ตอนที่ 291 ไม่ใกล้ชิดทั้งการให้และการรับ (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

หยวนเจ๋อฟังแล้วสีหน้าหม่นลง แต่ใบหน้าที่สดใสงดงามยังคงอมยิ้ม “ในใจมีพุทธะ ทุกแห่งหนล้วนเป็นเขาสุเมรุ หากในใจมีแต่ทางโลก ต่อให้เป็นในป่าไผ่ม่วงยังคงเหมือนนรก อย่าว่าแต่ในวังแห่งนี้เดิมทีก็เป็นที่หลอมรวมเจ็ดอารมณ์หกกิเลสทางโลกมากที่สุดอยู่แล้ว ในใจทุกคนล้วนมีนรก ต่อให้สวมใส่หรูหราดื่มกินอย่างดีจะต่างอะไรกับสัมภเวสีที่วาดหนังคนแทะกินแก้หิวเล่า”

ชิวเยี่ยไป๋แลดูแววตาสลดของเขา ราวกับพุทธะเทวะที่ก้มมองความทุกข์สุขของมวลมนุษย์อย่างมิอาทร เป็นพุทธะเทวะที่สูงส่งมิหวั่นไหว ทำให้นางพลันนึกถึงบนเกาะน้อยครานั้น เขา ‘สวดส่ง’ หลายสิบชีวิตด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติและเมตตากรุณา ‘อย่างเลือดเย็นทารุณ’

นางนึกในใจ พลันนึกถึงตำรา ซื่อซัวซินอวี่[1]ที่เริ่มด้วยประโยค…บุปผาบานเกิดสองหน้า ชีวิตระหว่างมารกับพุทธะ

หน้านี้ของหยวนเจ๋อ จึงจะเป็นพุทธะมีชีวิตของเจินเหยียนกงและราชครูแห่งอาณาจักรเทียนจี๋กระมัง

หยวนเจ๋อพลันนึกขึ้นได้ แลดูชิวเยี่ยไป๋แล้วยิ้มอย่างนุ่มนวลกล่าวว่า “ใช่แล้ว เสี่ยวไป๋ ครานี้ท่านกลับเมืองหลวงมารายงาน จะอยู่นานหน่อยได้หรือไม่”

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วอดงงงันมิได้ ดูสีหน้าของหยวนเจ๋อแล้วเหมือนเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าสภาพการณ์ของนางขณะนี้เป็นอย่างไร จึงอดแค่นหัวร่อในใจมิได้ ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหยวนเจ๋อจะทำให้พวกพระพันปีกริ่งเกรงจริงๆ จนถึงกับไม่กล้าให้หยวนเจ๋อรู้ว่าสถานการณ์ของนางเป็นอย่างไรเชียวหรือ

นางจึงกล่าวเนือยๆ ว่า “อืม ข้าจะรั้งอยู่สักพัก คงยังไม่จากไปในเวลาอันสั้น”

หยวนเจ๋อฟังแล้วตาเป็นประกาย กล่าวอย่างดีใจว่า “เช่นนั้นก็ดีเลย ก่อนหน้านี้ตอนอาตมาท่องเที่ยวไปกับประสกเสี่ยวไป๋ เคยกินขาหมูพะโล้ครั้งหนึ่งอร่อยมาก แต่เฟิงหนูกับเย่ว์หนูพวกนางบอกว่าของพวกนั้นเป็นอาหารของคนธรรมดาจึงไม่ยอมให้ในครัวทำให้ มีแต่เย่ว์หนูที่ใจอ่อนหน่อย แอบหาวัสดุให้อาตมา คิดว่าวันนี้จะทำพอดี พอดีเจ้ามา อย่างนั้นประเดี๋ยวอาตมาปรุงเสร็จแล้วเรากินด้วยกันนะ”

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทาง ‘เจ้ามีลาภปาก’ เช่นนั้นก็อดขันมิได้ “เจ้าโง่เอ๋ย เจ้าเอากระถางธูปเช่นนี้มาย่างขาหมู วันใดปีใดจึงจะปรุงเสร็จ”

นางเหลือบดูกระถางธูปทองเหลืองหุ้มด้วยทองคำหรูหราที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของช่างชั้นเอกแล้วส่ายหน้า กระถางล้ำค่าหน้าพุทธะ บัดนี้ถูกนำมาใช้ย่างขาหมูแล้ว

ถ้าหยวนเจ๋อมิใช่คนไร้รสนิยม ในวังนี้คงไม่มีใครเป็นคนไร้รสนิยมแล้ว

หยวนเจ๋อมองดูขาหมูที่รมจนสุกๆ ดิบๆ ในมือตน กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “อย่างนั้นหรือ ยามนั้นอาตมาเห็นเสี่ยวเอ้อร์ยองตัวที่ประตูร้านก็ใช้เตาถ่านค่อยๆ ย่างนี่นา พักเดียวก็เสร็จแล้ว”

“…นั่นเป็นวิธีกำจัดขนและยังต้องย่างบนไฟอีกหลายชั่วยาม จึงจะนุ่มและหอมกรอบนะ!”

หยวนเจ๋ออุทานอย่างผิดหวัง “อ้อ อย่างนี้นี่เอง”

ชิวเยี่ยไป๋เห็นดวงตาสดใสสีเทาเงินฉายแววผิดหวังแวบหนึ่ง จึงอดปลอบโยนมิได้ว่า “ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อข้ากลับมาราชธานีแล้ว ไว้ข้าทำให้เจ้ากินก็แล้วกัน”

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหยวนเจ๋อ จากนั้นก็ผงกศีรษะเบาๆ “อาตมารอคำพูดนี้ของประสกเสี่ยวไป๋มานานแล้ว”

ชิวเยี่ยไป๋ “…”

ที่แท้คนงี่เง่าบางคน พอเกี่ยวกับเรื่องกินก็ฉลาดได้ในพริบตา!

นางจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “คนข้างกายเจ้ายังคงไม่ค่อยเข้าใจเจ้านะ”

หยวนเจ๋อยิ้มเนือยๆ “พวกเขาก็แค่อยากได้พุทธะมีชีวิตและราชครูในสายตาพวกเขาเท่านั้น เคยคิดอยากได้คนอย่างอาตมาที่ไหนกัน”

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วก็ลอบถอนหายใจ และหาเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ มาเปลี่ยนเรื่องคุย

ขณะที่จันทราจะลับฟ้า แสงอรุณยังมิฉาย เป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดก่อนฟ้าสางนี้ ความรู้สึกของการได้อยู่กับคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจถ้อยทีถ้อยอาศัยนั้นไม่เลวจริงๆ ดังนั้นนางจึงไม่อยากทำลายบรรยากาศการพบกันของสหายเก่าเช่นนี้

สายตาของชิวเยี่ยไป๋ตกอยู่ที่มือของตน แววตาสะดุดลง

บรรยากาศกำลังดีและหยวนเจ๋อที่กุมมือนางตลอดเวลาขณะพูดคุยนี้…ก็ไม่รู้สึกเกลียดชัง

ท้องฟ้าค่อยๆ สางอย่างไม่รู้ตัว ชิวเยี่ยไป๋หยุดเล็กน้อยแล้วพลันกล่าวว่า “ข้าจะไปแล้ว”

ใกล้เวลาที่คนในวังจะตื่นกันหมดแล้ว โดยเฉพาะพวกคนงานมักตื่นแต่เช้าตรู่ เกิดมีใครมาพบเข้า เกรงว่านางจะออกจากวังคงไม่ง่าย

หยวนเจ๋อพยักหน้ากล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “เมื่อไหร่ท่านจะเข้าวังอีก หรือว่าจะให้อาตมาไปเยี่ยมที่

ซือหลี่เจียน”

ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้า แววตาเย็นเยือกเหม่อลอย “อาเจ๋อ บัดนี้ข้าเป็นผู้ต้องหาที่ราชสำนักตามจับ ถ้าเจ้าจะไปพบข้าที่ซือหลี่เจียนเกรงว่าคงต้องเป็นในคุกจ้าวอวี้แล้ว”

หยวนเจ๋องงงัน ครู่หนึ่งจึงขมวดคิ้ว “เพราะสมุดบัญชีเล่มนั้นหรือ”

เขาเพียงแค่ไม่ประสาต่อโลกอยู่บ้าง แต่มิใช่คนโง่ อย่าว่าแต่เขายังเคยอยู่ร่วมกับชิวเยี่ยไป๋เดือนเศษเต็มๆ ชิวเยี่ยไป๋จึงมิได้ปิดบังเขา

นางพยักหน้า “ไม่ผิด”

หยวนเจ๋ออยากพูดอะไรบ้าง แต่นิ้วมือขาวผ่องแตะเบาๆ ที่ริมฝีปาก ห้ามเขาพูดออกมา “เรื่องนี้ ข้าไม่อยากให้อาเจ๋อพัวพันด้วย ถ้าข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ข้าจะมาหาเจ้าเอง”

หยวนเจ๋อแลดูสีหน้าสงบเฉยของนางเงียบๆ สุดท้ายถอนใจกล่าวว่า “ได้”

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มให้ สายตาหยุดที่ดรุณีน้อยในเสื้อยาวสีเหลืองอ่อนนางหนึ่งที่ยืนหันหลังให้พวกเขาไม่ไกลนัก “คนของเจ้าหรือ”

หยวนเจ๋อพยักหน้าไม่มีท่าทางผิดปกติ “เป็นเย่ว์หนู ประสกไป๋เสี่ยวไป๋ท่านโปรดวางใจ เย่ว์หนูมิใช่คนปากมาก”

ริมฝีปากของชิวเยี่ยไป๋โค้งขึ้น “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ข้าย่อมวางใจ”

หากมิใช่หญิงรับใช้คนนั้นนำวัสดุทำอาหารออกมาให้ บังเอิญเห็นนางกับหยวนเจ๋อสนทนากันใต้ต้นไม้แต่มิได้ตกใจร้องโวยวายหรือพุ่งเข้ามาสอบถาม แต่หันหลังให้พวกเขาอย่างเงียบๆ และยืนดูต้นทางให้ อีกทั้งยังช่วยพวกเขาขับส่งองครักษ์หลายคนที่ลาดตระเวนยามราตรี นางคงทุบให้หญิงรับใช้หมดสติไปแล้ว

บัดนี้ถามอีกคำให้มากความก็เพื่อให้แน่ใจ

“ข้าไปล่ะ” ชิวเยี่ยไป๋กำลังจะลุกขึ้น กลับพบว่าตนเองยังคงถูกหยวนเจ๋อกุมข้อมือไว้

“หือ” นางเลิกคิ้วเล็กน้อยมองดูเขา

สีหน้าที่หยวนเจ๋อมองดูนางออกจะเศร้าอยู่แล้ว “ประสกเสี่ยวไป๋ ท่านจะเข้าวังอีกเมื่อใด”

แสงจากฟากฟ้าที่มัวสลัวจับอยู่บนใบหน้าที่ขาวจนออกจะโปร่งใสอยู่บ้างของเขา ส่งกลิ่นอายอันหม่นมัวพิศวง ดูแล้วมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

แต่ไรมาชิวเยี่ยไปชอบคนงาม อย่าว่าแต่คนงามล้ำเลิศเช่นนี้ เพียงแต่คนงามนี้จิตใจกลัดกลุ้มก็เพราะ…

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างจนใจ “เจ้าวางใจเถิด ข้าย่อมเข้าวังจนได้ แต่ยังคงเหมือนวันนี้ ไม่อาจเปิดเผยโอ่อ่าเท่านั้นเอง และจะไม่ลืมว่าต้องทำขาหมูให้เจ้า”

สิ่งที่สามารถทำให้เจ้าคนตะกละอาลัยอาวรณ์เช่นนี้ คงมีแต่เรื่องที่นางรับปากเขาไว้นี่แหละ

หยวนเจ๋อลังเลครู่หนึ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ถึงไม่มีขาหมูก็ไม่เป็นไร อาตมาเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของประสกเสี่ยวไป๋เท่านั้นเอง…”

แน่นอน ถ้าประสกเสี่ยวไป๋สามารถทำขาหมูพะโล้มาสักชิ้นด้วยย่อมดีที่สุด

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว พลันก้มหน้าลงเข้าใกล้ใบหน้าเขา คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “อาเจ๋อ ในใจของเจ้า ข้าสำคัญกว่าหรือว่าขาหมูพะโล้ของเจ้าสำคัญกว่า”

——

[1] ซื่อซัวซินอวี่ (世说新语) หนึ่งในตำราจีนโบราณที่มีชื่อเสียง เป็นการเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจจากปราชญ์บัณฑิตโดยเขียนในเชิงนิทานหรือนิยายตั้งแต่ยุคตงฮั่นหรือฮั่นตะวันออกถึงยุคตงจิ้นหรือจิ้นตะวันออก เขียนในสมัยราชวงศ์ใต้หรือซ่งใต้ (ค.ศ.420-479) โดยหลิวอี้ชิ่งเป็นผู้ให้บริวารที่ปรึกษาของตนช่วยกันเขียน