“เจ้าบอกว่าฉู่ซินรุ่ยสั่งการเจ้า?” ฉู่อี้เจี่ยนได้ฟัง ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ร้อนใจ หัวเราะออกมาอย่างไร้เสียง จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเข้มว่า “เช่นนั้นนางต้องการสิ่งใด? เจ้าบอกว่าบัลลังก์หล่นมาไม่ถึงเจ้า? แล้วที่นางคิดทำร้ายฮ่องเต้ เพราะว่าตำแหน่งนั้นสมควรเป็นของสตรีเช่นนางหรืออย่างไร?”
“ข้า…” หยางอวิ๋นชิงอ้าปากพะงาบๆ เหมือนถูดอุดปากทันที
ฉู่สวินหยางเห็นดังนั้น ก็ก้าวขึ้นมาอย่างยิ้มๆ มองฉู่อี้เจี่ยน เอ่ยทีเล่นทีจริงว่า “ท่านอาน้อยอย่าได้บีบคั้นเขาเลย พอร้อนตัวขึ้นมา เดี๋ยวก็ถูกแว้งกัดเข้าให้ อ้างว่าท่านหญิงถูกท่านบงการ อ้างว่าจะแย่งบัลลังก์ไปให้พี่ชายผู้เป็นญาติสนิทของนางอีก…”
ฟังแล้วเหมือนจะหยอกล้อ ทว่ารอยยิ้มของฉู่สวินหยางแฝงความนัยลึกซึ้งเอาไว้
นางพูดแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง รอยยิ้มบนหน้ากดลึกยิ่งกว่าเก่า เอ่ยคำที่ฟังชัดว่า “แต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!”
ฉู่อี้เจี่ยนมองนาง ความสูงสง่าบนใบหน้ายังไม่เลือนหาย ทำเหมือนกำลังฟังเรื่องล้อเล่น แล้วหัวเราะออกมา “เรื่องใหญ่ขนาดนี้? ท่านอาน้อยของเจ้าเป็นสตรีในห้องหอ นางขี้กลัวปานนั้น เจ้าอย่าได้ล้อนางเล่นเลย!”
หากฉู่อี้เจี่ยนคิดจะทำการใด คงไม่ปล่อยให้สตรีในห้องหออย่างฉู่ซินรุ่ยออกหน้าได้ตามใจชอบ
อย่างไรเสีย…
ภาพลักษณ์ของสตรีชั้นสูงที่มีปัญญาและว่าง่ายของฉู่ซินรุ่ยก็ประทับอยู่ในใจของทุกคน
หากบอกว่าฉู่สวินหยางนำทหารก่อกบฏ ยังอาจพอมีคนเชื่อ แต่ถ้าบอกว่าฉู่ซินรุ่ยคิดสังหารกษัตริย์ชิงบัลลังก์…
คงเป็นเรื่องน่าขบขันในใต้หล้า
ฮ่องเต้ได้ฟังข้อแก้ต่างอันหลากหลายเหล่านั้น ดวงหน้าค่อยเปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่าย
หลี่รุ่ยเสียงยืนก้มหน้าอยู่ข้างฮ่องเต้ แต่กลับสนใจเพียงสภาพร่างกายของพระองค์เท่านั้น ตั้งแต่แรกก็ไม่มีส่วนร่วมเลยสักประโยค
หยางอวิ๋นชิงร้อนรนหนัก คลานเข่าไปที่เบื้องหน้าฮ่องเต้ เอ่ยเสียงสูงว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมฉันอย่างไรก็ต้องตาย ไม่มีความจำเป็นต้องแต่งเรื่องโกหกเช่นนี้ เป็นท่านหญิงฉางหนิงจริงๆ นางมาหากกระหม่อม เป็นนาง…”
“เดี๋ยวก็ท่านหญิงฉางหนิง เดี๋ยวก็ฮูหยินซู?” ฉู่สวินหยางตัดบทเขาอย่างไม่รีบร้อน เอ่ยเสียงครุ่นคิดว่า “หยางอวิ๋นชิง เจ้าควรคิดให้รอบคอบก่อนตอบ ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนบงการเจ้า?”
ฉู่ซินรุ่ยไม่ได้ทิ้งหลักฐานหรือจดหมายใดๆ เอาไว้ คำพูดของหยางอวิ๋นชิงไม่มีสิ่งใดมายืนยันได้
ดวงตาของฉู่อี้เจี่ยนสว่างวาบ ก่อนจะหันไปมองเฟิงเหลียนเซิ่งที่ยืนชมดูความสนุกอยู่วงนอก แล้วถามว่า “ได้ยินว่ารัชทายาทแห่งหนานฮวาก็ได้รับความตระหนกไม่น้อย พระองค์ยังทรงสบายดีอยู่หรือไม่?”
สายตาของคนผู้นี้ ถือได้ว่าเฉียบคมนัก คิดว่าคงเตรียมทางหนีทีไล่ไว้พร้อมแล้ว
สายตาของทุกคนพลันเลื่อนไปมองอย่างไม่ได้นัดแนะ
เฟิงเหลียนเซิ่งถูกสายตาจับจ้อง แต่ก็วางตัวได้เป็นธรรมชาติ “ลำบากท่านหญิงสวินหยางกับซื่อจื่ออ๋องหนานเหอที่เสี่ยงชีวิตปกป้อง ข้าสบายดี!”
ฉู่อี้เจี่ยนได้ฟังดังนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ หันกลับไปเอ่ยกับหยางอวิ๋นชิงว่า “ไม่เพียงลอบฆ่าฝ่าบาท ยังมีเรื่องที่โจมตีรัชทายาทแห่งหนานฮวาอีก วันนี้ถือว่าเจ้าทุ่มหมดหน้าตักจริงๆ ไม่คิดจะบอกหน่อยหรือ… ว่าทั้งหมดนี้ทำไปเพื่ออะไร?”
หยางอวิ๋นชิงตกตะลึง ครานี้ถูกถามจนจนมุมแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมองฉู่ซินรุ่ย…
หญิงผู้นั้นให้แผนลอบสังหารฮ่องเต้โดยละเอียดกับเขา ขณะเดียวกันก็สั่งให้ฆ่าเฟิงเหลียนเซิ่งเสีย แม้เขาจะเป็นผู้ลงมือทุกขั้นตอน แต่เพราะตอนนั้นมัวแต่พะวงเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวังหลวง จึงลืมซักถามถึงสาเหตุที่ต้องเอาชีวิตเฟิงเหลียนเซิ่ง
หากบอกว่าฉู่ซินรุ่ยคิดชิงบัลลังก์ซีเยว่ก็ยังพอถูไถ แต่การที่นางคิดเอาชีวิตเฟิงเหลียนเซิ่ง?
อย่างไรก็ไร้เหตุผลสิ้นดี
หยางอวิ๋นชิงกระสับกระส่าย กำลังจะร้องขอความเป็นธรรม ด้านนอกก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีใหญ่โต
ชุดคลุมสีแดงดั่งเปลวเพลิง สูงส่งไร้ใดเปรียบผู้นั้น คืออานอ๋องแห่งหนานฮวา
สีหน้าเคร่งขรึม ผู้มีอำนาจหน้าใหม่ของราชสำนักและกำลังแผ่ไอสังหารไปทั่วผู้นั้น คือซูอี้
สองคนเดินตามกันมา ก่อนจะถวายพระพรฮ่องเต้
สีหน้าของซูอี้เย็นเยียบ แม้แต่สายตาที่มันจะอบอุ่นอยู่เป็นปกติ วันนี้ยังมีไอเย็นแผ่คลุมอยู่หนึ่งชั้น
หัวคิ้วของซื่อหรงขมวดหากันน้อยๆ ทว่า…
จู่ๆ ก็รู้สึกผิด ลอบเม้มริมฝีปากแล้วก้มหน้าต่ำ
เทียบกันแล้ว ท่าทีของเฟิงอี้ดูราบเรียบกว่ามาก หลังจากคารวะฮ่องเต้แล้ว เขาก็ถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วหันไปเอ่ยกับเฟิงเหลียนเซิ่งว่า “เจ้าหกปลอมตัวออกจากเมือง พุ่งหน้าลงใต้ เร่งเดินทางกลับราชสำนักแล้ว”
“หืม?” เฟิงเหลียนเซิ่งเลิกคิ้ว สายตาแสดงความงุนงง
ซูอี้รับช่วงต่อ พลางกราบทูลต่อกับฮ่องเต้ “หลังจากในวังเกิดเรื่อง หม่อมฉันได้รับรายงานลับ แจ้งว่าองค์ชายหกแห่งหนานฮวาปลอมตัวลอบออกจากเมือง จึงรีบพาคนไปตามจับ ระหว่างทางเจอกับอานอ๋อง จึงออกนอกเมืองไปพร้อมกัน แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนนี้ยังจับคนไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เฟิงซวี่คงทำเรื่องผิดบาปอีกแล้ว ถึงได้หนีไปเพราะความกลัว
เมื่อเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้เข้าด้วยกัน ในใจของทุกคนก็มีความคิดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง
เฟิงเหลียนเซิ่งสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด รีบสะบัดชายเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าลง เอ่ยว่า “ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบ หม่อมฉันได้รับราชโองการให้เดินทางมาครั้งนี้ ก็มาพร้อมด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยม ด้วยคิดจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซีเยว่ เจ้าหกนั้นยังเยาว์ไม่รู้ความ อาจเพราะติดขัดบางอย่าง ถึงได้ทำเรื่องร้ายแรงลงไป แต่เข่าเก่งกาจถึงเพียงนั้น ไม่มีทางที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ย่อม… ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
สำหรับคนของตัวเอง พระองค์ไม่กล้าคิดสงสัยตามอำเภอใจ
แต่สำหรับคนนอก ก็ไม่มีสิ่งใดให้กังวล
“งั้นรึ?” ฮ่องเต้แสยะยิ้มทีหนึ่ง น้ำเสียงฟังน่ากลัว
“ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบ!” เฟิงอี้รีบทิ้งเข่าตาม ทำหน้าเข้มงวดเคร่งครัด “เจ้าหกแม้จะชอบก่อเรื่อง แต่ไม่ถึงกับไม่รู้หนักเบา เพราะถูกท่านหญิงสวินหยางจับตัวมาที่นี่ เขาจึงไม่ค่อยพอใจ หากพูดว่าเขาหนีกลับไปด้วยความมโห ก็พอฟังขึ้นอยู่ ทว่าเรื่องในวังคืนนี้ เขาไม่มีทางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแน่นอนพะย่ะค่ะ”
หากเฟิงซวี่มีกำลังพอ จะพูดว่าเขาลอบฆ่าเฟิงเหลียนเซิ่งก็ยังฟังเข้าท่า แต่หากพูดว่าคิดสังหารฮ่องเต้ ต้องกลายเป็นศัตรูกับราชสำนักซีเยว่ทั้งหมด…
นี่เป็นเรื่องที่เกินกว่าความสามารถของเขาจะไปถึง
เรื่องนี้ฮ่องเต้ยังยากจะสรุป เพียงยิ้มเย็นอย่างไม่อาจเข้าใจความหมาย “เช่นนั้นรึ? พวกเจ้าสองอาหลานทิ้งโจทย์ยากให้ข้าแล้ว อย่างไรเฟิงซวี่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเจ้าคิดว่าไร้คนไร้หลักฐานแล้วจะอ้างอย่างไรก็ได้งั้นรึ?”
“มิกล้า!” ทั้งสองรีบก้มหัวต่ำ
เฟิงเหลียนเซิ่งสูดหายใจลึก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับพระองค์ “ฝ่าบาท ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดยังไม่แน่ชัด ในเมื่อน้องหกเป็นผู้ต้องสงสัย ย่อมอาศัยวาจาเลื่อนลอยไม่ได้ หม่อมฉันจะยังไม่แก้ต่างแทนเขา เรื่องนี้เขาเองก็ทำไม่เหมาะสม อย่างไรหม่อมฉันกับท่านอาสิบสองก็ยังอยู่ที่นี่ กลับที่พำนักแล้วจะรีบเขียนจดหมายส่งกลับราชสำนัก ต่อให้ตามตัวน้องหกกลับมาไม่ได้ แต่เสด็จพ่อของหม่อมฉันจะต้องให้คำชี้แจงที่น่าพอใจแก่ฝ่าบาทและราชสำนักซีเยว่ได้แน่พ่ะย่ะค่ะ!”