ทั้งคนแก่และเด็กในจวนของหยางอวิ๋นชิงล้วนถูกฮ่องเต้จับตัวมาไว้ที่นี่ทั้งหมด
เดิมเขารู้ดีว่าชะตากรรมนี้ยากจะหนีพ้น และไม่คิดจะผลักฉู่ซินรุ่ยออกไปรับผิด แต่การรู้ว่าตัวเองต้องตาย กับการต้องเห็นครอบครัวมาตายต่อหน้า…
มันเป็นคนละเรื่องกัน
ด้วยความร้อนใจ จึงได้สารภาพความจริงออกไปจนหมด
เมื่อฉู่ซินรุ่ยมีทางหนีทีไล่ ย่อมไม่มีทางยอมรับผิด เอ่ยวาจาหลอกล่อสักประโยค ก็เบี่ยงความสนใจของเขาไปที่ซื่อหรงได้อย่างง่ายดาย
หยางอวิ๋นชิงสนใจแต่ว่าจะลดโทษของตนอย่างไร…
จวนรุ่นชินอ๋องใช่ว่าจะพังทลายเพราะคำพูดสองประโยคของเขาเสียเมื่อไร แต่กับฮูหยินในอนาคตของซูอี้ที่มีเบื้องหลังไม่ชัดเจนคนนี้ ย่อมรับมือง่ายกว่ามาก
ดังนั้นเขาจึงกลับคำ หันไปกัดซื่อหรงแน่นไม่ยอมปล่อย
บังเอิญด้วยว่า…
ฮ่องเต้ก็กำลังคิดยืมดาบฆ่าคนพอดี
ทันทีที่ฉู่สวินหยางถามจบ หยางอวิ๋นชิงก็เริ่มร้อนตัว พยายามตีหน้านิ่งอย่างเต็มที่ “หญิงผู้นั้นเดิมก็ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน นางแฝงตัวเข้ามาในวัง ใครจะรู้ว่านางมีแผนอะไรอยู่ในใจ!”
“เจ้าบอกว่าไม่รู้นางเป็นใครมาจากไหน? แล้วเหตุใดถึงถูกคำพูดของนางเกลี้ยกล่อมได้ง่ายๆ เล่า ทั้งยังทำเรื่องผิดต่อฟ้าดินเช่นนี้ มันไม่ขัดแย้งไปหน่อยรึ?” ฉู่สวินหยางหัวเราะเยาะอย่างไม่สนใจ
หยางอวิ๋นชิงใบ้กิน หางตาเหลือบไปทางฉู่ซินรุ่ยทีหนึ่ง แต่ก็ยังปากแข็งต่อไปว่า “ข้าก็บอกแล้วไง ว่าตอนนั้นถูกนางหลอก ข้าคิดว่านางเป็นท่านหญิงฉางหนิง!”
คนที่มาหาและหารือเรื่องนี้กับเขาคือฉู่ซินรุ่ย ใบหน้านั้นไม่อาจปลอมแปลง จุดนี้หยางอวิ๋นชิงกระจ่างแก่ใจ
วาจาเขาแม้จะกัดซื่อหรงไม่ปล่อย แต่พอฉู่ซินรุ่ยได้ฟัง ในใจพลันร้องว่าแย่แล้ว สะดุ้งอย่างใจหาย
วินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงฉู่สวินหยางหัวเราะพรืด เอ่ยว่า “อ้อ? เจ้าเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นท่านหญิง ถึงได้ไม่ถามที่มาที่ไปยอมทำตามแต่โดยดี? ข้าไม่เคยรู้เลยว่าผู้บัญชาการหยางสนิทสนมกับจวนรุ่ยชินอ๋องหรือกับท่านหญิงถึงเพียงนี้ อาศัยคำพูดประโยคเดียวของนาง ก็ยอมเอาคนทั้งตระกูลมาเป็นเดิมพัน เข้าร่วมก่อกบฏกับนาง?”
เหงื่อเย็นๆ ของหยางอวิ๋นชิงซึมไปทั่วร่าง
ฉู่ซินรุ่ยก็อดจะกำหมัดแน่นไม่ได้
ฉู่สวินหยางไม่คิดฟังคำแก้ต่างของคนทั้งสอง รีบเปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปทางฮ่องเต้ ย่อกายคารวะก่อนเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท ข้ออื่นยังไม่พูดถึง ทว่าฮูหยินซูพูดถูกประการหนึ่ง อาศัยความสามารถของนาง หากนางคิดร้ายต่อพระองค์หรือท่านพ่อจริง คงไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้ ขออภัยที่สวินหยางปากมาก หม่อมฉันยังคิดว่าหยางอวิ๋นชิงรู้ตัวว่าโทษหนักยากจะเลี่ยง จึงจงใจสร้างความสับสน ต้องการให้ราชสำนักแตกแยก ไม่ว่าจวนรุ่ยชินอ๋องหรือแม่ทัพซู มีใครบ้างไม่จงรัก ภักดีหรือคิดทรยศพระองค์? อย่างน้อยก็สมควรมีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากกว่านี้นะเพคะ”
ฮ่องเต้นั้นกระจ่างแก่ใจดี ว่าคนที่ต้องการสังหารพระองค์ไม่ใช่ซื่อหรง
พระองค์เองก็ไม่เคยเอะใจสงสัยในตัวฉู่ซินรุ่ย แต่พอได้ฟังคำบอกเล่าของฉู่สวินหยาง หัวใจของพระองค์พลันกระตุก
หากนับตามสายเลือด นอกจากพระองค์แล้วก็มีเพียงฉู่ซิ่นคนเดียวที่ถือเป็นเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด ทันทีที่เกิดเรื่องกับพระองค์ หากอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสยึดบัลลังก์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ก่อนหน้านี้ เพราะฉู่ซิ่นเสี่ยงอันตรายแทนพระองค์หลายครั้ง พระองค์จึงไม่เคยมองเขาในทางนั้น ตอนนี้กลับอดคิดขึ้นมาไม่ได้
ฉู่ซินรุ่ยรู้ตัวว่าอวดเก่งจนเอาตัวไม่รอด ในใจได้แต่ลอบสาปแช่ง สีหน้าแสดงความโกรธแค้น แล้วพูดกับหยางอวิ๋นชิงว่า “ที่แท้เจ้าก็ต้องการสร้างความบาดหมางระหว่างจวนรุ่ยชินอ๋องกับฝ่าบาทใช่หรือไม่? จวนรุ่ยชินอ๋องไปล่วงเกินอะไรเจ้า? เจ้าถึงต้องวางแผนใส่ร้ายพวกข้าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้?”
หยางอวิ๋นชิงได้ฟังก็ลนลาน รีบตอกกลับว่า “ท่านหญิง ท่านคิดข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน ท่าน…”
“ข้ามแม่น้ำรื้อสะพานอะไร? ใครข้ามแม่น้ำของใคร? แล้วใครไปรื้อสะพานของเจ้า?” หยางอวิ๋นชิงพูดไปแค่ครึ่งเดียว ก็ถูกเสียงไพเราะเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ฉู่ซินรุ่ยตกตะลึง ลืมว่าฮ่องเต้ยังอยู่ตรงนี้ รีบปีนขึ้นจากพื้น แล้ววิ่งเข้าไปหา
ฉู่อี้เจี่ยนก้าวขาเข้าประตูมา
ขาที่บาดเจ็บของเขาดูผ่านๆ ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าไร แต่เพราะเรื้อรังมานานปี บัดนี้แม้จะเดินเหินได้ แต่ก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนคนทั่วไป เขาจึงเดินได้ช้ายิ่งนัก
“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่นวิ่งเข้าไปหา แนบดวงหน้าทุกข์ใจและแค้นเคืองลงบนแขนข้างหนึ่งของเขา กรอบตาพลันมีน้ำตาปริ่มเอ่อ เอ่ยเสียงเหมือนใกล้จะร้องไห้ว่า “คนผู้นี้เสียสติไปแล้ว หากพี่ไม่มา จวนรุ่ยชินอ๋องของพวกเราคงถูกลากไปรับเคราะห์ด้วย ให้แก้ต่างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น!”
“หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาท!” ฉู่อี้เจี่ยนไม่สนใจนาง เดินผ่านหยางอวิ๋นชิงที่ถูกมัดคุกเข่าบนพื้น แล้วถวายความเคารพอย่างสูงสุด ทำทีขออภัยว่า “ช่วงหัวค่ำหม่อมฉันไปขอยากับใต้เท้าเหยียนหลิง จึงได้ล่าช้า ไม่รู้ว่าในวังเกิดเรื่องขึ้น เร่งร้อนมาไม่ทันการ ขอฝ่าบาททรงลงโทษ”
ได้ฟังสิ่งที่ฉู่สวินหยางเอ่ยถึง สายตาที่พระองค์ใช้มองสองพี่น้องจึงลึกซึ้งมากกว่าปกติ
ฉู่ซินรุ่ยร้อนใจจะแย่ แต่บนหน้าต้องทำเป็นสงบ กลบเกลื่อนอารมณ์อย่างมิดชิด
ตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงร้องเหอะออกมาจากข้างกายซื่อหรง…
เป็นฉู่อี้หมินที่หมดความอดทน ฉวยโอกาสสกัดจุดที่ท้องแขนของนาง
ซื่อหรงรู้สึกเจ็บ พลันปล่อยดาบโค้งที่อยู่ในมือ
ฉู่อี้อันกวาดมือไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ซื่อหรงซวนเซถอยออกมาหนึ่งก้าว
ตอนที่นางกลับมายืนได้มั่นคง ฉู่อี้อันก็ทำหน้านิ่งดั่งภูผาเหมือนเก่า กำลังจัดระเบียบเสื้อผ้าด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ซื่อหรงลอบตกใจ มือกุมที่ท้องแขน มองด้านข้างของเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน
“จบเรื่องวุ่นวายเสียทีนะ!” ฉู่อี้อันเอ่ยอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสี แล้วเดินมาหยุดที่เบื้องหน้าฮ่องเต้ “ผู้บัญชาการหยางอวิ๋นชิงก่อความวุ่นวาย นี่เป็นความผิดที่ประจักษ์ชัดเจน ตัดสินให้ประหารเก้าชั่วโคตรก็ไม่ถือว่าหนักเกินไป หากเขามอบหลักฐานว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดอื่นออกมาได้ ย่อมตัดสินให้ต้องโทษกบฏเช่นเดียวกัน แต่ถ้าไม่…”
น้ำเสียงของฉู่อี้อันเย็นเยือก ฟังออกถึงอำนาจซึ่งผู้เป็นใหญ่เท่านั้นจึงจะมี
ระหว่างที่กล่าวเขาไม่ได้มองใครทั้งนั้น และไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองเขาด้วยสายตาหรือท่าทางเช่นไร เพียงเอ่ยต่อว่า “ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับคนทรยศผู้นี้อีก!”
หยางอวิ๋นชิงถูกความเด็ดขาดทรงพลังอย่างทหารของเขาทำให้ขลาดกลัว หัวใจพลันสะท้าน ก่อนจะแสดงความหวาดหวั่นสุดขีดออกมาให้เห็น แหกปากเสียงก้องว่า “ถ้าหม่อมฉันทำผิด ย่อมยินดีรับโทษ แต่หม่อมฉันรับคำสั่งจากผู้อื่นมา ถูกเขาหลอกใช้ ในเมื่อท่านหญิงสวินหยางบอกว่าท่านหญิงฉางหนิงกับสตรีคนนั้นล้วนไม่มีเหตุผลที่ต้องคิดกบฏ แล้วหม่อมฉันจะมีแรงจูงใจอันใดได้เล่า? หม่อมฉันขอพูดสักคำไม่น่าฟัง หากสังหารฝ่าบาทได้สำเร็จ หม่อมฉันจะมีสิทธิ์ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์หรือ? ฝ่าบาท! หม่อมฉันบริสุทธิ์ ทุกคำล้วนเป็นความจริง เป็นท่านหญิงฉางหนิง นางข่มขู่หม่อมฉัน หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”