ตอนที่ 831 งานมงคล

Elixir Supplier

“เปล่าค่ะ แต่สายตาของเธอโกหกไม่ได้หรอก” ซูเสี่ยวซวีพูด “เชียนเชิงบอกว่าพวกเขาเป็นพวกมีเรื่องราวเบื้องหลังเหรอคะ?”

“มันไม่ใช่แค่เรื่องธรรมทั่วไปหรอก” หวังเย้าตอบ “มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่เดียวถ้ามันถูกเอาไปเขียนเป็นนิยายหรือทําหนัง มันอาจจะดังก็ได้”

“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม “เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิคะ”

“ความจริงแล้ว สองคนนั้นเป็นนักฆ่า” หวังเข้าพูด

“อะไรนะคะ?” ซูเสี่ยวซวีตกตะลึง “พูดจริงเหรอคะ เชียนเชิง?”

“ผมพูดจริงๆ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมเดาว่าเธอคงจะไม่เชื่อ งั้นฟังผมเล่าก่อนดีกว่า”

เขาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขาและบริษัทที่พวกเขาเคยทํางานให้

“พระเจ้า!” ดวงตาของซูเสี่ยวซวีเบิกกว้าง เธอไม่คิดว่าเรื่องแบบนั้นหรือองค์กรแบบนั้นจะมีอยู่บนโลกใบนี้เธอคิดว่ามันมีแค่ในนิยายหรือในหนังที่เกิดขึ้นมาจากจินตนาการเท่านั้น

“มันน่าสนใจใช่ไหม?” หวังเย้าถาม

“พวกเขาฆ่าคนจริงๆเหรอคะ?” เธอถาม

“จริงสิ แล้วก็อาจจะมากกว่าหนึ่งคนด้วย” หวังเย้าตอบ

เขาได้รู้เรื่องการบริหารงานของบริษัทนั้นมาจากจงหลิวชวนกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่ากรรมการบริหารคือคนที่ครอบครองความสามารถที่เหนือกว่าคนอื่น แล้วพวกเขาตัดสินความสามารถของแต่ละคนได้ยังไง? บรรทัดฐานสําคัญอาจดูจาก“ผลงาน”ในการสังหารเป้าหมาย

“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นอาชญากรน่ะสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

“ใช่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “พวกเขาก่ออาชญากรรมเอาไว้มากมาย ที่แค่การยิงเป้าไม่อาจเพียงพอต่อความผิดที่พวกเขากระทําลงไปได้”

ไม่มีใครบอกได้ว่า คนที่พวกเขาสังหารไปจะเป็นคนไม่ดีที่ต้องถูกกําจัดหรือไม่ แต่จะต้องมีผู้บริสุทธิ์ที่อาจโดนลูกหลงจากพวกเขาได้เช่นซูเสี่ยวซวีเป็นต้นดังนั้นสิ่งที่พวกเขาได้ทําลงไปจึงเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้

“พวกเขาดูไม่เหมือนคนแบบนั้นเลยนะคะ” หลังจากที่เงียบไปนาน ซูเสี่ยวซวีก็พูดขึ้นมา

บอกตามตรง ความประทับใจแรกที่เธอมีต่อเลี้ยจื้อจายและหูเหมยคือพวกเขาเป็นคนดีเธอไม่คิดเลยว่ามือของพวกเขาจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด

“ตัวร้ายไม่เคยทําสัญลักษณ์บนใบหน้าของพวกเขา เพื่อบอกให้รู้ว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดีหรอกนะ” หวังเย้าพูด“ตรงกันข้ามพวกเขาส่วนใหญ่มักดูเหมือนคนธรรมดาหรือไม่ก็อ่อนโยนเพราะมันง่ายที่จะทําให้คนอื่นสับสน”

“เชียนเชิงรู้เรื่องนี้มาจากพวกเขาใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

“ใช่” หวังเย้าพูด

“เชียนเชิงคิดจะโทรแจ้งตํารวจไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

ตั้งแต่เด็ก เธอเป็นเหมือนกับดอกไม้ในเรือนกระจก เธอคือลูกแอปเปิ้ลในสายตาของทุกคนในบ้านที่ต้องการการปกป้องและความรัก อยู่ในหอคอยที่เป็นดั่งสถานไร้มลทินที่ความมืดของสังคมไม่อาจกล่กลายมาถึงตัวเธอได้มันไม่ต่างจากความนึกคิดของเธอ เธอไม่เคยได้เข้าไปสัมผัสกับความมืดจนกระทั่งตอนนี้

“โทรหาตํารวจเพื่อเปิดโปงพวกเขาน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

“ฮาฮา บอกตามตรง ผมคิดเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ผมคิดว่าไม่ทําดีกว่า” หวังเย้าพูด

“ทําไมล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

“เธอคิดว่า หลิวชวนเป็นคนยังไง?” หวังเย้าถาม

“ดีค่ะ เขาเป็นคนดีมาก” ซูเสียวซวีพูด

เธอเคยพูดคุยกับชายวัยประมาณสามสิบคนนั้นอยู่สองครั้ง เขาอ่อนโยนมากเขาเป็นเหมือนกับพี่ชายข้างบ้านและมีบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเธอยังรู้ด้วยว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของหวังเย้าเพื่อเรียนกังฟูและนับได้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์คนที่สองของหวังเย้า

“เขาก็เป็นหนึ่งในนั้นเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

“แปลกใจไหม?” หวังเย้าถาม

“มากๆเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “เขาเคยฆ่าคนมาก่อนเหมือนกันเหรอคะ?”

“ใช่ เขายอมรับออกมาเอง แต่โดยธรรมชาติของเขานั้นต่างจากเจี่ยจื้อจายกับหูเหมย” หวังเย้าพูด

“เราปล่อยเรื่องนี้ไปดีไหมคะ เชียนเชิง?” ซูเสี่ยวซวีเสนอขึ้นมา

“ปล่อยไปโดยไม่ทําอะไรเลยแบบนั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ไม่ต้องไล่ตามพวกเขาอีกต่อไป” ซูเสี่ยวซวีพูด “ตอนนี้ ฉันมีความสุขมากแล้ว ฉันไม่อยากคิดถึงเรื่องไม่ดีพวกนั้นอีกแล้ว”

“ก็ได้ ผมจะฟังเธอ” หวังเย้าพูด

ถึงเธอจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขารู้ว่า ซูเสี่ยวซวียังคงสนใจเรื่องนั้นอยู่เธอแค่ไม่ต้องการให้มันมีผลกระทบกับชีวิตของเขาก็เท่านั้น เขาสามารถปล่อยหูเหมยไปได้ชั่วคราวแต่เขาไม่มีทางป ล่อยชายที่ถูกเรียกว่าหมอพิษคนนั้นไปเด็ดขาด

“เชียนเชิง?” เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากด้านนอก

“เข้ามาข้างในได้เลยครับ” หวังเย้าพูด

โจวฉงเดินเข้ามาจากด้านนอก

“ผมมาเอายาครับ เชียนเชิง” เขาพูด

“โอ้ ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย” หวังเย้าพูด

เมื่อเห็นว่า ซูเสี่ยวซวีที่เข้าไปในคลินิกยังไม่ออกมา โจวฉงจึงรออยู่ด้านนอกสักพักก่อนที่จะเข้าไป

“วิธีกินยาตัวนี้เหมือนกันกับซุปเป่ยหยวน แล้วก็กินซุปเป่ยหยวนควบคู่กันไปได้เลย”หวังเย้าพูด

เข้าสู่เดือนตุลาคม ลมฤดูใบไม้ผลิจึงหนาวเย็น

มันเป็นวันสําคัญ และนั่นก็คือวันที่พี่สาวของหวังเย้าแต่งงาน

ทั้งครอบครัวตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่พวกเขาต่างพร้อมแล้วชาวบ้านหลายคนมาช่วยงานเมื่อมีงานแบบนี้ขึ้นมา ชาวบ้านล้วนยินดีมาร่วมงานเพื่อสังสรรค์และรับโชคหวังเฟิงฮวาและจางซิวหยิงต่างมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่บ้านชาวบ้านหลายคนจึงยินดีมาช่วยงานชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนไปรักษากับหวังเย้าการที่เขามักไม่รับเงินค่ารักษาจากชาวบ้าน ก็ยิ่งทําให้ชื่อเสียงของครอบครัวพวกเขาดียิ่งขึ้นไปอีก

มันเป็นวันมงคลที่ท้องฟ้าสว่างสดใส

เสียงประทัดดังขึ้น

ขบวนรับเจ้าสาวมาถึงหมู่บ้าน

มีการเอ่ยคําอวยพรเพื่อส่งเจ้าสาวกันอย่างล้นหลาม

ตู้หมิงหยางมีความสุขอย่างมาก

แก้วแล้วแก้วเล่าถูกดื่มให้กับพ่อแม่เจ้าสาวที่เลี้ยงดูและสั่งสอนเจ้าสาวจนเติบใหญ่

หวังเย้าและซูเสี่ยวซวียืนจับมือกันและกันอยู่ข้างๆ

ซูเสียวซวีมอบของขวัญให้กับหวังรุ่ย

มันเป็นสร้อยคอไพลินที่งดงามและล้ําค่า

ตามแผนจะมีการส่งเจ้าสาวในตอนเช้าและจัดงานเลี้ยงฉลองในตอนกลางวัน

หวังเข้าไม่ได้บอกเรื่องงานแต่งกับเพื่อนๆของเขา แต่พวกเขากลับได้รับข่าวและเดินทางมาร่วมงาน

หวังหมิงเปา,เว่ยห่าย,เทียนหยวนถู,พันจวิน, หลี่เม่าชวง, และซุนหยุนเชิงต่างพากันมาร่วมงาน ภายในหมู่บ้านไม่เคยมีรถเข้ามาจอดมากมายขนาดนี้แถมยังเป็นรถราคาแพงทั้งนั้นภายใน หมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยความคึกคัก

“เฮ้อ บ้านเฟิงฮวาแต่งลูกสาวออกไปได้ดีจริงๆ!

ชาวบ้านล้วนให้ความสําคัญกับเรื่องหน้าตา

“ใช่ ฉันสงสัยจริงๆว่าจะหมดไปเท่าไหร่!”

“พวกเขามีลูกสาวแค่คนเดียว จะเท่าไหร่พวกเขาก็คงยอมจ่าย!”

“เราไปกินอาหารในงานเลี้ยงกันดีกว่า”

ตอนเที่ยง ทั้งครอบครัวเดินทางเข้าตัวเมืองเหลียนชานเพื่อร่วมงานฉลองมงคลสมรสเพื่อนของหวังเย้าต่างก็ตามมาด้วย มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะรวมตัวกันได้สักครั้งหวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีต่างวิ่งวุ่นช่วยงานพวกเขาไม่มีเวลาได้นั่งกินดื่มกับเพื่อนของหวังเย้าเลย

“นายก็ก่าลังจะแต่งงานเหมือนกันใช่ไหม เชียนเชิง?” เว่ยหายถาม

“ใช่ครับ คงอีกไม่นาน” หวังเย้าตอบ

“ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้ข่าว เราจะต้องบอกให้รู้กันทุกคนด้วยนะ” เว่ยห่ายพูด

“ใช่ๆ อย่าลืมล่ะ” เพื่อนคนอื่นๆต่างเห็นด้วย

พวกเขาบางคนแลกเปลี่ยนเบอร์โทรติดต่อกันไว้ ส่วนคนที่มีอยู่แล้วก็ทําการยืนยันเพื่อให้แน่ใจ

งานแต่งครั้งนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและคลื่นเครง ทุกคนต่างก็มีความสุข

เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

บ่ายวันนั้น หลังจากหวังเย้าช่วยงานเสร็จแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้มีเวลามาอยู่กับเพื่อนของเขาพวกเขาไปรวมตัวดื่มชากันที่ใต้ต้นจนเหอที่คลินิกของหวังเย้า

“ต้าหงเผา!” ซุนหยุนเชิงคือคนที่รู้จักแต่ของดี เพราะเขาเคยดื่มชาชนิดนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง

“ใช่แล้วครับ” หวังเย้าพูด

“ต้นชาไม่กี่ต้นบนเขาหวยน่ะเหรอ?” เทียนหยวนถูถาม

“ใช่ ผมได้มาจากพี่ชายของเสี่ยวซวีน่ะครับ” หวังเย้าพูด

“โอ้ ของดีนี่” เว่ยห่ายพูด “ถึงจะมีเงิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อมันมาได้”

ต้นชามีจํานวนน้อย ในแต่ละปีจึงผลิตชาออกมาได้น้อย ไม่ว่าใครอยากได้มากแค่ไหนแต่ชาก็ยังคงมีปริมาณเท่าเดิม

“บ้านของเชียนเชิงเต็มไปด้วยสมบัติจริงๆ!”

“เชียนเชิง คิดจะแต่งงานเมื่อไหร่เหรอ?”

“ผมสัญญากับเสี่ยวซวีเอาไว้แล้ว่า เราจะแต่งงานกันหลังจากที่เสียวซวีเรียนจบครับ”หวังเย้าพูด

“เธอเรียอยู่ปีอะไรแล้ว?”

“ปีนี้ เธอเรียนอยู่ปีสามครับ” หวังเย้าพูด “การเรียนของเธอต้องล่าช้าออกไปเพราะอาการป่วยของเธอ

“ถ้าอย่างนั้น เธอก็จะเรียนจบหลังจากปีหน้าอีกปีหนึ่งใช่รึเปล่า?”

“ใช่ครับ” หวังเข้าตอบ

“อย่าลืมบอกพวกเราด้วยล่ะ

“ได้ครับ” หวังเย้าพูด

บ้านตระกูลซูที่ไกลออกไปหลายพันไมล์

“คุณป้า” ผู้หญิงคนหนึ่งพูด เธอมีหน้าตาที่ดีแต่ดูซีดเล็กน้อย เธอมีรูปร่างที่สง่างามพร้อมกับหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยแสดงให้รู้ว่าเธอกําลังตั้งครรภ์อยู่

“ท้องได้กี่เดือนแล้ว?” ซงรุ่ยปิงถาม

“สี่เดือนแล้วค่ะ” เธอพูด

“ทําไมถึงไม่ยอมฟังกันบ้าง?” ซงรุ่ยปังถามสีหน้าไม่พอใจ

“คุณป้า ฉันอยากลองอีกครั้ง ฉันอยากมีลูก” น้ําเสียงของเธออ่อนโยนราวสายลมในเดือนพฤษภาคม

“เธออยากลองอีกครั้ง? เธอไม่รู้สภาพร่างกายของตัวเองเลยรึยังไง?” ซงจุ้ยปิงมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความสงสาร
“ฉันมาเพื่อขอร้องคุณป้าค่ะ”เธอพูด

“เธอต้องการอะไร?” ซงรุ่ยปิงถาม

“คุณป้า ฉันได้ยินมาว่า คุณป้ารู้จักกับหมอฝีมือดีคนหนึ่ง แล้วเขาก็ยังสามารถรักษาอาการป่วยของเสี่ยวซวีได้ด้วย”เธอพูด“คุณป้าคิดว่าพอจะแนะนําฉันให้เขาได้ไหมคะ?”

“ก็ได้ ป้าจะลองถามเขาให้” ซงรุ่ยปังรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่ายดี

“ขอบคุณมากนะคะ” เธอพูด

“ป้าจะถามเขาให้ แต่ว่าเขาจะตกลงรึเปล่านั้นก็อีกเรื่อง” ซงรุ่ยปิงพูด “ฝีมือการรักษาของเขายอดเยี่ยมมากแต่เขาก็มีความคิดที่ค่อนข้างประหลาด”

“ฉันรู้ค่ะ” เธอพูด “ไม่ว่ายังไง ขอแค่เขาตกลง จะให้ฉันไปหาเขาที่นั่นก็ยังได้”