ตอนที่ 472 จัดการหลิ่วอวี่เจ๋อ!
หลิ่วอวี่เจ๋อเพิ่งจะสังเกตได้ว่าที่จริงแล้วเย่เฉินไม่ได้ตาบอด!
เพลิงโทสะลุกโชนในแววตาของเย่เฉิน เพลิงอารมณ์ในดวงตาของเขานั้นลุกโชนราวไม่มีวันมอดดับ แค่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตาบอดอย่างแน่นอน!
พอคิดว่าหลิ่วอวี่เจ๋อวางยาทำร้ายตัวเอง แล้วยังโกหกทำใสซื่อ เรียกตนเองว่าพี่ แถมยังคิดจะลากซูมู่ชิงไปไหนต่อไหน
ก่อนนี้เย่เฉินเคยให้ทางรอดหลิ่วอวี่เจ๋อ แต่วันนี้เขาจะไม่ได้โอกาสนั้นอีกแล้ว!
โครม!
เย่เฉินปล่อยหมัดใส่ดวงตาอีกข้างของหลิ่วอวี่เจ๋อ!
“โอ้ย!”
หลิ่วอวี่เจ๋อกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มือสองข้างกุมดวงตาเอาไว้ เย่เฉินลงมือหนักมากทีเดียว เชื่อว่าอีกเดี๋ยวจะต้องบวมแน่
เย่เฉินกล่าวอย่างฉุนเฉียว “หลิ่วอวี่เจ๋อ แกอยากให้ฉันตาบอด! แกอยากล้างแค้นฉันนี่อยากจะแย่งเมียฉันไปไม่ใช่เหรอ แต่ก็นะฉันจะบอกแกให้ ซูมู่ชิงไม่ใช่หวังเจียเหยา อย่าว่าแต่แกล้งตาบอดเลย ต่อให้ตาบอดจริงๆ แกก้ไม่มีทางแย่งหล่อนไปจากฉันได้หรอก!”
ซูมู่ชิงมองสามีอย่างตื้นตันใจ เขาพูดถึงหล่อนแบบนี้ ในขณะที่พูดถึงอดีตภรรยาอีกแบบ ทำให้หญิงสาวมีความสุขมาก
นี่แปลว่าในใจเย่เฉิน ซูมู่ชิงไม่ได้เป็นคนไร้หัวใจอย่างหวังเจียเหยา ที่พอเห็นคนอื่นดีกับหล่อน มีเงิน ก็จะไปกับคนอื่น แล้วทอดทิ้งสามีตัวเอง
หลิ่วอวี่เจ๋อหวาดกลัวจับใจรีบร้อนอธิบาย “พี่เย่เฉินครับ พี่เข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ผมไม่ได้ทำร้ายพี่นะครับ ฟางเชาทำต่างงหาก!”
ฟางเชาเองก็พูดขึ้น “พ่อแกสิ! แกเป็นคนทำชัดๆ นายเป็นคนยอมรับเองกับปากตอนอยู่กรุงเทพเมื่อคืนวาน นายเป็นคนวางยาเย่เฉิน ผู้หญิงคนนี้ ยานี่อีก นายเป็นคนหามาเองทั้งนั้น ฉันไม่ได้รู้จักแม่นี่ด้วยซ้ำ!”
หอลเอามือกุมหน้า แล้วชี้ฟางเชาพลางโวยวาย “ฟางเชา! แกกล้าทรยศฉัน! แกบ้าไปแล้วเหรอ? เราเป็นพี่น้องกันนะ มีสายเลือดเดียวกัน! แกออกตัวแทนหมอนี่แต่ไม่ช่วยฉันเนี่ยนะ! แกลืมไปแล้วเหรอว่าตอนนั้นเขาทำอะไรกับแกไว้บ้าง? ตอนนี้แกเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ผู้ชายก็ไม่เชิงก็เพราะเขาทั้งนั้น!”
ฟางเชากอดอดแล้วแค่นเสียง “อย่ามานับญาติกับฉันไปเรื่อยนะ นายเคยเห็นฉันเป็นญาตินายตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่บ้านฉันล้มละลาน แต่คนตระกูลหลิ่วไม่มีใครอยากจะยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยซ้ำ! ถ้าไม่ใช่เพราะนายชอบหวังเจียเหยา อยากนอนกับหล่อน นายจะยอมร่วมมือกันฉันหรือไง? ที่ฉันกลายเป็นแบบทุกวันนี้ก็เพราะนายทั้งนั้น!”
“แก…” หลิ่วอวี่เจ๋อหัวเสีย
เรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้ หลิ่วอวี่เจ๋อรู้แก่ใจว่าหลักฐานทั้งหมดมากองอยู่ตรงหน้านี้แล้ว บวกกันที่เย่เฉินขุดหลุมรอให้ตนเองกระโดดลงมานานแล้ว ต่อให้เขาอธิบายไปเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์!
หลิ่วอวี่เจ๋อถอยกรูดไปติดที่มุมห้อง สบตาที่เหมือนจะฆ่าคนได้อยู่รอมร่อของเย่เฉินแล้วกล่าวเสียงสั่น
“เย่…เย่เฉิน ฉันมาที่นี่วันนี้พี่ชายฉัน เพื่อนฉันรู้กันหมด นายอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ ถ้านายสงสัยฉันก้ไปแจ้งความดำเนินการตามกฎหมายสิ ถ้านายกล้าทำกับฉันเหมือนที่ทำกับฟางเชา ตระกูลหลิ่วของฉันไม่มีทางปล่อยนายแน่!”
หลิ่วอวี่เจ๋อกลัวว่าเย่เฉินจะจับตนเองตอนเหมือนที่ทำกับฟางเชา!
เย่เฉินกล่าว “วันนี้ซีกวาไม่อยู่ที่นี่ คุณไม่ได้เป็นเหมือนฟางเชาหรอก”
ตั้งแต่ที่ซีกวาโดนเย่เฉินส่งไปตามฉินหงเหยียน จนวันนี้ยังไม่กลับมา จนตอนนี้สิบกว่าชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววอะไรด้วยซ้ำ
“หลิ่วอวี่เจ๋อ ผมให้โอกาสคุณครั้งหนึ่ง แต่คุณไม่เห็นค่าเอง อย่างน้อยฟางเชาก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรง แต่นายไม่มีทางจะได้รับโอกาสแบบนี้อีก”
ได้ยินคำพูดเย่เฉิน หลิ่วอวี่เจ๋อตกใจจนหน้าซีดเผือด “นายจะทำอะไร! นายจะฆ่าคนตายเหรอ! นายอย่าทำอะไรเหลวไหล! ตระกูลหลิ่วเราเองก็เป็นตระกูลใหญ่ ถ้าตอนนี้ฉันเกิดเป็นอะไรที่ตระกูลซู ตระกูลซูไม่รอดแน่!”
ตอนนี้หลิ่วอวี่เจ๋อจึงหันมากล่าวกับเย่เฉิน “ที่รัก ไม่งั้นให้คุณปู่ฉันจัดการดีไหมคะ”
แน่นอนว่าเย่เฉินจะต้องมีวิธีเป็นล้านจัดการหลิ่วอวี่เจ๋อ อย่างเช่นซ้อมจนตาย หรือไม่ก็จับเขาโยนทิ้งในมหาสมุทร หรือเอาไปโยนในที่ๆ ไม่มีคนหรือไม่ก็ไปโยนที่แอฟริกา
แต่ว่าเย่เฉินเองก็อยากจะเห็นท่าทีคนของตระกูลซูเหมือนกัน!
เรื่องเย่เฉินตาบอด คนตระกูลซูเองก็รู้เรื่องนี้ คนตระกูลซูจะอาศัยเย่เฉินคือเพื่อสืบหาความลับของตระกูลเย่
ในเมื่อตระกูลซูคาดหวังผลประโยชน์จากตระกูลเย่ งั้นเย่เฉินเองก็อยากจะรู้ ตระกูลซูจะจัดการกับศัตรูของตัวเองยังไง!
“ก็ได้งั้นคุณโทรหาคุณปู่คุณเถอะ”
“ค่ะ”
ซูมู่ชิงโทรหาซูเจิ้นหางทันที บอกเขาไปว่าหาตัวคนที่ทำร้ายเย่เฉินเจอแล้ว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ด้านนอกของเรือนสี่ประสานมีรถมาจอดหลายคัน มีทั้งป้ายแดง ป้ายน้ำเงิน ป้ายดำ ทุกคันก็มีคนปกป้องโดยเฉพาะ
ซูเจิ้นหาง ซูหมิงเจ๋อ จางเชี่ยนจือ ซูมู่หลินต่างก็มากันหมด!
“คุณปู่! พ่อ แม่”
ซูมู่ชิงเดินมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
ซูเจิ้นหางพยักหน้ารับ ใบหน้าตึงเครียด “อืม คนที่ทำร้ายเย่เฉินอยู่ที่ไหน?”
สีหน้าซูเจิ้นหางฉายแววโกรธเกรี้ยว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำร้ายหลานเขยของเขา ทำลายแผนการล้วงความลับของตระกูลเย่ หมอนี่มันรนหาที่ตายชัดๆ!
ซูมู่ชิงชี้นิ้วใส่หลิ่วอวี่เจ๋อที่ขดตัวอยู่บริเวณมุมห้อง “เขาค่ะ”
ทุกคนตกตะลึง ส่วนจางเชี่ยนจือมีท่าทีเหลือเชื่อ “หลิ่วอวี่เจ๋อทำร้ายเย่เฉินเหรอ? ไม่จริงมั้ง เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ตอนนี้หลิ่วอวี่เจ๋อเป็นว่าที่เขยคนใหม่ที่จางเชี่ยนจือหมายมั่นปั่นมือเอาไว้ ตั้งแต่ที่เจอกันเมื่องานเลี้ยงเมื่อครั้งก่อน หลิ่วอวี่เจ๋อยังเพิ่มเพื่อนจางเชี่ยนจือไว้ในวีแชท ปกติไม่มีอะไรก็จะคอยทักทาย แล้วคอยเอาอกเอาใจแม่ยายเสมอ
หลิ่วอวี่เจ๋อรีบร้อนคุกเข่าลงตรงหน้าซูเจิ้นหาง “ท่านซูครับ ผมไม่ได้ทำ เพราะเย่เฉินเห็นผมกับซูมู่ชิงคุยกันถูกคอ เขาหึงดังนั้นเลยใส่ความผม!”
คิดไม่ถึงว่าพอจางเชี่ยนจือได้ยินคำพูดของหลิ่วอวี่เจ๋อ ก็หันไปตำหนิของเย่เฉิน“เย่เฉิน แกเป็นคนบอกให้เขาเพิ่มเพื่อนคุยกับซูมู่ชิง พวกเขาคุยกันถูกคอ แกก็เกิดหึงขึ้นมาอีก ในฐานะที่เป็นผู้ชาย แกพอจะทำใจกว้างๆ หน่อยไม่ได้หรือไง?”
ซมรีบร้อนกล่าว “แม่คะ แม่อย่าไปหลิ่วอวี่เจ๋อพูดเหลวไหลนะคะ เรื่องนี้เขาเป็นคนทำเอง สองคนนี้เป็นพยานได้”
ซูเจิ้นหางหันมองฟางเชาและพนักงานที่วางยาเขาคนนั้น
คราวนี้หวังเอ้อร์เชอถือโน้ตบุ๊คเดินมาแล้วส่งให้ซูเจิ้นหางดู “ท่านซู นี่คือภาพวงจรปิดในคืนวันนั้น คุณดูตำแหน่งสิ เด็กผู้หญิงที่รินเหล้าให้คุณชายเย่ ก็คือผู้หญิงคนนี้”
ซูเจิ้นหางสวมแว่นตา แล้วลองเอามาเทียบกัน แล้วพบว่าเป็นเด็กผู้หญิงคนที่วางยาในวันนั้นจริงๆ
ที่จริงแล้วข้อมูลทั้งหมดของพนักงานหญิงในวันนั้น ซูเจิ้นหางค้นเจอตั้งนานแล้ว ถ้าหากว่าต้องการจะหาตัวหล่อนให้เจอก็ง่ายนิดเดียว แต่ถ้าอยากจะเค้นเอาข้อมูลของคนบงการก็คงจะยากเอาการ
เพราะทำเรื่องแบบนี้ได้จะต้องโดนซื้อตัวไปแล้วแน่ๆ
ซูเจิ้นหางหันมองพนักงานที่วางยาคนนั้นแล้วกล่าว “เด็กน้อย บอกฉันมาว่าใครเป็นคนบงการเธอ ถ้าเธอกล้าโกหกฉันรับรองเลยว่าจะทำให้ที่บ้านของเธอลำบากเหมือนเธอตอนนี้เลย”
ถึงแม้ว่าพนักงานหญิงคนนั้นจะไม่รู้ศักยภาพและสถานะของซูเจิ้นหาง แต่หล่อนพอจะสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าหลิ่วอวี่เจ๋อเสียอีก!
หญิงสาวจึงทรุตตัวลงไปคุกเข่าทันที “หลิ่วอวี่เจ๋อสั่งฉันให้วางยาเขาค่ะ!”
หลิ่วอวี่เจ๋อสมองเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง รู้ได้ในทันทีว่าอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ เขาไม่คุกเข่าตรงหน้าซูเจิ้นหาง แต่หันไปหาจางเชี่ยนจือแล้วกอดขาอีกฝ่ายไว้แน่น
“คุณน้าครับ คุณน้าจะต้องช่วยผมนะครับ ผมเห็นคุณน้าเป็นเหมือนแม่แท้ๆ เลย คุณน้าจะต้องช่วยผมนะครับ!”