“เขาไปหาข้า!” เหยียนหลิงจวินตอบ นัยน์ตาดำมืดจากเบื้องลึก ทำให้ฉู่สวินหยางรู้สึกหนาวเยือกจากข้างใน ร่างอดจะสะท้านเบาๆ ไม่ได้
“ช่วงหัวค่ำเขาไปหาข้า อยู่ที่นั่นจนถึงหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ พอได้ข่าวว่าทางนี้เกิดเรื่องก็รีบร้อนออกไป” เหยียนหลิงจวินตอบ พลางอธิบายเพิ่มเติมให้
“หมายความว่าอย่างไร? เพราะต้องการหลุดจากข้อสงสัยเรื่องเวลา เขาถึงไปหาเจ้าเพื่อสร้างหลักฐานว่าตนไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ?” ความคิดของฉู่สวินหยางเริ่มพันยุ่งเหยิง ก้าวถอยออกมาหนึ่งก้าวอย่างมึนงง ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธให้กับสิ่งที่ตัวเองพูด “ไม่มีเหตุผลเลย! เรื่องคืนนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ต่อให้เขาวางแผนรอบคอบแค่ไหน หากไม่จับตาดูทุกขั้นตอนเพื่อเตรียมพร้อม ไม่มีทางวางใจลงแน่”
ร่วมมือกับหยางอวิ๋นชิง ลอบฆ่าฮ่องเต้ สังหารเหล่าขุนนางและครอบครัว?
นี่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนกัน?
ต่อให้แผนของฉู่อี้เจี่ยนล้ำเลิศ วางแผนเผด็จศึกจากแนวหลัง แต่ไม่มีทางปล่อยมืออย่างสบายใจเช่นนี้ ถึงขนาดคอยติดตามเรื่องเลย
อีกอย่าง…
จากท่าทางของฉู่ซินรุ่ย เห็นชัดว่านางก็ติดกับอย่างจัง
ในหัวของฉู่สวินหยางมีความคิดมากมายวิ่งผ่าน สุดท้ายต้องเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ หันขวับไปมองทางตำหนักข้างที่อยู่ด้านหลัง แล้วหัวเราะออกมาราวกับได้ฟังเรื่องตลก พูดว่า “เป็นท่านหญิงรึ? เป็นฝีมือของฉู่ซินรุ่ยคนเดียว?”
หากฉู่อี้เจี่ยนไม่ใช่ตัวการ เช่นนั้นก็เหลือเพียงฉู่ซินรุ่ยแล้ว
สตรีผู้นั้นแม้จะมีจิตใจลึกล้ำ แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้…
นางกล้าทำจริงๆ หรือ?
แม้ในใจจะได้ข้อสรุปแล้ว แต่ฉู่สวินหยางก็ยังไม่อาจยอมรับความจริงได้
เหยียนหลิงจวินยืนมือไพล่หลัง สายตาพริบพราวเลือนหาย สีหน้าเคร่งขรึมตามไปด้วยอีกคน “ข้ามองว่า ฉู่อี้เจี่ยนทำเรื่องพวกนี้ก็สมด้วยเหตุและผล เขาต้องการแก้แค้นแทนมารดาและพี่น้องที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง… เรื่องนี้เขาไม่เหลือเส้นทางให้ถอยกลับ ต่อให้วันนี้ไม่ลงมือ วันหน้าก็ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็ว!”
ฉู่อี้เจี่ยนเคียดแค้นฮ่องเต้ มีใจชิงชังต่อราชสำนักซีเยว่ เหล่านี้นางล้วนมองออก
หากเทียบกันกับ ฉู่ซินรุ่ย…
นางเกิดจากชายาคนใหม่ของฉู่ซิ่น จึงไม่เคยประสบกับเหตุการณ์เข่นฆ่าในครานั้น
หากจะบอกว่านางคิดทำลายราชสำนักซีเยว่ที่มีฉู่เป้ยเป็นผู้นำ ก็คงจะฟังไม่ขึ้น
แม้ประโยคเดียวของเหยียนหลิงจวินจะไขความกระจ่างให้นางได้ แต่เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ฉู่สวินหยางจึงยังปรับอารมณ์ไม่ถูก
เหยียนหลิงจวินเดินขึ้นมาหนึ่งก้าว ยกมือตบไหล่นางเบาๆ “รังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก[1] แม้นางจะเป็นคนเริ่มก่อกบฏ ทุ่มเทจนหมดหน้าตัก แต่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องติเตียน!”
“อืม!” ฉู่สวินหยางเม้มริมฝีปาก ตอนที่สงบใจได้แล้ว พลันได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกมาจากด้านในตำหนักข้าง
“บังอาจ เจ้ากล้าเหิมเกริมต่อองค์รัชทายาท? ยังไม่หยุดมืออีก?” มีคนตะเบ็งเสียงดังลั่น
ฉู่สวินหยางรู้สึกไม่ดี รีบตั้งสติ แล้วส่งสายตาให้เหยียนหลิงจวิน “ข้างในเกิดเรื่องแล้ว ข้าจะไปดูหน่อย ตอนนี้ในวังวุ่นวาย เจ้าก็ระวังตัวด้วย!”
“อืม!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้ คล้ายบอกให้นางไม่ต้องเป็นห่วง
ฉู่สวินหยางไม่อาจชักช้า หมุนกายพุ่งกลับตำหนักทันที
เวลานี้ กลุ่มองครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักพากันมุงแน่นอยู่หน้าประตู ปิดกั้นทางเข้าออกตำหนัก
ฉู่สวินหยางเร่งฝีเท้า แทรกตัวผ่านกลุ่มคนเข้าไป พลันพบว่าภายในเละเทะไปหมด
เหล่าองครักษ์ล้อมฮ่องเต้ไว้กลางวงอย่างแน่นหนา คนอื่นๆ ต่างถอยห่างไปรอบนอก
คนที่ฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนพามาด้วยต่างตรึงกำลังอย่างเคร่งเครียด จ้องเขม็งไปที่สองคนซึ่งอยู่กลางตำหนักอย่างเตรียมพร้อม
มีดโค้งในมือของซื่อหรงไร้ฝัก กำลังจ่ออยู่ที่ลำคอของฉู่อี้อัน
ทั้งตำหนักตกอยู่ในความตึงเครียดและสับสน ทุกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม จับจ้องไปที่มีดในมือซื่อหรง
ฉู่อี้อันสีหน้าเรียบเฉย แม้ถูกนางจับตัวไว้ แต่ไม่ส่งเสียงสักคำ
ฮ่องเต้ร่างกายอ่อนแรง เอนตัวพิงที่เท้าแขนของเก้าอี้ รับสั่งด้วยเสียงเย็นชา “ปล่อยตัวรัชทายาท!”
หยางอวิ๋นชิงที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ แสยะยิ้ม ยินดีกับความวิบัติที่เกิดขึ้น เอ่ยว่า “ทำไม? ร้อนใจแล้วงั้นรึ? ตอนนี้เจ้ากล้าจับตัวองค์รัชทายาทต่อหน้าฝ่าบาท จะบอกว่าเจ้าไม่เคยมีใจคิดคด ใครเขาจะไปเชื่อ!”
หางตาของซื่อหรงไม่มีเหลือบมองหน้าเขาสักนิด กลับจับจ้องที่พระพักตร์ของฮ่องเต้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทั้งยังเอ่ยว่า “พระองค์คงเห็นแล้ว ไม่ใช่แค่องค์รัชทายาท หากหม่อมฉันคิดจะทำอะไรพระองค์จริงๆ คงไม่รอจนถึงวันนี้ ไม่รอถึงตอนนี้ ไม่รอให้อยู่ต่อหน้าคนมากมาย ให้คนสมควรตายมาชี้หน้าพูดจากลับถูกเป็นผิด หม่อมฉันไม่มีเจตนาทำร้ายองค์รัชทายาท เพียงแต่อยากให้พระองค์มองดูชัดๆ ให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันบ้างเท่านั้นเอง!”
ช่วงก่อนหน้านี้ฉู่สวินหยางไม่อยู่ จึงไม่รู้รายละเอียดว่าเรื่องราวเลยเถิดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
แต่พอได้ฟังคำพูดของซื่อหรงก็เข้าใจในทันที…
ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ ที่ไร้เมตตาธรรม
แม้ว่าก่อนหน้านี้ซื่อหรงจะช่วยชีวิตพระองค์จากห่าธนู แต่บัดนี้พระองค์กลับยืมปากของหยางอวิ๋นชิงมาใช้เก็บกวาดสตรีที่ทรงสงสัยว่าเคยทรยศพระองค์
มิฉะนั้นซื่อหรงคงไม่ถูกบีบให้ลงมือต่อหน้าผู้คน และเรียกร้องคำอธิบายจากพระองค์เช่นนี้
พระพักตร์ของฮ่องเต้ดำทะมึน จ้องนางอย่างเงียบเชียบ
ฉู่ฉีเฟิงก้าวออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า “เรื่องลอบสังหาร ใครผิดใครถูก ฝ่าบาทย่อมตัดสินอย่างเป็นธรรม ถ้าเจ้าไม่อยากถูกเพิ่มโทษ ก็รีบปล่อยท่านพ่อข้าเสีย!”
ซื่อหรงมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ไม่ตอบคำ ยังคงรอดูท่าทีของฮ่องเต้
ความคิดของฮ่องเต้ ฉู่สวินหยางรู้ทัน
ยังไม่ต้องสนว่าซื่อหรงกับหลี่รุ่ยเสียงเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่เห็นแก่หน้าของซูอี้ นางก็ไม่อาจยืนมองเฉยๆ ได้
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉู่สวินหยางลอบถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“หยางอวิ๋นชิงชี้ตัว บอกว่าท่านหญิงฉางหนิงเป็นคนสั่งให้เขาก่อความวุ่นวาย ท่านหญิงฉางหนิงยืนกรานปฏิเสธ อ้างว่าด้านข้างของนางกับหญิงผู้นั้นคล้ายกันจนยากจะแยก ตัวปลอมปลอมได้แนบเนียนมาก หยางอวิ๋นชิงถึงได้กลับคำ” ฉู่ฉีเฟิงเล่าด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน
เป็นฉู่ซินรุ่ยที่ล่อลวงหยางอวิ๋นชิงจริงๆ
ตอนนี้พอเรื่องแดงขึ้น นางพลันนึกแผนเฉพาะหน้าได้ คิดผลักซื่อหรงออกมาเป็นตัวตายตัวแทน
ช่างวางหมากทุกตัวได้เหมาะเจาะสมใจจริงๆ
“จะตายอยู่แล้ว เจ้าก็ยังกล้ายุคนให้แตกคอ หาคนไปรับโทษเป็นเพื่อนหรือไง?” ฉู่สวินหยางแสยะยิ้มเย็น ก้าวออกมาหนึ่งก้าว ก่อนจะมองหยางอวิ๋นชิงอย่างเย้ยหยัน เอ่ยว่า “พวกนางสองคน คนหนึ่งเป็นท่านหญิงจวนรุ่ยชินอ๋อง อีกคนเป็นฮูหยินที่ยังไม่ได้เข้าพิธีของแม่ทัพซู คนหนึ่งเป็นราชนิกุล อีกคนมีความดีความชอบที่ช่วยชีวิตฝ่าบาทจากอันตรายในวันนี้ เจ้าบอกว่าหนึ่งในสองคนนี้คิดร้ายต่อฝ่าบาท? ก็ได้ เช่นนั้นตอนนี้เจ้าลองว่ามาสิ…เหตุใดพวกนางต้องทำเช่นนั้น? ทำแล้วพวกนางจะได้ประโยชน์อะไร?”
——————————————————–
[1] รังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก เป็นอุปมาที่หมายถึง คนใดคนหนึ่งประสบเคราะห์กรรม แต่พาคนทั้งบ้านให้มอดม้วยไปด้วย