บทที่ 218 ตราประทับจิ่วโจว ความหวาดกลัวที่อยู่ภายในใจจิตใจ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“เจ้าคิดมากไปแล้ว นางหาได้มีความสามารถถึงเพียงนั้นไม่ เกรงว่าคงจะไปได้ยินอะไรมามากกว่า จึงต้องการมาที่นี่เพื่อตรวจสอบดู ช่วงนี้จวนเจิ้นกั๋วกงวุ่นวายยิ่งนัก กินมิได้นอนไม่หลับ ถึงต้องมาเจรจากับเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้

อีกทั้ง จวนเจิ้นกั๋วกงคงเจรจาล้มเหลวไม่เป็นท่า เฟิ่งชิงเฉินคงเผชิญหน้ากับอารมณ์พวกนั้นกระมัง แม้ภายนอกนางจะยอมความ แต่ในใจกลับรู้สึกโมโหยิ่งนัก นางคงได้ยินอะไรบางอย่าง ถึงได้ลองเสี่ยงโชคมาที่นี่ดู

นับว่าเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ถึงรู้ว่าตีงูต้องตีให้ตาย แต่น่าเสียดายสายตานางย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง ถึงได้กล้าเลี้ยงบุคคลอันตรายไว้ข้างกายเช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็ว นางจักต้องได้รับความลำบากเป็นแน่” คำพูดของหลานจิ่วชิงหาได้มีท่าทีเยาะเย้ยไม่ กลับดูชื่นชมนางยิ่งนัก

คำพูดของหลานจิ่วชิงหาได้มีใจความสำคัญอันใดไม่ หากแต่ปู้จิงหยุนที่ได้ยินนั้นกลับเข้าใจได้เป็นอย่างดี “เจ้าไม่อยากให้ข้าฆ่านาง?”

“ฆ่า?ฆ่าอะไรกัน หากนางมีความสามารถในการค้นหาตัวตนของเจ้าออกมาได้ นางย่อมคู่ควรกับตราประทับจิ่วโจวที่ข้าให้ไป จิงหยุนเจ้าอย่าได้ลืมไป ว่าในมือของนางมีตราประทับจิ่วดจว นางกับข้าล้วนแต่มีกลุ่มเดียวกัน” หลานจิ่วชิงรู้สึกโชคดียิ่งนัก ที่ตนเองได้มองตราประทับจิ่วโจวให้กับนาง มิเช่นนั้นละก็ โดยนิสัยของปู้จิงหยุนแล้วละก็ อย่างไรคงไม่ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินมีอยู่ชีวิตอยู่เป็นแน่

หากสิ่งใดไม่มีความแน่นอนละก็ ปู้จิงหยุนจะไม่ยอมให้ตัวตนของเขาต้องถูกเปิดเผยออกไปเป็นอันขาด

ในเวลานั้น แม้ว่าจะเขา ก็คงไม่อาจห้ามมิให้ปู้จิงหยุนลงมือได้ ตัวตนที่แท้จริงของปู้จิงหยุนถือว่าเป็นบาดแผลที่ใหญ่ที่สุดในใจของเขา เป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่อาจวางความแค้นนี้ลงไปได้เลยแม้แต่น้อย

บุรุษเป็นเพศไร้มนุษยธรรมยิ่งนัก ปู้จิงหยุนจึงมองไปที่หลานจิ่วชิงด้วยท่าทีดูถูก บุรุษผู้นี้ แม้ปากมิได้เอ่ยออกมา ที่แท้เขาได้เตรียมการไว้หมดแล้ว เพื่อมิให้เขาลงมือทำร้ายเฟิ่งชิงเฉินได้ง่าย

ปู้จิงหยุนรู้สึกหงุดหงิดและหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นใบหน้าอันขาวซีดของเฟิ่งชิงเฉิน ก็พลันกล่าวออกมาด้วยความเย็นชาว่า “ในเมื่อไม่ต้องการให้นางตาย เช่นนั้นก็ควรจะช่วยนางใช่หรือไม่ หากนางยังอยู่ในนี้ต่อไป หากมิได้ตายก็คงเป็นบ้า เมื่อถึงเวลานั้น จะมีคนเป็นเดือดเป็นร้อนเอาได้นะ”

แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ค่ายกลอันนั้น อย่าได้เอ่ยถึงสตรีที่อ่อนแอเช่นเฟิ่งชิงเฉินเลย แม้แต่เขาก็ยังอดทนต่อมันได้

“ไม่ต้อง ต้องสั่งสอนนางเสียบ้าง หากนางยังไม่อาจทนเรื่องเช่นนี้ นางย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับตราประทับจิ่วโจวของข้าอีกต่อไป” หลานจิ่วชิงเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง พร้อมกับจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่ลดละ

เขาอยากจะรู้นัก ว่าสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินหวาดกลัวมากที่สุดคือสิ่งใด สตรีนางนี้ นอกจากเสด็จอาเก้าที่เป็นจุดอ่อนของนางแล้วนั้น ไม่ว่าจะต้องผ่านเรื่องราวมาแล้วกี่ครั้ง เสด็จอาเก้าในยามนี้ เริ่มมีผลกระทบต่อเฟิ่งชิงเฉินน้อยลงไปทุกที

ผู้ที่ไม่เคยมีจุดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือมิตร ล้วนแต่เป็นบุคคลที่น่ากลัวยิ่งนัก

หนาว หนาวยิ่งนัก

ริมฝีปากของเฟิ่งชิงเฉินพลันสั่นไม่หยุด ทั่วร่างเอาแต่กระตุกด้วยความหนาวสั่น ปืนที่อยู่ในมือของนางพลันหล่นไปอยู่บนพื้นในทันที ขาทั้งสองข้างพลันแข็งทื่อ ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่อาจก้าวขาไปได้เลย แม้ว่าจะมีแสงแดดส่องลงมา แต่เหตุใดบรรยากาศถึงได้หนาวเช่นนี้

เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ในป่าไผ่ด้วยท่าทีโงนเงนมิอาจขยับไปไหนได้ พร้อมกับคุกเข่าลงบนพื้น

ชีวิตของนางจบแล้ว

ไม่น่าเชื่อ ว่านางหาได้ตายอยู่ในมือขององค์ชายสามของหนานหลิงไม่ มิได้ตายในน้ำมือขององค์จักรพรรดิ มิได้ตายในเงื้อมมือของฮองเฮา มิได้ตายเพราะเจ้าพวกหมาบ้าจวนเจิ้นกั๋วกง ชีวิตนี้ใช้มิคุ้มค่าเอาเสียเลย

ริมฝีปากของเฟิ่งชิงเฉินพลันเริ่มขยับเล็กน้อย นางอยากจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ

อ๊าก

จู่ ๆ เฟิ่งชิงเฉินก็พลันส่งเสียงกรีดร้องออกมา สองมือจับไปที่หัวของตน ทั่วร่างพลันกระตุกขึ้นไปในทุกที

ไม่เอา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามานะ

ชายผิวสีหลายคนกำลังเข้ามาล้อมรอบตัวนาง ยามที่นางติดอยู่ในตรอกเล็ก ๆ พร้อมทั้งแสยะยิ้มให้นาง ด้วยท่าทางตัณหากลับ

“ไม่เอา ไม่เอานะ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย”

เฟิ่งชิงเฉินทั้งร่ำให้และร้องตะโกนออกมาไม่มีหยุด สมองพลันตกอยู่ในความสับสนยิ่งนัก แม้ว่านางจะตื่นอยู่ แต่เสมือนว่าหัวสมองของนางจะหยุดวนคิดถึงแต่เรื่องเดิม ๆ

เกิดเรื่องอันใดขึ้น นี่เป็นเหตุการณ์ที่นางพบเจอตอนนางอายุยี่สิบสามมิใช่หรือ เรื่องพวกนี้ นางล้วนแต่หลงลืมไปหมดแล้ว เหตุใดนางถึงย้อนกลับมาวันนี้ได้กัน

ปีนั้น นับว่าเป็นปีที่มืดมนสำหรับเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก นางในอายุยี่สิบสาม เป็นตัวแทนไปแลกเปลี่ยนของการประชุมระดับประเทศ นางได้พบกับชาวยุโรปที่เป็นถึงท่านเคาต์ผู้หนึ่ง ท่านเคาต์ผู้นั้นตกหลุมรับนาง อีกทั้งยังจู่โจมนางด้วยท่าทีน่ารังเกียจยิ่งนัก

นางมิได้สนใจหาชาวต่างชาติมาเป็นคู่ชีวิตเลยแม้แต่น้อย จึงได้เอ่ยปฏิเสธเขาไป คำแต่ปฏิเสธของนาง มิอาจหยุดยั้งการจู่โจมของเขาได้เลยแม้แต่น้อย

นางมิคิดเลยว่า ท่านเคาต์ผู้นั้นยังคงเดินหน้าตามจีบนางด้วยบ้าคลั่ง จนกระทั่งทำให้คู่หมั้นของเขาเกิดอาการหึงหวงขึ้นมา คู่หมั้นของเขาจึงได้ไปจ้างวานคนผิวสีที่เป็นโรคเอดส์ให้มาข่มขืนนาง ทั้งยังสั่งให้ข่มขื่นนางจนขาดใจตายอีกด้วย

วันนั้น เป็นวันที่มืดดำที่สุดในชีวิตของนาง และยังเป็นวันที่ความสดใสในตัวของนางได้หายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็ไม่เคยเชื่อในความยุติธรรมในโลกใบนี้อีก อีกทั้งยังไม่เชื่อใจในกระบวนการยุติธรรมทางกฏหมายอีกด้วย

ยามที่คนผิวสีพวกนั้นพากันกรูเข้ามาหานาง เฟิ่งชิงเฉินก็รับรู้ได้ในทันทีว่านางไม่สามารถชนะพวกเขาได้แน่ นางไม่ต้องการรับความอัปยศเช่นนี้ เมื่อนางคิดที่จะฆ่าตัวตายนั้น คนเป็นหมอย่อมรู้ดีว่าสมควรที่จะลงมือในจุดใดภายในร่างกาย อีกทั้งยังเป็นวิธีเดียวที่จะนางทำให้ตายไวขึ้น

ทันใดนั้น ก็พลันปรากฏตัวชายชุดดำขึ้นมา พร้อมทั้งจัดการคนผิวสีพวกนั้นจนล้มลงไปที่พื้น แล้วจึงหันกลับมาพูดกับนางว่า “หากต้องการจักแก้แค้น ต้องลงมือแก้แค้นด้วยตนเอง ฆ่าพวกเขาซะ”

ถึงแม้ว่านางจักตกใจเสียแทบสิ้นสติ ทว่า สองมือกลับจับด้ามมีดเอาไว้แน่น พร้อมทั้งหลับตาและลงมือปาดคอไปที่ชายผิวสีพวกนั้นในทันที นางฆ่าคนพวกนั้น ที่ตั้งใจจะข่มขืนนางให้ตายทั้งเป็น

นั่นเป็นครั้งแรกที่นางฆ่าคน นางมิได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะนางรู้ดีว่า หากตนเองไม่ทำ คนที่จักตายคือตัวนางเอง

หลังจากนั้น นางก็พบหลักฐานที่ ว่าที่คู่หมั้นของท่านเคาต์ได้สั่งการชายผิวสีให้มาข่มขืนนาง กลับกัน นางกลับถูกกล่าวหา ว่านางใส่ร้ายหน่วยงานตุลาการในท้องที่ และขอร้องให้เธอถอนฟ้อง มิฉะนั้น นางจักถูกจับกุมและถูกจำคุกในข้อหาใส่ร้ายป้ายสีอีกด้วย

นางเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด แต่ศาลที่นางเคารพกลับตบหน้านางเช่นนี้ นางจึงต้องกลับมาที่ประเทศจีนด้วยความอับอาย จากนั้นเป็นต้นมา นางก็เริ่มห่างหายจากความยุติธรรมในโลกของกฎหมายมากยิ่งขึ้น

หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา นางก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า โลกของเราหาได้ใสสะอาดอย่างที่ตนเองคิดไม่ บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่มืดดำอีกมากมาย และยังเป็นบางอย่างที่ภายในประเทศมิอาจควบคุมมันได้อีกด้วย สิ่งที่นางพอจะทำได้ก็คือ มิให้เรื่องราวที่อยุติธรรมพวกนั้นมาตกอยู่ในตัวของนางเอง

สองมือของเฟิ่งชิงเฉินพลันทึ่งผมตนเองไม่มีหยุด ในแววตาของนางนั้น มีแต่ภาพวันวานเหล่านั้นวนเวียนฉายไปมาไม่มีหยุด แต่ทว่า เรื่องราวพวกนั้นหาได้เหมือนเรื่องราวในอดีตไม่

ในวันนั้น พวกชายผิวสีมิได้จับต้องตัวนางด้วยซ้ำ แต่ทว่า สิ่งที่นางมองเห็นก็คือ นางฆ่าตัวตายมิสำเร็จ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดออกมาช่วยเหลือนางด้วยซ้ำ ชายผิวสีพวกนั้นก็พลันเข้ามากดตัวนางให้ไปอยู่ในใต้ร่าง

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ที่จริง เรื่องพวกนี้หาได้เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ในวันนั้น นางหาได้รับบาดเจ็บไม่ นางเพียงแค่ตกใจเท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินพยายามบอกกับตนเองไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องพวกนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงมัน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องที่นางหลอกตัวเองไปเท่านั้น แต่นางก็ไม่อาจห้ามความคิดของตนเองได้

เฟิ่งชิงเฉินรู้ดี เรื่องที่นางหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องนี้ ในวันนั้น หากไม่ใช่ชายชุดดำมาช่วยนาง นางจักเป็นเช่นไรกัน?

ถึงแม้ว่านางจักตาย ชายผิวสีพวกนั้น ก็ไม่อาจปล่อยนางไปโดยง่าย นางไม่อยากจะเป็นเหมือนสตรีที่อยู่ในห้วงความคิดของตนเอง มิรู้ว่าตนเอง ตนเองจักต้องทนกับความอัปยศข่มขื่นไปถึงจุดใด

“อ๊าก ข้าไม่ยอมรับ ข้าไม่ยอมรับชีวิตที่เหลือเช่นนี้ นั่นมิใช่ข้า นั่นไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉิน ไม่ใช่ข้า!”

เฟิ่งชิงเฉินเจ็บปวดเสียจนต้องร้องตะโกนออกมา นางไม่อาจยอมรับชีวิตเช่นนั้นได้ ถ้าหากนางต้องได้รับผลเช่นนั้นจริง ๆ นางยอมตายเสียดีกว่า

แววตาที่แดงก่ำของเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมกับร่างที่กำลังสติแตก เมื่อนางหันไปมองปืนที่ตกอยู่บนพื้น มิทันไรก็หยิบมันขึ้นมา พร้อมกับจ่อไปที่ขมับบนหน้าผาก

นางไม่อาจยอมรับชีวิตเช่นนี้ได้

เฟิ่งชิงเฉินพลันหลับตาลงด้วยแววตาที่หมดหวัง!

“แย่แล้ว นางจักปลิดชีพตนเอง” ปู้จิงหยุนตกใจเสียจนหัวใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ผู้ที่ตกอยู่ในค่ายกล พวกนางล้วนแต่กำลังหลอกลวงตนเอง พร้อมทั้งทรมานตนเองด้วยความบ้าคลั่ง แต่หาได้มีผู้ใดคิดที่จะปลิดชีพตนเองไม่

“น่าตายนัก!” หลานจิ่วชิงพลันสบถออกมา พร้อมกับร่างที่หายวับเข้าไปในป่าไผ่ในทันที ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังเหนี่ยวไกปืนนั้น พร้อมกับแรงกระแทกที่ทำให้นางหมดสติไปในทันที

เฟิ่งชิงเฉินฟุบลงไปกับพื้น ทั่วหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันเปอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทางที่ไร้ผู้คนช่วยเหลือเช่นนี้ ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกสงสารจับใจยิ่งนัก
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ทำให้ผู้ที่รักตัวกลัวตายเช่นนาง ถึงคิดที่จะปลิดชีพตนเองได้กัน?

หากแต่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมานั้น เขาหาจับใจความได้ไม่

“จิ่วชิง นางจักไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?” ปู้จิงหยุนก้าวหนีหลานจิ่วชิง พร้อมกับรีบเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตนเองในทันที

จิ่วชิงว่องไวยิ่งนัก หากเขาช้าไปก้าวนึง เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินคงได้ตายแล้วเป็นแน่

ทำให้เขาตกใจกลัวยิ่งนัก

“พลังหยินเข้าสู่ร่างกาย พลังชีวิตได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก” แม้ว่าหลานจิ่วชิงจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ หากแต่ภายในใจเขารู้สึกเสียใจยิ่งนัก

“ไม่ตายก็ดีแล้ว คำพูดของนางหาได้มีอันใดไม่ ไม่รู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่นางหวาดกลัวมากที่สุดคือเรื่องใด เหตุใดถึงทำให้นางจิตตกถึงขั้นปลิดชีพตนเองได้เช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมานั้น มีผู้คนเข้ามาในป่าไผ่มากมายนัก แต่หาได้มีผู้ใดเหมือนกับนาง ที่ตกใจเสียจนถึงขั้นคิดจะปลิดชีพตนเองเช่นนี้ เขาคิดว่านางมีความกล้ามาโดยตลอด มิคิดว่านางจะขี้ขลาดเช่นนี้”

ภายในใจของปู้จิงหยุนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ทว่าเมื่อเห็นท่าทางเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ และยังมีท่าทางตื่นตระหนกของหลานจิ่วชิงอีก เกรงว่าหากถามอันใดในยามนี้ คงมิได้ความกระมัง

“ออกไปก่อนค่อยว่ากัน” หลานจิ่วชิงพลันหยิบปืนขึ้นมา พร้อมกับนำมันเก็บไว้ที่อก

ของสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกสนใจยิ่งนัก ในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสได้จับต้องมันเสียที เขาอยากจะตรวจสอบมันดูว่า ของชิ้นนี้ใช้อย่างไร ถ้าหากมันสามารถสร้างขึ้นมาได้นั้น เกรงว่าในใต้หล้าคง

หลานจิ่วชิงพลันเก็บความคิดของตนไปในทันที พลางพาเฟิ่งชิงเฉินไปที่กระท่อมไม้หลังเล็กในอารามจิงเหลย

สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูย่ำแย่ยิ่งนัก เสมือนกับคนที่ตายไปแล้วก็ไม่ปาน หลานจิ่วชิงรู้ว่านี่เป็นเพราะพลังหยินเข้าสู่ร่าง หากรักษาด้วยตนเองนั้น เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานนับปี ถึงแม้ว่าอาจารย์ของเขาจักสร้างค่ายกลรวบพลันหยินเอาไว้เก้าวัน แต่ก็มีของที่ส่งเสริมพลันหยางให้กับร่างกายด้วยเช่นกัน

หลานจิ่วชิงพลันนำหยกที่ห้อยอยู่บนคอของตน เอามาวางไว้บนตัวของเฟิ่งชิงเฉิน

หากจะว่ามันคือเม็ดหยกก็มิผิดนัก มันมีขนาดเพียงเท่านิ้วก้อยเท่านั้น แต่รูปร่างดุน่าเกลียดยิ่งนัก อีกทั้งคุณภาพของมันก็ยังอยู่ในระดับกลาง หากเฟิ่งชิงเฉินพกมันไว้ในร่างกาย จักช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายได้

ยามที่ปู้จิงหยุนต้มยาเข้ามานั้น ก็พลันเห็นปราณเย็นบนร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินที่ค่อย ๆ จางหายไป “จิ่วชิง เจ้าใช่หยกฟื้นฟูกับนางงั้นหรือ?”

อย่าได้ดูถูกหยกเม็ดนั้นเชียว มันเป็นสิ่งของที่อาจารย์จิ่วชิงให้มา หลายครั้งที่จิ่วชิงรอดตายมาได้ ก็ได้หยกนี้ช่วยชีวิตเอาไว้เสียหลายครั้งเช่นกัน

“ร่างก่ายของนางอ่อนแอเกินไป” หลานจิ่วชิงมิได้อธิบายออกไปมากนัก เมื่อรับยามาจากมือของปู้จิงหยุนก็ส่งสัญญาณให้เขาออกไปในทันที

เฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในกลุ่มพลันหยินเช่นนั้น ร่างกายย่อมไม่ได้สติ ยานี้จักถูกป้อนเช่นไร ปู้จิงหยุนย่อมรู้ดี เขาจึงสมควรที่จะออกไป แต่ทว่า ยามที่กำลังจะก้าวออกไปนั้น กลับเลิกคิ้วใส่หลานจิ่วชิงด้วยท่าทีหยอกล้อ

ถึงแม้ว่าหลานจิ่วชิงจะอยู่ในท่าทางสุขุม แต่ใบหูของเขากลับแดงก่ำ พลางกล่าววาจาข่มขู่ออกมาว่า “หากยังไม่ออกไปอีก ข้าจักบอกตัวตนของเจ้าใหนางฟังจนหมด เพื่อให้นางรู้ว่า คนที่นางตามหาคนนั้นก็คือเจ้า แล้วเจ้าก็รอตระกูลเจิ้นกั๋วกงไล่ฆ่าได้เลย”

“หลานจิ่วชิงไม่ใช่กระมัง เพื่อสตรีนางหนึ่ง เจ้าถึงกับลงดาบพี่น้องตนเองได้เชียวหรือ?” ปู้จิงหยุนรู้ดีว่าหลานจิ่วชิงเพียงแค่เอ่ยหยอกล้อเท่านั้น แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะร่ำให้ออกมา

ฮ่าฮ่าฮ่า หลานจิ่วชิง ในที่สุดเจ้าก็มีจุดอ่อนแล้ว แม้ว่าจะเป็นการเอ่ยหยอกล้อ หากแต่ก่อนหน้านั้น เขาหาได้เอ่ยเช่นนี้ออกมาไม่