ตอนที่ 1077 คุณปกป้องคนอื่นแล้วผมจะปกป้องคุณเอง

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

“อย่าหวังว่าผมจะเชื่อคุณง่ายๆ นะ!” 

 

 

เมื่อเธอได้ยินคำตอบของหันซิวเช่อ ซูอวี๋ระบายยิ้มแล้วส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าเธอจะเกลียดฉันมาหลายปีเพราะไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นสินะ แต่มันก็สมควรอยู่หรอก ถ้าฉันเป็นไอ้เลวนั่นก็คงไม่กล้าบอกความจริงว่าตัวเองกล่าวหาและทำร้ายร่างกายภรรยาตัวเองเหมือนกัน 

 

 

“ส่วนพี่ชายของเธอ เขาขี้ขลาดยิ่งกว่าด้วยซ้ำ…” 

 

 

“ผมไม่เชื่อคุณหรอก” 

 

 

“เธอจะเชื่อหรือเปล่าก็เรื่องของเธอ แต่นี่คือความจริง เธอจะลองไปลองใจพี่ชายกับพ่อเลวๆ ของเธอว่าพวกเขาจะแถยังไงก็ได้นะ” ซูอวี๋ตอบ “คิดดูให้ดีๆ สิ ทำไมฉันถึงมาถามหาความเป็นธรรมเอาตอนยี่สิบปีให้หลัง ฉันไม่มีเงินหรือไง 

 

 

“ซิวเช่อฉันรู้ว่าเป็นเพราะฉันเธอเลยโกรธถังหนิงที่ทำลายศักดิ์ศรีของเธอ เดิมทีฉันก็ว่าจะปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องในอดีต แต่เธอกับพี่ชายก็เอาแต่ทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่เลิกฉันเลยไม่มีทางเลือก บางทีพระเจ้าอาจจะอยากให้ฉันออกมาเปิดเผยความจริงละมั้ง” 

 

 

หันซิวเช่อนึกไม่ถึงว่าพ่อกับพี่ชายตัวเองจะโกหกเขา ไม่สิ ว่ากันตามจริงแล้วเขาไม่อยากจะเชื่อมันต่างหาก 

 

 

“ผมไม่เชื่อคุณหรอก เลิกพยายามปั่นหัวผมได้แล้ว ผมขอเตือนให้คุณหยุดซะ ไม่อย่างนั้นเราทั้งสองฝ่ายไม่มีใครได้จบสวยแน่” 

 

 

ซูอวี๋มองเขาข่มขู่เธอ แต่กลับไม่มีแววหวาดกลัวในสายตาของเธอ เธอรู้ว่าเขาเป็นคนอ่อนไหวมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตามรังควานถังหนิงมานานขนาดนี้ เพียงเพราะเธอเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขา 

 

 

ดูผิวเผินแล้วเขาอาจจะบอกว่าไม่เชื่อเธอ ทว่าในความเป็นจริงเขาจะต้องตามพิสูจน์เรื่องนี้อย่างแน่นอน 

 

 

“คุณลำบากมามากเลยนะครับ” หลงชิงอวิ๋นยืนฟังหันซิวเช่อข่มขู่ซูอวี๋อยู่หน้าประตู ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งเห็นใจภรรยามากกว่าเดิม 

 

 

“ฉันคิดว่าเขารู้ความจริงมาตลอด แต่ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ” 

 

 

“ไม่ว่าเขาจะรู้ความจริงหรือเปล่ามันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่คุณกลายเป็นศัตรูไปแล้ว อย่าคิดมากเลยครับ ทำตามที่ถังหนิงจัดการเถอะครับ” 

 

 

ในขณะเดียวกันอย่างที่ซูอวี๋คิดไว้ หันซิวเช่อเริ่มสงสัยพี่ชายกับพ่อของเขา แม้ว่าเขาจะบอกว่าไม่เชื่อคำพูดของเธอก็ตาม 

 

 

เมื่อกลับมาถึงบ้านและเห็นหันเจี๋ย เขาจึงจงใจชวนคุยเรื่องเหตุการณ์ในอดีต 

 

 

“ผู้หญิงคนนั้นพูดว่าอะไรล่ะ” 

 

 

“เธอบอกว่าตัวเองไม่ผิดและพวกพี่ใส่ความเธอ” 

 

 

“ฮึ่ม ตอนนั้นผู้ชายสองคนอยู่บนเตียงของเธอ ทั้งพ่อและฉันก็เห็นด้วยตาตัวเอง” หันเจี๋ยฮึดฮัดในลำคอพลางสวนกลับด้วยท่าทีใหญ่โตเกินเหตุ 

 

 

“แล้วขาของเธอล่ะ” 

 

 

“เธอตกเตียงแล้วก็ทำขาหักเองต่างหาก” หันเจี๋ยตอบหน้าตาเฉย “นายก็น่าจะนึกออกนี่ ตอนที่เธอถูกจับได้ว่ามีชู้คาเตียง เธอเลยพยายามขอร้องให้ยกโทษให้ แต่พ่อก็ทำแค่ผลักเธอออกไป” 

 

 

“ก่อนหน้านี้พี่ไม่ได้บอกว่าพ่อไม่สนใจเธอหรอกเหรอ” 

 

 

“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ” 

 

 

หันซิวเช่อไม่ได้ตอบกลับทันที แต่หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยถาม “แล้วเรื่องของพ่อกับเลขาล่ะ…” 

 

 

“ตอนนั้นเขาถูกภรรยานอกใจก็เลยตรอมใจ อย่างที่นายรู้ว่าเลขาของเขาอยู่เคียงข้างเขา เธอเป็นคนที่ช่วยเยียวยาเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก” 

 

 

“โอเคครับ ผมเชื่อพี่” คำตอบของหันซิวเช่อจุดประกายความสงสัยของหันเจี๋ย 

 

 

“อะไรกัน วันนี้ผู้หญิงคนนั้นพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดเหรอ” 

 

 

“เธอบอกว่าพวกพี่ร่วมหัวกันใส่ร้ายเธอ” หันซิวเช่อตอบหลังจากจิบน้ำ 

 

 

“คนหนึ่งคือสามี อีกคนก็ลูกชาย เราจะใส่ร้ายเธอทำไมกัน เธอสำส่อนเองแต่ยังมาโทษว่าเป็นความผิดของเราอีก หน้าไม่อายจริงๆ ” 

 

 

หลังจากเห็นท่าทีตอบสนองของพี่ชาย หันซิวเช่อไม่ได้ปริปากออกมาอีก แม้เรื่องที่พี่ชายเล่าจะไม่มีช่องโหว่ แต่เขายังคงรู้สึกว่าอีกฝ่าพยายามปิดบังบางอย่างเอาไว้ ถึงเขาจะไม่ได้ดูเหมือนแสร้งทำอยู่ก็ตาม 

 

 

เมื่อคนเราได้นึกสงสัยครั้งหนึ่งแล้ว ก็ย่อมหมกมุ่นกับการขุดคุ้ยหาความจริง ทว่าถึงกระนั้นไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร มันก็ไม่ใช่สิ่งจะสามารถบอกให้คนภายนอกได้รับรู้อยู่ดี 

 

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายถังหนิงก็จะช่วยซูอวี๋เปิดโปงเรื่องนี้ 

 

 

หากตอนนั้นซูอวี๋เลือกที่จะดำเนินการตามกฎหมายแทนที่จะยอมทนถูกใส่ความ ความจริงอาจจะเปิดเผยไปแล้ว ทว่าบางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับชีวิต 

 

 

ซูอวี๋จึงจัดงานแถลงข่าวขึ้นและตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความจริง! 

 

 

… 

 

 

คืนนั้นถังหนิงอุ้มเหยียนเอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขนพลางทิ้งตัวนั่งบนโซฟาขณะนึกถึงเรื่องของซูอวี๋ จากนั้นจึงก้มลงมองลูกสาวตัวเอง 

 

 

เธอได้เรียนรู้ความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้านจากซูอวี๋ 

 

 

หลังจากโม่ถิงกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นถังหนิงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่โซฟา เขารีบเข้าไปอุ้มเหยียนเอ๋อร์จากอ้อมแขนของเธอก่อนถาม “คิดอะไรอยู่เหรอครับ” 

 

 

“คุณน้าซูคลอดปีศาจสองคนออกมา ฉันเลยเป็นห่วงลูกๆ ของเราน่ะค่ะ…” 

 

 

“ไม่มีทางหรอกครับ” โม่ถิงตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “ลูกๆ ของเราต้องเติบโตมาอย่างดี โอเคไหมครับ” 

 

 

“ฉันแค่รู้ว่าเรามีภาระใหญ่หลวงบนบ่าค่ะ” เธอเอ่ยขณะที่ลูบศีรษะลูกสาว “คุณน้าซูตัดสินใจจะจัดงานแถลงข่าวและประกาศสงครามกับตระกูลหันค่ะ ฉันจะช่วยเธอเพราะฉันก็ได้ผลประโยชน์เหมือนกัน ฉันไม่อยากให้การออกฉายของมดราชินีต้องมีเรื่องให้กังวลน่ะค่ะ 

 

 

“ฉันหวังว่าไห่รุ่ยจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โอเคไหมคะ” 

 

 

“คุณปกป้องคนอื่นแล้วผมจะปกป้องคุณเองครับ แค่ไม่มีใครทำร้ายคุณผมก็จะไม่เข้าไปยุ่ง” โม่ถิงตอบ “เข้าใจไหมครับ” 

 

 

“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับพร้อมเบียดกายซบอกของเขา สิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการคือการไม่ทำให้โม่ถิงติดร่างแหไปด้วย 

 

 

แม้ว่าจะไม่มีใครออกมาต่อว่าที่เธอเข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลหัน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสนับสนุนการตัดสินใจของเธอ 

 

 

ทว่าด้วยเส้นทางที่เธอปูไว้ที่งานฉายภาพยนตร์สำหรับแฟนๆ ทุกคนจึงเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของเธอ อีกทั้งพวกเขาก็เตรียมตัวมาดูการแสดงจึงไม่ได้เข้ามาขัดขวาง 

 

 

การตัดสินใจของซูอวี๋เป็นเรื่องใหญ่ 

 

 

แต่งานแถลงข่าวของเธอจัดขึ้นอย่างกะทันหัน ถังหนิงจึงได้สอนว่าจะโน้มน้าวสื่อและทำให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้อย่างไร 

 

 

ยิ่งพวกเขามีหลักฐานอยู่ในมือ แค่เธอทำตัวนิ่งๆ ก็เป็นโอกาสดีที่เธอจะพ้นผิดได้ 

 

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าซูอวี๋จะจัดงานแถลงข่าว 

 

 

หันเจี๋ยพยายามปิดข่าวอย่างหนักโดยการสยบกระแส แต่เขาก็ยังไม่อาจหยุดยั้งซูอวี๋จากความสนใจของกองทัพสื่อได้… 

 

 

ความจริงแล้วเธอไม่ได้จองโรงแรมเพื่อจัดงานแถลงข่าวด้วยซ้ำ ทำเพียงจัดขึ้นในสวนของเธอ แน่นอนว่านี่เป็นการประกาศสงครามกับตระกูลหัน! 

 

 

“เร็วๆ นี้ข่าวฉาวเมื่อยี่สิบปีก่อนได้ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง และคนที่ตกเป็นประเด็นก็คือคุณซูอวี๋ ซึ่งเธอจะมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อนให้เราได้รู้กัน รวมถึงการที่เหยื่ออย่างเธอได้กลายเป็นคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นนังแพศยา 

 

 

“ตอนนี้ผู้สื่อข่าวของเราได้รายงานตรงมาจากที่จัดงานแล้ว ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ!” 

 

 

ซูอวี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ในสวนพร้อมกับนักข่าวที่นั่งตามเก้าอี้ที่จัดไว้ 

 

 

เธอค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับกล้องก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวอันน่าหดหู่ของตัวเอง 

 

 

“ก่อนที่ฉันจะเริ่ม ฉันอยากจะพูดบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องสักหน่อยค่ะ…”