“พวกคุณคงสงสัยว่าทำไมฉันถึงตัดสินใจมาล้างมลทินให้ตัวเองเอาหลังจากผ่านมายี่สิบปีแล้ว ฉันอยากจะชี้แจงเรื่องนี้ก่อนค่ะ เดิมทีฉันได้ตัดขาดกับตระกูลหันไปแล้ว แต่เพราะว่าการกระทำของพี่น้องหันที่ไปลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย มันเลยสะกิดสำนึกผิดชอบชั่วดีของฉัน ทำให้ตัดสินใจออกมาชี้แจงเรื่องทุกอย่างเมื่อยี่สิบปีก่อนค่ะ ฉันทำอย่างนี้เพื่อผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งรวมถึงตัวเองด้วยค่ะ”
เป็นธรรมดาที่สื่อจะรู้ว่าผู้บริสุทธิ์ที่ซูอวี๋เอ่ยถึงคือถังหนิง
อย่างไรเสียเรื่องบาดหมางระหว่างถังหนิงกับหันซิวเช่อก็เพิ่งเกิดขึ้นที่โรงภาพยนตร์เมื่อไม่นานมานี้
“ก่อนอื่นฉันขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเมื่อยี่สิบปีก่อนค่ะ ทุกอย่างที่ถูกรายงานบนหน้าหนังสือพิมพ์ล้วนไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น
“เมื่อยี่สิบปีก่อนในคืนนั้น เลขาของอดีตสามีฉันโทรมาหา บอกว่าเธอกำลังจะมาเอาเอกสารให้สามีฉัน เธอให้ฉันเปิดประตูให้ ฉันทำตามที่เธอบอกโดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังปล่อยให้หมาป่าเข้ามาในบ้าน เธอบุกเข้ามาในบ้านพร้อมกับผู้ชายอีกสองคน ตรึงฉันไว้กับพื้นและเริ่มทำร้ายร่างกาย จากนั้นผู้ชายสองคนก็แก้ผ้าแล้วข่มเหงฉัน ในขณะที่เลขายืนถ่ายรูปอยู่อีกด้านหนึ่ง
“ตอนที่ฉันหมดแรงขัดขืนพวกเขา สามีฉันก็กลับมาที่บ้าน
“เขาเห็นฉันในสภาพที่น่าอับอายเลยคิดว่าฉันนอกใจเขา แต่หลังจากที่ฉันอธิบาย เขาก็เปิดเผยออกมาว่าทั้งหมดเป็นแผนของเลขาของเขา ทั้งสองคนคบชู้กันมานานหลายปีแล้ว เลขาเขาเลยไม่ต้องการเป็นภรรยาน้อยอีกต่อไป เธอจึงทำให้ฉันอับอายและข่มขู่ให้ฉันหย่ากับสามี…
“พออดีตสามีเห็นอย่างนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าข้างเธอและอ้างว่าฉันนอกใจเขา และยังทำร้ายฉันจนขาหักด้วยค่ะ
“ตอนนั้นลูกชายคนโตของฉัน หันเจี๋ย กำลังยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่หน้าประตู ฉันบอกให้เขาแจ้งตำรวจ แต่เขากลับพุ่งไปหาเลขาและร้องว่าเขากลัว!
“จากนั้นพวกเขาก็เรียกสื่อและเริ่มใส่ร้ายฉัน ถึงขั้นเปิดเผยรูปของฉันด้วย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดค่ะ หลังจากวันนั้นฉันเลยถูกตราหน้าว่าเป็นนังแพศยามายี่สิบปี!”
“คุณซูคะ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน คุณไม่กังวลว่าคนจะไม่เชื่อคุณบ้างเหรอคะ คุณมีหลักฐานยืนยันสิ่งที่คุณเล่ามาหรือเปล่าคะ” หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด นักข่าวรู้สึกเห็นใจเธอขึ้นมา หากสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง คนตระกูลหันคงเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดในโลก!
“ฉันแค่มาที่นี่เพื่อเล่าเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนเท่านั้นค่ะ ฉันจะไม่เปิดเผยหลักฐานใดๆ ในวันนี้ เพราะอยากจะเห็นว่าตระกูลหันจะตอบโต้ยังไง” ซูอวี๋ตอบ
“ฉันอยากเห็นว่าตระกูลหันจะกล้าพอจะเผชิญหน้ากับคำถามเหล่านี้หรือเปล่าค่ะ ก่อนอื่นฉันรู้ว่าตอนนั้นมีหลายคนที่รู้เห็นว่าอดีตสามีของฉันเป็นชู้กับเลขาค่ะ ฉันเลยอยากจะรู้ว่าเขากล้าพอจะยอมรับว่าตัวเองมีชู้หรือเปล่า
“สอง ผู้ชายทั้งสองคนที่ขืนใจฉัน คนหนึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนของภรรยาน้อย และอีกคนเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ ฉันก็อยากจะถามว่ามีใครจะยอมให้การบ้างไหม
“สาม ลูกชายคนโตของฉันที่รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาจะกล้าพอจะเปิดเผยความจริงหรือเปล่า”
คำถามทั้งสามข้อของซูอวี๋นั้นตรงไปตรงมา หากแต่พวกมันพุ่งเข้าประเด็นหลักของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนการตัดสินใจไม่เปิดเผยหลักฐาน เป็นเพราะว่าถังหนิงสอนเธอไม่ให้เปิดไพ่ตายในทันที นี่เป็นเพียงทางเดียวที่จะเลี่ยงการตอบโต้รุนแรงจากตระกูลหันได้
ทว่าในเวลาเดียวกันเธอจำเป็นต้องขีดเส้นตายเพื่อให้พวกเขาหนีไปไหนไม่ได้
“ถ้าตระกูลหันไม่ให้คำตอบกับฉันภายในสามวัน ฉันจะเปิดเผยหลักฐานที่ฉันมีค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำของซูอวี๋ บรรดาสื่อสัมผัสได้ถึงความมั่นอกมั่นใจในน้ำเสียงของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะเตรียมฉีกตระกูลหันเป็นชิ้นๆ ไว้แล้ว
ในขณะเดียวกันหลังจากได้ดูการแถลงข่าวของซูอวี๋ หันเจี๋ยออกอาการหัวเสีย เขาขว้างแล็ปท็อปของตัวเองลงบนพื้นอย่างแรง
หากเขารู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น เขาคงจะไม่ไปลองดีกับถังหนิง อย่างนั้นเขาคงไม่จมอยู่กับความเสียใจอย่างในตอนนี้
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของซูอวี๋ หันเจี๋ยไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ตอนนี้บริษัทอยู่ในมือเขาแล้ว หากสาธารณชนเลือกเข้าข้างซูอวี๋จริง เขาก็มีทางหนีทีไล่ อย่างการที่เขาบอกได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนตัวเองถูกพ่อบังคับให้ทำอย่างนั้น
หรือบางทีเขาก็บอกได้ว่าเขากลัวความรุนแรงของพ่อ อย่างไรเขาก็มีทางทำให้ตัวเองพ้นผิดได้
ทว่าเขาจะแก้ตัวกับหันซิวเช่อได้อย่างไร โดยเฉพาะหลังจากงานแถลงข่าวจบลง
ไม่นานหันซิวเช่อมาเคาะประตูห้องทำงานของหันเจี๋ย ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง เขาเริ่มตั้งคำถามกับหันเจี๋ย “เรื่องลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ ทีนี้เราจะทำยังไงกัน ผู้หญิงคนนั้นชั่วช้าสิ้นดี!”
“แหงละสิ” หันเจี๋ยพยักหน้ารับ “ผู้หญิงคนนั้นก่อเรื่องวุ่นวายจนทั้งครอบครัวของเราเกือบจะพังพินาศแล้ว ตอนนี้เราไม่มีโอกาสปกป้องตัวเองด้วยซ้ำ ไม่ว่าเราจะตอบโต้หรือเปล่า สื่อก็จะรุมประณามเราอยู่ดี!”
“เราต้องคิดหาทางแก้สถานการณ์นะ เราจะนั่งถูกใส่ร้ายอยู่เฉยๆ แบบนี้เหรอ”
“พูดตามตรงเลยนะ ฉันคิดว่าเธอไม่มีหลักฐานมาแฉหรอก งั้นตอนนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก” หันเจี๋ยตอบ “ถ้านายไม่ตามกัดถังหนิงไม่ปล่อย เราคงไม่ต้องมาอยู่ในจุดนี้หรอก”
“พี่ไม่ใช่เหรอที่เอาเรื่องเทคนิคพิเศษมาใส่ความเธอน่ะ” หันซิวเช่อว่าเย้ย
หันเจี๋ยชะงักไปชั่วขณะก่อนเอ่ยออกมาในท้ายที่สุด “ฉันทำลงไปเพื่อช่วยนายนะ”
“ไม่ว่าพี่จะทำเพราะผมหรือเพราะตัวเอง ผมมั่นใจว่าพี่รู้เหตุผลที่แท้จริง” หันซิวเช่อเอ่ยอย่างมีความหมายแฝง
“ซิวเช่อ อย่าบอกนะว่านายเชื่อผู้หญิงคนนั้นจริงๆ อย่าลืมว่าถังหนิงคอยบงการเธออยู่เบื้องหลังนะ ฉันมั่นใจว่านายก็รู้ว่าวิธีการของถังหนิงเป็นยังไง”
“ผมไม่เชื่อคำพูดของเธอแน่นอนครับ” หันซิวเช่อบอกกลับ
หากแต่เขาก็ไม่เชื่อพี่ชายของตัวเองเช่นกัน!
อย่างไรก็ตาม หันซิวเช่อไม่ได้เผยไต๋เรื่องนี้ เขากลับหันหลังออกไปจากห้องทำงานของหันเจี๋ย และออกไปตามหาหลักฐานด้วยตัวเอง อย่างน้อยซูอวี๋ก็ได้ให้เบาะแสคร่าวๆ กับเขา อย่างการเป็นชู้กับเลขา หรือบางทีอาจเป็นเรื่องเพื่อนสมัยเรียนและลูกพี่ลูกน้อง
หากเขารู้ว่าใครบางคนกำลังโกหกเขาเหมือนเป็นคนโง่…
…เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด
ต่อให้จะเป็นพ่อหรือพี่ชาย เขาก็จะไม่ปรานี!
…
เรื่องราวทั้งหมดได้รับความสนใจล้นหลาม ในขณะที่มันแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว และได้เป็นคำถามท้าทายตระกูลหันครั้งใหญ่ ซึ่งทุกคนต่างรอฟังคำตอบของพวกเขา
แน่นอนว่าถังหนิงอยู่เป็นเพื่อนซูอวี๋หลังจากงานแถลงข่าวจบลง ด้วยรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งให้ซูอวี๋ก้าวออกมาในวันนี้
เธอเองก็ต้องการเห็นซูอวี๋พ้นผิดเช่นกัน!
“หวังว่าคุณลุงหลงจะปกป้องคุณได้ดีนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต!”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ฉันรับปากเรื่องอื่นไม่ได้หรอกนะ แต่เรื่องความปลอดภัยฉันมั่นใจ” ซูอวี๋ยืนกราน “อีกอย่างวิธีการของคุณก็ได้ผลดีมาก ฉันมั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะต้องจบลงอีกไม่นานนี้แน่”
จริงหรือเปล่า
ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้!