พระจันทร์สีเงินสลัวรางของโลกเบื้องล่างลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้ว เป็นเส้นโค้งบางเส้นหนึ่ง เหมือนกับคิ้วเรียวบางสองเส้นของปีศาจสาวตรงหน้า
เนินสนเขียว คืนลมเย็น ในศาลาที่สร้างจากกิ่งสน เทพบุตรชุดขาวที่งามสง่าตามแบบแผนพิงเสาศาลาอยู่ ดวงตาสองข้างที่เยือกเย็นกำลังมองไปยังปีศาจสาวงดงามที่มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญตรงหน้า
หลายปีมานี้สถานการณ์อย่างนี้ดูจะเห็นบ่อยเกินไปแล้ว ทุกแห่งหนที่ไป จะมีปีศาจสาวไม่ซ้ำหน้าผลัดเปลี่ยนกันมาล่อลวงตลอดทุกคืน ฝูชางคุ้นเคยเสียจนเดินไปโดยหนังตายังไม่กระตุกสักนิด
ปีศาจสาวตรงหน้าเหมือนจะเป็นปีศาจต้นไหว ฉุนจวินไม่มีปฏิกิริยา นางไม่ใช่เผ่ามาร เขาเบนสายตาไปอย่างไร้อารมณ์ มองไปยังจันทร์เสี้ยวบางนั้น
“ที่อี๋สุ่ยนี่ สมัยบรรพกาลเคยมีตำนานเล่าขานสืบทอดกันมาอยู่เรื่องหนึ่ง เทพฝูชางสนใจฟังหรือไม่เจ้าคะ”
ปีศาจสาวเข้าไปใกล้เขาอีกนิด เห็นเขายังไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็นั่งลงแล้วเอนพิงไปยังร่างสูงโปร่งนั้นอย่างยินดี พลางกล่าวเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “สมัยบรรพกาลเคยมีหลิ่นจวิน*นั่งเรือจากอี๋สุ่ยไปยังเหยียนหยาง มีเทพธิดาของเหยียนสุ่ยมาติดพัน หลิ่นจวินกลับใจอำมหิต เขาใช้ผ้าคาดเอวไหมเขียวมัดนางไว้ แล้วใช้ลูกธนูฆ่านาง เทพฝูชาง บุรุษทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เทพหรือปีศาจ ต่างก็ไร้น้ำใจอย่างนี้กันหมดเลยหรือ”
นางใจกล้าคิดจะสัมผัสใบหน้างามราวหยกของเขาสักครั้ง ทันใดนั้นพลันมีประกายแสงเย็นวาบผ่านตรงหน้า กระบี่วิเศษฉุนจวินถูกเทพบุตรชุดขาวกุมและขวางไว้ตรงหน้า นางหน้าถอดสีและรีบถอยหลังไปหลายก้าวอย่างลนลาน แต่กลับได้ยินเขากล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ารู้แค่ว่า ที่นี่ตอนนี้มีเผ่ามารตนหนึ่งที่เรียกตนว่าราชามารหลิ่นจวิน บังคับชิงตัวบุตรสาวเทพอี๋สุ่ยไป เขาอยู่ที่ไหน”
ปีศาจสาวรีบกลายเป็นสายลมเย็นกลุ่มหนึ่งหนีไป “ข้าบอกไม่ได้ จะถูกฆ่าเอา! ท่านเทพฝูชางอย่าได้โทษข้าเลย!”
ฝูชางไม่ได้ขยับ และใช้พลังเทพตรวจสอบดูพื้นที่ทุกตารางนิ้วในรัศมีพันลี้ต่อไป
ผ่านไปสองพันปี เผ่าปีศาจโบราณทั้งสิบแปดเผ่าถูกสังหารไปสิบสองเผ่า หกเผ่าที่เหลือต่างยอมสวามิภักดิ์แล้ว และมีเผ่าที่ไม่เคยได้ดูดเอาไอขุ่นมัวเข้าไปมาก่อน ดังนั้นแดนเทพจึงยอมปล่อยไปก่อนชั่วคราว ยามนี้แม้ว่าเผ่ามารที่ยังเหลืออยู่ที่โลกเบื้องล่างจะมีมาก แต่ส่วนมากล้วนแต่เป็นเผ่ามารที่กระจัดกระจายกัน ไม่ได้น่ากลัวอะไร
หนึ่งพันปีก่อน คำสั่งปราบมารของเหล่าเทพก็ถูกถอนกลับ แดนเทพเองก็ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาสู่ช่วงเวลาที่ร้องรำเพลิดเพลินเฉกเช่นก่อนที่จะเกิดหายนะทะเลหลีเฮิ่น
ความสงบเกิดขึ้นได้เพราะมีองค์หญิงองค์หนึ่งสละชีวิตแลกเปลี่ยนมันมาที่ทะเลหลีเฮิ่น แม้ว่าตัวนางเองจะไม่ได้ตระหนักรู้ในเรื่องนี้เลยก็ตาม
เขากุมฉุนจวินไว้ในมือ มันเย็นกว่าแต่ก่อนมากนัก ฝูชางใช้คาถาตรวจสอบภายใน เงาร่างเพรียวบางในชุดไหมนุ่มนั่นยังคงหลับสนิท นอนมาสองพันปีแล้ว ยังไม่ตื่นอีกหรือ
ฝูชางขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ ตอนนั้นเสวียนอี่นอนหลับอยู่ในวังสวรรค์ไปถึงแปดเดือน และไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาเลย มหาเทพจงซานที่ทุกข์ระทมอย่างง่ายดายก็ร้องไห้ทุกวันจนสามารถเอาถังมารองได้แล้ว แม้ว่าหลังจากที่ประกาศเรื่องทุกอย่างไปแล้ว เสวียนอี่จะถูกเคารพยกย่องราวกับผู้กอบกู้โลกอย่างนั้นก็ตาม แต่ว่าก็ยังไม่อาจสมานแผลใจที่แสนเปราะบางของมหาเทพได้เลย
หลังจากนั้นมหาเทพไป๋เจ๋อที่ไม่เคยได้เรื่องก็ออกความเห็นที่ยิ่งไม่น่าเชื่อถืออย่างหนึ่งออกมา กล่าวว่าเสวียนอี่ถูกจัดให้อยู่ในที่ที่มีไอบริสุทธิ์เข้มข้น คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับนางมากกว่า หากว่าพูดถึงที่ที่ไอบริสุทธิ์เข้มข้นที่สุดแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องเป็นภายในกระบี่ฉุนจวินที่ใช้พลังมหาศาลและของล้ำค่ามากมายสร้างขึ้น ความหมายคือเสวียนอี่ถูกเก็บไว้ในนั้น คงมีสักวันที่นางจะตื่นขึ้นมา
ฝูชางยังคงสงสัยว่านี่คือคำพูดเหลวไหลของมหาเทพไป๋เจ๋อ คิดว่าน่าจะเพื่อปลอบขวัญมหาเทพจงซานที่ใกล้จะพังทลายนี้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเอาองค์หญิงมังกรใส่เข้าไปในฉุนจวิน และอยู่ด้วยกันทุกวันนับจากนี้ ไม่แยกห่างไม่ว่ากลางวันหรือราตรี ไปที่ไหนก็พาไปด้วยอย่างแท้จริง
รีบตื่นขึ้นมาเถอะ พูดแล้วว่าจะไปดูสุดหล้าฟ้าเขียว ไปดูทิวทัศน์นับพัน ไปดูให้ทั่วทุกสารทิศ เขาไม่อยากไปดูเพียงลำพัง ไม่มีเสียงอ่อนนุ่มของนาง แท้จริงแล้วมันช่างเงียบเหงาเหลือเกิน
ลมราตรีพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝูชางมองไปยังที่ที่ลมพัดมา หมอกปีศาจสีเทาขมุกขมัวกำลังก่อตัวขึ้นมา ฉุนจวินส่งเสียงร้องต่ำออกมา เป็นเผ่ามาร
นับตั้งแต่ที่คำสั่งปราบมารถูกถอนกลับไปแล้ว นักรบของตำหนักอวี้หวาก็แยกย้ายกันไป ฟื้นฟูกลับไปเป็นระบบนักรบอย่างเดิม เขาถูกจัดให้อยู่ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิจื่อเวย รับผิดชอบกวาดล้างเผ่ามารที่สร้างความวุ่นวายที่ยังคงเหลือตกค้างอยู่
หลายวันก่อนเทพวารีอี๋สุ่ยส่งคำร้องไปยังที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ กล่าวว่าบุตรสาวของตนถูกเผ่ามารที่เรียกตนว่าราชามารหลิ่วจวินจับตัวไป เขารับคำร้องไว้ และวนเวียนใกล้ๆ อี๋สุ่ยนี้อยู่สามวัน ถึงได้รอจนราชามารตนนี้ออกมาได้
หมอกปีศาจมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงของฉุนจวินเองก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ฝูชางโยนมันออกไป แสงสีทองเล็กบางเร็วกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า พริบตาเดียวก็กลายเป็นคลื่นน้ำสีทองผืนหนึ่ง แทบจะครอบคลุมอี๋สุ่ยทั้งหมดจนมิด หมอกปีศาจสีเทากลุ่มนั้นตกใจจนรีบหดกลับไปในที่ลับ คลื่นน้ำกลับกลายเป็นมังกรสีทองตัวเล็กบางใหม่ แล้วตามติดไปด้านหลัง อ้อนไปมาที่เชิงเขา และก็พบถ้ำที่พักภายในเขา
มังกรทองพลันขยายขนาดขึ้นแล้วกระแทกถ้ำนั้นแตก กัดราชามารหลิ่วจวินที่ไร้ทางหนีเอาไว้ในปาก ยังไม่ทันจะลากไปสักกี่จั้ง เขาก็ร้องโหยหวนออกมาแล้วกลายเป็นฝุ่นสีดำไป ฉุนจวินขดเป็นก้อนอย่างผิดหวัง หลายปีมานี้เผ่ามารที่ได้เจอต่างก็อ่อนแอเกินไป มันเองก็ไม่ค่อยพอใจนัก
ฝูชางท่องคาถา มังกรทองก็วนเวียนในถ้ำรอบหนึ่ง ทำลายประตูสีแดงชาด ภายในมีเสียงหญิงสาวร้องด้วยความตกใจดังออกมา บนร่างมีไอบริสุทธิ์เบาบาง คิดว่าน่าจะเป็นบุตรสาวของเทพวารีอี๋สุ่ยแน่แล้ว
มังกรทองอ้าปากกว้าง แล้วงับเอาเทพธิดาอี๋สุ่ยไว้เบาๆ เสียงอุทานด้วยความตกใจครั้งที่สองยังไม่ทันได้ร้องออกมา ก็พลันรู้สึกว่าทิวทัศน์เปลี่ยนไปราวกับมายา แล้วพลันตกเข้ามาภายในศาลาที่สานด้วยกิ่งสนหลังหนึ่ง พระจันทร์สีเงินราวกับตะขอ เทพบุตรชุดขาวภายในศาลามีหน้าตาหล่อเหลาเย็นชางามสง่าทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วพยักหน้าทำความเคารพ “เกรงใจแล้ว ข้าส่งเทพธิดากลับไปตำหนักเทพวารี”
เทพธิดาหน้าตางดงามกะพริบตาปริบๆ จากนั้นหน้าก็แดงก่ำรีบก้มหน้างุด
เมื่อกลับไปที่ตำหนักเทพวารีอี๋สุ่ย เทพวารีก็กล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีก เมื่อเห็นบุตรสาวพวงแก้มแดงเรื่อ ดวงตาหยาดเยิ้มอย่างหลงใหลพลางลอบมองเทพบุตรชุดขาวตรงหน้าตลอด เขาจึงกล่าวว่า “เทพฝูชางเหน็ดเหนื่อยที่ริมแม่น้ำอี๋สุ่ยสามวัน หากว่าไม่รังเกียจตำหนักเรียบง่าย ก็ขอเชิญพักผ่อนสักคืนเถอะ”
เดิมเขาก็ไม่ได้หวังอะไร ฝูชางคือบุตรของมหาเทพบูรพา เทพของแดนเทพ และยังเพราะแก้ไขปัญหาหายนะทะเลหลีเฮิ่นจึงมีชื่อเสียงโด่งดังอีก คิดว่าไม่มีทางที่จะมาชอบพอบุตรสาวของเทพเล็กๆ อย่างเขาแน่ ใครจะรู้ว่าเทพผู้สูงศักดิ์กลับพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนเทพวารีแล้ว”
มีหวัง! พ่อลูกเทพวารีต่างก็ดีใจมาก
เมื่อครอบครัวเทพวารีต้อนรับด้วยอาหารค่ำอย่างอบอุ่นจนผิดปกติแล้ว ฝูชางก็กลับไปที่ห้องรับแขก เขานั่งขัดสมาธิลงบนเตียงเปลือกหอยนุ่ม แล้วลูบฝูจวินเย็นเฉียบในมือ เพราะปราบมารที่โลกเบื้องล่าง เขาจึงไม่ได้เห็นองค์หญิงมังกรมาสามวันแล้ว ตำหนักเทพวารีมีไอบริสุทธิ์ไหลเวียน ไม่ได้มีไอขุ่นมัวอย่างโลกเบื้องล่าง จะได้ไปดูนางเสียที
เขาท่องคาถา ร่างเพรียวบางนุ่มนวลก็ตกลงสู่ในอ้อมอกเขา ฝูชางใช้ปลายนิ้วปัดผมที่ยุ่งเหยิงบนใบหน้าของนาง แล้วก้มหน้าลงไปเพ่งมอง ผมของนางยาวขึ้นอีกแล้ว มีเพียงเกล็ดมังกรที่ยังไม่ขึ้นมา แต่ว่าเขาก็รับรู้ได้ว่านางมีพลังเทพเบาบางสั่นไหว มีมาตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนแล้ว
ราวกับเทพมังกรจู๋อินที่เพิ่งจะถือกำเนิด
เขาก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผากนาง ดังนั้นภาพที่เทพธิดาอี๋สุ่ยผู้ซึ่งตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างงดงามเข้ามาเห็นก็คือ ในอ้อมอกของเทพบุตรชุดขาวอุ้มเทพธิดาที่ไม่รู้มาจากไหนเอาไว้ ท่าทางสนิทสนมกันหาใดเปรียบ
นางเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เมื่อได้เห็นใบหน้างดงามหยาดเยิ้มของเทพธิดาคนนั้นเข้า นางก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ
ฝูชางเห็นนางบุกเข้ามาในห้องแขกอย่างนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เสียงที่มักจะมีเสน่ห์ของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เทพธิดามีธุระอันใด”
เทพธิดาอี๋สุ่ยน้ำตาไหลพรากกล่าวเสียงสะอื้น “ไม่ ไม่มีอะไร…ข้าแค่เอาขนมมาให้…”
ฝูชางกำลังลุกขึ้น ทันใดนั้นร่างในอ้อมอกก็ขยับตัวน้อยๆ แพขนตาหนาสั่นระริกหลายครั้ง ดวงตาที่ปิดมาตลอดสองพันปีก็ค่อยๆ เปิดขึ้น แววตาที่เต็มไปด้วยความมึนงงมองมาที่ใบหน้าเขา มองนิ่งอยู่นาน จากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงราวกับเสียงสวรรค์ดังขึ้นข้างหู “ศิษย์พี่ฝูชาง”
หัวใจที่เย็นชาและแข็งแกร่งมาตลอดของเขา ยามนี้กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาอ้าแขนทั้งสองออกแล้วกอดนางเอาไว้แน่น
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ กลับได้ยินเสียงที่ราวกับเสียงสวรรค์ของนางดังขึ้นมาอีกครั้งว่า “ขนมอยู่ที่ไหน”