ตอนที่ 290 ไม่ใกล้ชิดแม้การให้การรับ (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

“หุบปาก ไสหัวไปคุกใต้ดิน เจ้าเก่งขนาดนี้ก็ไปอาบน้ำให้หญิงคนนั้นเสียเลย!” เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของซวงไป๋ดังขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว

อีไป๋ตาไวรีบคว้าแจกันที่กำลังจะทุ่มใส่หน้าอันหล่อเหลาของตนจนบี้แบนไว้ได้ แต่ลืมไปว่าในแจกันมีน้ำ จึงโดนสาดเต็มหน้า เขาถลึงตาใส่ซวงไป๋อย่างโมโห “เจ้า…”

เขาเห็นบนโต๊ะเบื้องหน้าซวงไป๋เต็มไปด้วยเศษกลีบดอกไม้ ถ้าไม่ใช่โมโหสุดขีด คนอย่างซวงไป๋ไม่มีวันย่ำยีกลีบดอกไม้แสนรักจนเป็นสภาพเช่นนี้แน่ เขาจึงได้แต่คลำจมูก หน้าช้ำยอมรับความซวยแล้วจากไปแต่โดยดี เดินพลางพึมพำว่า “อาบก็อาบสิวะ เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรืออย่างไร”

เขาเป็นผู้ใหญ่ย่อมต้องใจกว้าง ไม่อยากถือสากับเจ้าคนจู้จี้เหมือนผู้หญิงคนนี้

ซวงไป๋ปรับลมหายใจของตนให้เป็นปกติ มองดูกลีบดอกไม้ยับเยินเต็มโต๊ะฝืนยิ้มอย่างจนใจ คลึงหว่างคิ้ว ช่างเถอะ พูดเรื่องเช่นนี้กับเจ้าคนหยาบอย่างอีไป๋ สู้ให้เขาไปฆ่าคนโดยตรงยังจะดีกว่า

ตนเองก็ขี้โมโหเกินไปถึงได้กล่าวเหลวไหลเช่นนั้น การอาบน้ำให้หญิงรับใช้เทวะของเจินเหยียนกงคนหนึ่ง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความสามารถแม้กระผีกริ้น

อีไป๋เดินออกจากตำหนักกวงหมิง เห็นจันทราที่ฟากฟ้าคล้อยลงตะวันตกแล้ว เลิกคิ้วเรียวยาวคราหนึ่งแล้วหัวคิ้วก็ขมวดย่น

เขาจะส่งน้ำอาบไปให้นางหนูน้อยหรือว่าจะช่วยนางอาบน้ำด้วย

เขาเป็นถึงหัวหน้าหน่วยค่งเฮ่อเจียนเชียวนะ บ้าแล้วกระมังถึงไปทำเรื่องเช่นนี้

อีไป๋หันกายไปทางห้องของตนเอง แต่เดินไปแค่สองก้าวก็ลังเล ใบหน้าหล่อเหลาที่อึมครึมอยู่แล้วก็ยิ่งหนักขึ้น พลันหยุดเท้ากล่าวเย็นชาว่า “ใครก็ได้มานี่”

“หัวหน้า” องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสองคนปรากฏกายที่ด้านหลังของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง

“ไป เตรียมน้ำร้อน ไปคุกใต้ดิน”

องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสองคนรับคำ “ขอรับ”

อีไป๋มองดูตำหนักที่ตนออกมาแวบหนึ่ง แค่นเสียงคราหนึ่ง ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ พรุ่งนี้จะต้องให้เจ้าซวงไป๋รู้เสียบ้างว่าลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร!

เขาหันกายแล้วก้าวยาวๆ มุ่งไปทางคุกใต้ดิน

ชิวเยี่ยไป๋ยืนเงียบๆ บนหลังคากระเบื้องผลึกแก้วอันงดงาม ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างเย็นตา ที่ที่นางยืนอยู่พอดีเป็นจุดที่ก้มมองเห็นตำหนักเทพทั้งหลัง แต่เป็นมุมอับที่คนลาดตระเวนและหอยามมองไม่เห็น

แม้ฟ้าใกล้จะสางแล้ว เป็นเวลาที่ผู้คนอ่อนล้าและง่วงที่สุด แต่นางไม่เชื่อว่าตนเองจะได้เห็นหยวนเจ๋อปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้

เดิมทีนางเข้าวังมิใช่เพื่อพบหยวนเจ๋อ ถึงอย่างไรฐานะของเขาก็ค่อนข้างอีหลักอีเหลื่อ นางไม่อยากทำให้เขายุ่งยาก ด้วยศักดิ์ฐานะของเขาในวัง ย่อมไม่มีใครปฏิบัติไม่ดีต่อเขาแน่

แต่เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ในตำหนักกวงหมิง นางได้ยินอีไป๋กับซวงไป๋พูดคุยกันโดยบังเอิญ จึงนึกอยากมาดูที่ที่เขาพักอยู่อย่างอดมิได้ เพราะเหมือนกับได้เห็นคนคนนั้นก็มิปาน

บริเวณรอบตำหนักเทพปลูกต้นโพธิ์ไปทั่ว ด้านหลังเป็นสระบัว แม้จะดูแล้วกลิ่นอายจะธรรมดาเกินไป แต่ในตำหนักทุกที่ล้วนสลักเสลาด้วยความตั้งอกตั้งใจของช่างฝีมือ โอ่อ่าตระการตา ซึ่งย่อมเทียบไม่ได้กับวัดใหญ่โบราณที่สำรวมสงบเงียบเป็นธรรมดา แต่ดูแล้วน่าจะเหมาะกับการเป็นที่พำนักของเขา

มิรู้ว่าจากกันหลายเดือน เขายังสุขสบายดีไหมหนอ

นางยืนอยู่ครู่หนึ่ง มิได้คิดจะลงไป เพียงอยากเห็นสถานที่ที่เขาเป็นอยู่ในวังแล้วก็จากไป

ทว่าขอบฟ้าเริ่มเป็นเส้นขาวเทาแล้ว ขณะที่นางกำลังจะจากไป พลันได้ยินเสียงประตูวังดัง แอ๊ด และแล้วเงาสีขาวสายหนึ่งก็ก้าวช้าๆ ออกจากอาคาร

เงาร่างนั้นดูเหมือนจะถือกระถางธูปทองเหลืองหัวสัตว์ใบน้อยในมือ หลังเดินออกมาแล้วก็วางกระถางธูปไว้โคนต้นไม้ จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเบาะรองนั่งที่วางอยู่แล้วใต้ต้นไม้นั้น

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาร่างคนที่ดูเหมือนกำลังจะนั่งสวดมนต์ครู่หนึ่ง แววตาออกจะตะลึงอยู่บ้าง พักหนึ่งนางมองรอบบริเวณ ไม่พบว่ามีใครปรากฏตัวอีก แม้จะมีคนที่ทำหน้าที่ปัดกวาดเดินผ่านบ้าง ก็เพียงแค่ประนมมือไหว้อย่างนอบน้อมด้านหลังหยวนเจ๋อ จากนั้นถือไม้กวาดรีบหลีกไปไกลๆ ทันที

ชิวเยี่ยไป๋แลดูควันธูปลอยกรุ่น สายลมเย็นก่อนรุ่งสางพัดเย็น พัดเอาแขนเสื้อหลวมกว้างของเขาจนเหมือนจะแยกจากกันเล็กน้อย แล้วตกลงข้างกายอย่างเป็นธรรมชาติ ลึกลับและพลิ้วไหว

คนที่ไม่ได้เห็นหน้านานแล้ว ดูราวกับพุทธะประทับใต้ต้นโพธิ์ภาวนามานับพันปี แต่เงาหลังที่บอบบางกลับใกล้ชิดกับทางโลกยิ่งกว่าพุทธะ

นางแลดูจนอดตะลึงมิได้

สายลมเย็นโชยมา นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงสะกิดปลายเท้าเบาๆ ร่อนตัวลงสู่หลังกายของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง

ปลายเท้านางเพิ่งสัมผัสกับพื้น พลันได้ยินเสียงเนือยๆ “มาแล้วหรือ”

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน พลันนึกขึ้นได้ ใช่แล้ว พลังฝีมือของเขาสูงล้ำสุดจะหยั่ง การรู้ว่านางมาแล้วมิใช่เรื่องแปลกใจแต่อย่างใด

“อืม” นางก็มิรู้จะพูดอะไรดีจึงรับคำคราหนึ่ง

“ทำไมถึงเพิ่งมา” หยวนเจ๋อกล่าวรำพึง

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน “เอ่อ”

ถ้อยคำที่เหมือนตัดพ้อเช่นนี้มันอะไรกัน

ฟังอย่างไรก็เหมือนบรรพชิตนักรักที่อวตารมาจากบรรพชิตแก่พรรษา

“เอ่อ” ชิวเยี่ยไป๋คิดอยู่ค่อนวันยังคงไม่รู้ว่าตนเองจะพูดอะไรดี จึงได้แต่ส่งเสียงรับคำอย่างเลอะเลือน

หยวนเจ๋อกล่าวอีก “เข้ามาเถิด”

พูดจบเขาก็ยื่นมือให้ชิวเยี่ยไป๋

ชิวเยี่ยไป๋ชะงักแล้วยังคงเดินเข้าหา มองดูมือที่ยื่นให้ ลังเลครู่หนึ่งแล้ววางมือลงบนมือของเขา

หยวนเจ๋อเอียงหน้าเล็กน้อยอย่างงงงันแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “เย่ว์หนู ข้าให้เจ้าไปเอาขาหมูมา เจ้ายื่นมือเจ้าให้ข้าทำไม หรือจะให้อาตมานำมือของเจ้าย่างขนทิ้งบนกระถางธูปต่างขาหมู”

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน สีหน้าพลันฉายแววพิกล “เช้าตรู่แท้ๆ เจ้าไม่หลับไม่นอน ยกกระถางธูปแอบหนีมาที่โคนต้นไม้ก็เพื่อ…ย่างขาหมูหรอกหรือ”

นางเห็นเขานั่งขัดสมาธิหน้ากระถางธูปอย่างสุดแสนสำรวม ที่แท้ก็เพราะจะได้มีสมาธิไม่ย่างจนขาหมูไหม้เท่านั้นเอง

พริบตานั้นร้อยพันความรู้สึกประเดประดังในใจนาง เหลือบมอง ‘ขาหมู’ ของตนที่วางบนมือเขา ยังดีนะที่ไม่โดนเจ้างั่งนี่ลากไปเผาขนบนกระถางธูป

นางยังคิดว่าเขารู้ว่านางมาแล้วเสียอีกจึงกล่าวเช่นนั้น ที่แท้ก็รอหญิงรับใช้ใกล้ชิดส่งขาหมูมาจนเบื่อแล้ว

หยวนเจ๋อขยับตัวแล้วหันหน้ามาอย่างงุนงง พอเห็นคนที่อยู่ข้างหลังก็ร้องแทบไม่อยากเชื่อ “ประสกเยี่ยไป๋”

ชิวเยี่ยไป๋เห็นแววตาของเขางุนงงในพริบตา จากไม่อยากจะเชื่อกลายเป็นความปีติอย่างไม่ปิดบัง ความรู้สึกอึดอัดที่พิลึกพิลั่นในอกก็สลายไป

“ยังสบายดีไหม” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ และคิดจะชัก ‘ขาหมู’ กลับ แต่หยวนเจ๋อไม่ปล่อย และดึงมือนางฉุดให้นั่งลงบนเบาะนั่งข้างกายเขา

“วันเวลาในวังก็เหมือนเดิมนั่นแหละ” หยวนเจ๋อยิ้มจนตาหยี นึกดูแล้วเสริมอีกประโยค “ย่อมไม่สนุกเหมือนตอนอยู่ข้างกายประสกเสี่ยวไป๋”

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางสดชื่นของเขาก็อดหัวร่อมิได้ “ทำไม พุทธะมีชีวิตเองก็มียามที่อาวรณ์ต่อการเที่ยวเล่นทางโลกหรือ แม้ติดตามข้าจะสนุกกว่า แต่ก็มีอันตรายทุกวัน ถึงอย่างไรก็สงบและปลอดภัยสู้ในวังไม่ได้ อาหารการกินก็ประณีตสู้ในวังมิได้กระมัง”