ตอนที่ 292 อาตมาพูดผิด (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ใบหน้างดงามของชิวเยี่ยไป๋จู่ๆ ก็ขยายใหญ่อยู่ต่อหน้าตนเอง ทำเอาหยวนเจ๋อรู้สึกลมหายใจขาดห้วงในพริบตา เพียงรู้สึกว่าดวงตาสดใสงดงามคู่นั้นดูเหมือนมีแววเย้าแหย่ แต่กลับคมกริบถึงเพียงนี้ แทบจะทะลุเข้าไปในดวงตาของตนจนรู้สึกอึดอัดในหัวอก

“อาตมา…อาตมา…”

หยวนเจ๋อ ‘อาตมา’ อยู่ค่อนวัน เห็นรอยยิ้มในแววตาของนางเข้มยิ่งขึ้น รู้สึกลนลานอย่างน่าประหลาด จึงเอนตัวไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ โดยลืมไปว่าข้างหลังตนว่างเปล่า พอเอนลงไปก็หงายหลัง ดูท่าจะล้มฟาดแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ตาไวมือไวเอื้อมแขนโอบเอวเขาไว้ แล้วฉุดให้เขากลับมาที่หน้าตนเหมือนเดิม

ชิวเยี่ยไป๋แลดูใบหน้าลนลานอีหลักอีเหลื่อของหลวงจีนรูปงาม เหมือนพุทธะมีชีวิตที่ไหนกัน จึงอดหัวร่อมิได้และยิ่งไม่ยอมปล่อยเขา “อาเจ๋อ เจ้ายังไม่ได้ตอบข้านะ”

หยวนเจ๋อถูกนางช้อนตัวกลับจนทั้งตัวแทบจะแนบกับหน้านาง ซ้ำยังรู้สึกถึงลมหายใจนุ่มนวลของนางที่รดผิวตนเบาๆ ใต้แสงฟากฟ้ามัวสลัวรอยยิ้มในแววตาของนางทำเอาเขารู้สึกใจเต้นเหมือนกลองรัว พลันนึกถึงในห้องพักบนเกาะน้อยวันนั้น นางลวนลามตนอย่างมิกริ่งเกรง

เขากุมศีรษะของตนเองตามสัญชาตญาณ กล่าวลนลานเบาๆ ว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ ชายหญิง…ไม่…บุรุษกับบุรุษไม่ใกล้ชิดกันแม้การให้และรับ อย่าพูดจาลวนลามเช่นนี้ อา…อา…อมิตาภพุทธ”

“ทำไม อาเจ๋อรู้สึกว่ากริยาวาจาข้าลวนลามหรือ” ชิวเยี่ยไป๋คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม แลดูหลวงจีนที่อยู่ใกล้ตนนิดเดียว ปลายนิ้วไล้ไปตามคิ้วของเขา สุดท้ายหยุดอยู่ที่ใบหูขาวผ่องของเขา ปลายนิ้วเขี่ยติ่งหูเขาเบาๆ

ดูเหมือนหยวนเจ๋อเองก็รู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของตนไม่น่าดู จึงชักมือกลับ ก้มหน้าลงประนมมือ “ประสกเสี่ยวไป๋ อาตมาพูดผิด ฟ้าจะสางแล้ว ท่านควรรีบจากไป”

ท่าทางที่กึ่งอิงกับอ้อมอกของประสกเสี่ยวไป๋ ทำให้เขาอีหลักอีเหลื่อจริงๆ ในใจยังมีอารมณ์เลอะเลือนที่บอกไม่ถูก

ชิวเยี่ยไป๋แลดูหลวงจีนที่แทบจะถูกตนกึ่งบังคับให้อยู่ในอ้อมอก ศีรษะต่ำจนเห็นเพียงผมสีเงินยวงของเขา แม้จะอยู่ใต้แสงขมุกขมัว นางยังคงเห็นติ่งหูที่ประดุจหยกขาวนั้นแดงฉานจนเลือดแทบหยด แขนที่โอบเอวเขาอยู่ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อเขา

แต่หยวนเจ๋อยังทำท่าทางเหมือนกำลังพร่ำเทศนาอย่างโอ่อ่า นึกว่าผู้อื่นดูไม่ออกถึงความตื่นเต้นของเขา

แต่ความตื่นเต้นของเขานี้มิรู้เพราะอะไรกลับทำให้นางรู้สึกดีใจ และพลันเข้าใจถึงหนังสือเทพนิยายที่เคยอ่านเล่มหนึ่งเมื่อชาติก่อน ทำไมพวกปีศาจสตรีถึงได้กระตือรือร้นกันหนักหนาที่จะจับตัวหลวงจีนที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับถ้ำของตน[1]

ภายใต้แสงสลัวของท้องฟ้า ในแสงน้อยนิดสีส้มของกระถางธูป ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาของบุรุษเยาว์วัย ดวงตาที่งดงาม ริมฝีปากสีชมพูที่เม้มสนิท ลำคอระหงขาวผ่องแนบสนิทกับคอเสื้อหลวงจีน ทุกจุดคล้ายมีกลิ่นอายของการข่มกลั้นตัณหา แต่ทุกจุดล้วนเย้ายวนใจคน

ต่อให้เป็นหลวงจีนประหลาดเช่นนี้ ไม่แน่ว่ากินแล้วอาจเป็นอมตะไม่แก่เฒ่าก็เป็นได้

ชิวเยี่ยไป๋แววตาเลื่อนลอยเล็กน้อย พลันหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า “ดูท่า ในใจของอาเจ๋อข้าสำคัญกว่าขาหมูพะโล้อยู่บ้างนะ”

หยวนเจ๋อยังคงมิได้เงยหน้าขึ้น แต่ผงกศีรษะอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

มีประสกเสี่ยวไป๋ ขาหมูพะโล้ย่อมไม่หายไปไหน ซ้ำยังอาจมีตือฮวนทอด ยังมีซาลาเปาของประสกเสี่ยวไป๋ด้วย คนย่อมสำคัญที่สุดเป็นธรรมดา

อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกิน หยวนเจ๋อล้วน ‘ฉลาด’ เป็นที่สุด และแยกแยะหนักเบาได้ดีที่สุด

ชิวเยี่ยไป๋เป็นคนระดับใด เห็นเขาพยักหน้าอย่างเด็ดขาด ย่อมรู้ดีว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่

แต่หยวนเจ๋อไม่ได้พูดตรงๆ ประเภทในสายตาพุทธะสรรพสัตว์ย่อมเท่าเทียมกัน นางจึงรู้สึกพอใจและกล่าวว่า “ข้าไปล่ะ”

หยวนเจ๋อไม่พูด เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจนุ่มนวลของประสกเสี่ยวไป๋อยู่ชิดใกล้แค่นี้เอง เหมือนลมอุ่นของฤดูใบไม้ผลิที่ชวนเคลิบเคลิ้มพัดโชยจนเขาหน้ามืดตามัว ได้แต่ผงกศีรษะงุนงงท่ามกลางไออุ่นนี้

ต่อจากนั้นเขาก็รู้สึกว่า นางคลายมือที่โอบเอวออกจนรู้สึกเบาโหวง แล้วลมอุ่นนั้นก็ค่อยๆ ไกลออกไป เขาพลันเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ “ประสกเสี่ยวไป๋…”

ความจริงชิวเยี่ยไป๋เพียงแค่คลายมือที่โอบเอวของเขาออกยังไม่ได้ลุกขึ้นเต็มตัว นางคิดว่าเจ้าหมอนี่คงจะนั่งแข็งเกร็งอยู่อีกนาน ไหนเลยจะนึกว่าจู่ๆ หยวนเจ๋อก็เงยหน้าขึ้นมา

การแหงนเงยเช่นนี้ ทำให้ริมฝีปากบางเฉียบนุ่มนิ่มของเขาพอดีเฉี่ยวผ่านริมฝีปากอวบอิ่มนุ่มนวลของนาง

เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ คำพูดที่เหลือคาอยู่ในคอชั่วพริบตา ดวงตาสีเทาเงินพลันเบิกกว้างราวผลึกแก้ว มองดูคนที่อยู่เบื้องหน้าในระยะประชิดอย่างไม่อยากเชื่อ รู้สึกว่าตนเองจู่ๆ ก็ตกเข้าไปในดวงตาที่มักเหมือนมีรอยยิ้มอย่างมินำพาแต่สุกใสและคมกริบคู่นั้น ลมหายใจหยุดชะงัก ความรู้สึกทั้งมวลของร่างกายเหมือนเสื่อมถอย เหลือเพียงจุดเดียวบนริมฝีปาก…อุ่นจนแทบลวก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิวเยี่ยไป๋ที่รักษาความทรงจำของชาติก่อนไว้และยังถูกเลี้ยงดูในยุทธจักรตั้งแต่เล็ก ไม่มีแววของเด็กหญิงแม้แต่น้อย และเรียนรู้วิชาประหลาดพิสดารจากเซียนเฒ่าผู้เป็นอาจารย์ พอโตขึ้นดูเหมือนจะสำรวมขึ้นบ้าง แต่ก็ยิ่งแสดงออกถึงความเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ปล่อยปละเจ้าเล่ห์แสนกลในนิสัยของนาง เล่นหัวด่าทอ รู้ซึ้งในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน จึงคบหาไปทั่วแผ่นดิน

แม้กระนั้น ยุทธจักรมากด้วยลมฝน นางแบกภาระความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของหอซ่อนกระบี่ ดวงใจดวงนี้จึงไม่เคยตกอยู่กับใครเลย

เดิมทีนางเพียงรู้สึกว่าอยู่กับหยวนเจ๋อแล้วสบายใจ หลวงจีนคนนี้งี่เง่าโง่งม แต่บางครั้งกลับมีคำพูดน่าตกใจและแสดงออกถึงบุคลิกของพุทธะมีชีวิต เป็นเรื่องน่าสนใจ บางครั้งนางเย้าแหย่บ้าง ก็แค่ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่เคยคิดจะทำให้การบำเพ็ญธรรมของเขาเสียหาย ที่เลวร้ายที่สุดก็แค่ตอนแรกนางสงสัยฐานะที่แท้จริงของเขาเท่านั้น จึงได้ใช้อุบายบังคับให้เขาสารภาพ

บัดนี้จู่ๆ เป็นเช่นนี้ แม้แต่ชิวเยี่ยไป๋เองก็ตะลึงงัน

แม้นางจะชมชอบพูดจาเจ้าชู้ ข้างกายมีโฉมตรูผู้รู้ใจไม่น้อย แต่ชีวิตนี้คนที่เคยสัมผัสกับริมฝีปากนาง นอกจากไป๋หลี่ชูแล้ว…ถึงกับ…มีเพียงหยวนเจ๋อ

ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วและกำลังจะถอยตัว นึกไม่ถึงว่าหยวนเจ๋อถอยก่อนอย่างรวดเร็ว สีหน้าตระหนก ด้านหลังของเขาเป็นที่โล่ง ครานี้นางจะคว้าเขาไว้ก็คว้าไม่ทัน เขาจึงซวนเซแล้วล้มฟาดลงบนพื้น กุมริมฝีปากตนเอง ใบหน้าที่งดงามขาวซีดเหมือนเห็นผีก็มิปาน ผมสีเงินยวงสยายครึ่งหนึ่งคลุมร่างที่สั่นเทาไว้

ชิวเยี่ยไป๋แลดูร่างที่เหมือนกวางน้อยไร้ความผิดที่ถูกคนรังแกเบื้องหน้า มือที่ยื่นออกไปจึงคว้ากลางอากาศ

“ท่านราชครู!” สตรีเสื้อเหลืองคนนั้นพุ่งปราดเข้ามาพยุงหยวนเจ๋อ มองดูมือของชิวเยี่ยไป๋ที่ยื่นออกมาอย่างระแวง “เจ้าจะทำอะไรราชครู”

ท้องฟ้ามัวสลัว เย่ว์หนูที่อยู่ไกลออกไปใต้ชายคาความจริงไม่เห็นอะไรเลย เพียงเห็นเจ้านายของตนเดิมทีสนทนากับผู้เยาว์อย่างเบิกบาน แต่จู่ๆ ก็เหมือนถูกผู้เยาว์คนนี้ผลักล้มลงกับพื้น และคนผู้นั้นยังจะลงมือต่อราชครูอีก นางจึงตื่นตกใจและพุ่งเข้ามาตามสัญชาตญาณ

ราชครูรูปลักษณ์เป็นเอกในแผ่นดิน ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องประเภทพวกไม่มีตาที่แอบหมายปองราชครู แต่ต่อให้บุรุษก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้หมด ถึงอย่างไรความนิยมชายกับชายก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงในหมู่ชนชั้นสูงของอาณาจักร

——

[1] หมายถึงเรื่องราวในนิทานไซอิ๋ว