวลาทำแน่
ทันทีที่พระองค์ตรัสออกไป หยางอวิ๋นชิงพลันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความขลาดกลัว
ฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใดอีก เพียงหมุนพระวรกายเข้าไปรอที่ด้านในตำหนักข้าง
เต๋อเฟยกับหลัวซืออวี่ถูกจัดให้อยู่ห้องด้านในสุด เพราะรู้ว่าฮ่องเต้มีเรื่องต้องจัดการ จึงหลบอยู่ไกลๆ ไม่ได้มาร่วมแบ่งปันความโชคร้ายด้วย
ฮ่องเต้ประทับลงที่เก้าอี้ประธาน จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
หยางอวิ๋นเชิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ในตำหนักเงียบสงัด เวลาเดินไปอย่างช้าๆ เหงื่อเย็นบนหน้าเขาค่อยๆ รวมกันไหลหยดเป็นสาย สีหน้าร้อนรนขึ้นทุกขณะ พอๆ กับความกลัวที่ทวีเพิ่มขึ้น
ฉู่ฉีเหยียนหายไปครึ่งชั่วยามก่อนจะกลับมา ตอนที่มาถึง องครักษ์ด้านหลังได้คุมตัวคนกลุ่มหนึ่งมาด้วย ตั้งแต่แม่เฒ่าอายุหกสิบจนถึงลูกเมียของหยางอวิ๋นชิง ญาติพี่น้องตามสายเลือดของเขาล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมด
เกี่ยวกับวิธีทรมานให้คนเปิดปากของฮ่องเต้นั้น ฉู่สวินหยางคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ทั้งนางก็ไม่มีกะจิตกะใจไปห่วงใยจุดจบของคนสกุลหยาง
แต่เพราะก่อนหน้านี้กลัวจะถูกจับได้ว่าระแคะระคาย นางจึงไม่ได้คิดสืบเบื้องลึกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลี่รุ่ยเสียงกับซื่อหรง ตอนนี้นางยืนแฝงกายอยู่ด้านหลังคนอื่น จึงเริ่มไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
ตอนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ฉู่สวินหยางพลันรู้สึกว่ามีคนกระตุกแขนเสื้อของนางเบาๆ
นางรีบดึงความคิดกลับมา หันหน้าไปมอง ก็เห็นเหยียนหลิงจวินยืนส่งยิ้มน้อยๆ ให้
เหยียนหลิงจวินส่งสายตาเป็นนัยให้นาง
ขณะนี้ทุกคนเอาแต่สนใจฮ่องเต้กับหยางอวิ๋นชิง ไม่มีใครใส่ใจนาง ฉู่สวินหยางส่งสัญญาณให้เจี๋ยหง บอกให้อีกฝ่ายคอยดูตรงนี้ไว้ จากนั้นก็ปลีกตัวออกจากกลุ่มตามเหยียนหลิงจวินไปอย่างเงียบเชียบ
เพราะอีกเดี๋ยวต้องกลับมาดูความเป็นไปของเรื่องราว สองคนจึงไม่ได้ออกไปไกลนัก เพียงมาหลบที่มุมหัวโค้งของตำหนักข้าง
“คนที่วางยาฮ่องเต้ คือหลี่รุ่ยเสียง?” ฉู่สวินหยางถามออกไปโต้งๆ ไม่มีอ้อมค้อม
เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน ใบหน้าของเหยียนหลิงจวินจึงมีรอยยิ้มงดงามประดับอยู่ ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้แปลกใจ แล้วพยักหน้ารับ “ใช่!”
ความจริงตั้งแต่ตอนแรกที่พบว่าฮ่องเต้ถูกวางยา เขาก็สงสัยหลี่รุ่ยเสียงแล้ว
หากไม่นับเรื่องแรงจูงใจ คิดแค่ว่าคนที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ถูกพิษได้อย่างไม่รู้ตัว ทั้งยังปกปิดความลับได้อย่างมิดชิด
ใต้หล้านี้ นอกจากผู้ที่คอยดูแลอาหารการกินของฮ่องเต้ไม่เคยห่างอย่างหัวหน้าขันทีแล้ว ยังจะมีใครทำมันอย่างง่ายดายได้อีก?
ยิ่งไปกว่านั้น จากเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขายังคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้ทั้งหมด
เขาจับจุดได้ว่าพระองค์มีใจกระหายในอำนาจ คำนวณได้แม่นยำว่าทันทีที่ร่างกายเกิดความผิดปกติ เพื่อจะยึดกุมอำนาจไว้ ย่อมปิดบังความจริงและจัดการมันอย่างลับๆ
อีกทั้งในตอนนั้น เขาก็น่าจะคำนวณเหยียนหลิงจวินกับเฉินเกิงเหนียนรวมเข้าไปด้วยแล้ว รู้ดีว่าหมอหลวงที่พระองค์ไว้ใจมากที่สุดคือเฉินเกิงเหนียน ทันทีที่เกิดปัญหา พระองค์ย่อมเรียกเฉินเกิงเหนียนให้มาตรวจอาการอย่างลับๆ
แผนขั้นต่อไปก็คือ…
เขาหลอกใช้แม้กระทั่งความรู้สึกที่เหยียนหลิงจวินมีต่อฉู่สวินหยาง ระหว่างนั้นก็คำนึงถึงจุดยืนของเฉินเกิงเหนียน ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยเหยียนหลิงจวินรักษาความลับนี้ไว้ ด้วยเป็นประโยชน์ต่อฉู่สวินหยางและวังบูรพา
อย่างไรเสีย…
ฮ่องเต้ถูกพิษ ชีวิตตกอยู่ในอันตราย เรื่องเช่นนี้ ฉู่อี้อันเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด
หากมองภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นการวางยาที่ไร้ร่องรอย หรือว่าปฏิกิริยาตอบโต้ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต่อให้คำนวณเอาทุกคนรวมถึงฮ่องเต้เองไว้ในแผน
นี่เป็นกระดานที่วางหมากได้อย่างไร้ช่องโหว่!
หลี่รุ่ยเสียง ย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของเรื่องนี้
ตั้งแต่แรกเหยียนหลิงจวินก็เคยสงสัยเขามาก่อน แต่เพราะหาแรงจูงใจไม่พบ ภายหลังยังเคยเดาว่าเขาอาจเป็นสายลับที่ฉู่อี้เจี่ยนวางไว้ข้างกายฮ่องเต้ก็เป็นได้
กระทั่งซื่อหรงปรากฏตัว ความลึกลับจึงเริ่มโผล่มาให้เห็น
พอค่อยๆ สังเกตและสางปมออกมาทีละชั้น…
คนที่ซื่อหรงรับคำสั่งคือหลี่รุ่ยเสียง และหลี่รุ่ยเสียงยังยื่นมือมาปกป้องฉู่สวินหยางครั้งแล้วครั้งเล่า
ตัดเรื่องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ออกไป หากมองหลี่รุ่ยเสียงในมุมของฉู่สวินหยางกับวังบูรพา เช่นนั้น…
การที่เขาทำเรื่องเหล่านี้ก็สามารถเข้าใจได้
เพียงแต่ว่า…
เหตุใดเขาถึงได้ทุ่มเทเรี่ยวแรงเพื่อฉู่สวินหยางถึงเพียงนั้น จุดนี้ยังไร้คำอธิบาย
“เดิมทีข้าแค่สงสัย ทว่าไม่มีหลักฐาน แต่พอเห็นปฏิกิริยาของซื่อหรงในวันนี้ คนผู้นั้น…” เหยียนหลิงจวินกล่าว ก่อนจะเงยหน้าถอนหายใจกับท้องฟ้าด้วยความเคร่งเครียด “ย่อมเป็นหัวหน้าขันทีหลี่ ไม่ผิดแน่”
สำหรับฐานะและจุดประสงค์ที่แท้จริงของหลี่รุ่ยเสียง แม้ฉู่สวินหยางจะไม่รู้ทั้งหมด แต่คาดเดาจากภูมิหลังของนางแล้ว นางจึงมีความคิดหนึ่งอยู่ในใจ
เรื่องนี้เปิดเผยออกมากะทันหันเกินไป ตอนแรกฉู่สวินหยางก็แทบรับไม่ไหว
ทว่าตอนนี้นางไม่มีอารมณ์ไปสนใจมันมากเท่าไร เพียงรวมรวมสติแล้วหันไปเอ่ยกับเหยียนหลิงจวินอย่างจริงจังว่า “เจ้ามิใช่บอกว่าวันนี้จะไม่มารึ? ทำไมถึงโผล่มาได้ล่ะ? ตลอดคืนมานี้ยังไม่มีใครเห็นฉู่อี้เจี่ยนเลย เขาคงไม่…”
ฉู่สวินหยางพูดค้างเอาไว้ ส่งสายตาร้อนรนและกังวลไปให้เหยียนหลิงจวิน