ตอนที่ 3 ภรรยา เหวินหลิงเจา
หลังจากเหวินหลิงเสวี่ยเรียกสติฟื้นคืนกลับมา นางสังเกตเห็นถึงบางอย่าง นัยน์ตาสดใสราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วงของเด็กสาวจับจ้องซูอี้พร้อมกล่าวคำ
“พี่เขย นับตั้งแต่ท่านเข้าร่วมตระกูลเหวินของเรา ท่านเอาแต่หมกตัวอยู่ในเรือน ดูหดหู่ราวกับกำลังเป็นทุกข์ที่ไม่อาจปลงตก ข้าคิดกังวลมานาน กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งท่านจะคิดสั้นทำอะไรลงไปโดยไม่คิดให้ดี”
เด็กสาวจ้องมองซูอี้พร้อมกล่าวถามด้วยความสงสัย “แต่หลังจากที่พวกเราไม่พบเจอกันหนึ่งเดือน พี่เขย ท่านกลับดูผิดแปลกไปจากเดิม”
ซูอี้เผยสีหน้าประหลาดใจ สตรีผู้นี้มีสายตาที่เฉียบแหลมนัก!
สำนักดาบซ่งอวิ๋นมีวันหยุดสองวันในทุกเดือน ซูอี้จึงไม่ได้พบเจอเหวินหลิงเสวี่ยมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหวินหลิงเสวี่ยจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทันทีที่ได้พบกัน
“เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ข้าบังเอิญบรรลุสัจธรรมบางเรื่อง นับจากนี้ข้าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว” ซูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เหวินหลิงเสวี่ยมีความสุขมาก รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าที่งดงาม ก่อนจะกล่าวอย่างเบิกบาน “ประเสริฐนัก ข้าชอบที่พี่เขยเป็นเช่นนี้ มันเป็นความรู้สึกที่… เยี่ยงไรนะ ใช่แล้ว! ดังตำราที่กล่าวไว้ ยืนหยัดเปรียบดังกล้วยไม้และต้นหยก*[1] ยิ้มให้สว่างดุจแสงจันทร์ สงบนิ่งและยิ่งใหญ่ วางตัวให้เหนือโลกหล้า”
มือของเด็กสาวไพล่อยู่ด้านหลัง ชุดสีครามของนางดูคล้ายกับหยก รอยยิ้มเปรียบได้กับดอกไม้งาม มันเป็นความสุขที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ ดูแตกต่างจากรูปลักษณ์เย็นชาเมื่ออยู่ในสำนักดาบซ่งอวิ๋นเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
หากสหายร่วมสำนักของนางได้เห็นสิ่งนี้ พวกเขาคงจะประหลาดใจและตกตะลึงอีกครั้ง แล้วจากนั้นคงรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
ทว่าซูอี้เพียงหัวเราะออกมาอย่างโง่เขลา
การเปลี่ยนแปลงของบุคคลมักเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคื
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยประสบการณ์และความคิดของเขาในชาติที่แล้ว อารมณ์ของเขาย่อมแตกต่างจากเดิมอย่างแน่นอน!
‘ตระกูลเหวิน’ หนึ่งในสามตระกูลหลักของเมืองกว่างหลิง ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง ครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยไร่ มีสนามหญ้าและตำหนักกระจัดกระจายราวกับแมกไม้ในป่าใหญ่
ตกกลางคืน
หลังจากซูอี้และเหวินหลิงเสวี่ยกลับมา พวกเขาเห็นร่างหนึ่งยืนรออยู่ในลานบ้าน ท่าทางของอีกฝ่ายดูเป็นกังวล
ฉินชิ่ง แม่ยายของซูอี้ แม้ว่านางจะมีอายุมาก แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สง่างามและผ่องใส ทำให้แม่ยายของชายหนุ่มมีเสน่ห์ในแบบผู้ใหญ่ซึ่งไม่เหมือนผู้ใด เดาได้เลยว่าในวัยเยาว์นางย่อมงดงามไม่แพ้ผู้ใด
“คนไร้ค่าอย่างเจ้านี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกเสียจริง! ข้าเพียงขอให้เจ้าไปรับเหวินเสวี่ยกลับจากสำนัก เหตุใดเจ้าจึงกลับมาช้าเช่นนี้!!” ฉินชิ่งหงุดหงิดพร้อมจ้องมองซูอี้อย่างขุ่นเคืองใจ
เมื่อเห็นซูอี้ นางโกรธจัดทันที เป็นเพราะลูกเขยคนนี้ นางจึงต้องเผชิญกับคำเยาะเย้ยและการซุบซิบนินทาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง
แต่การแสดงออกของซูอี้กลับเฉยเมย เขาไม่สนใจคำกล่าวของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ชายหนุ่มเข้าร่วมกับตระกูลเหวิน ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าแม่ยายของตนอารมณ์ร้ายเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ซูอี้รู้ดีว่าฉินชิ่งไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเขากับเหวินหลิงเจาตั้งแต่แรก นางเผยท่าทีปฏิเสธและไม่พอใจชายหนุ่มออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง
แต่การแต่งงานในครั้งนั้นเป็นคำสั่งโดยตรงจากนายหญิงเฒ่าของตระกูลเหวิน ฉินชิ่งจึงไร้หนทางที่จะต่อต้าน
“ท่านแม่ เป็นข้าเองที่ออกจากสำนักช้า…” เหวินหลิงเสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างเปิดปากอธิบายแทนซูอี้
“เอาล่ะ รีบ ๆ เข้าไปกินข้าวได้แล้ว!”
ฉินชิ่งโบกมือด้วยความไม่พอใจ จากนั้นเหลือบมองซูอี้อย่างเย็นชา “ตามข้ามา ท่านผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กำลังรออยู่ที่ห้องโถงของตระกูล!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหวินหลิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถาม “ห้องโถงของตระกูล? รอพี่เขยของข้าหรือ? มีเรื่องใดกัน?”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องใส่ใจเสวี่ยเอ๋อร์! เจ้าต้องอยู่แต่ในเรือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน เข้าใจหรือไม่?” คำพูดของฉินชิ่งเป็นคำสั่งเด็ดขาด
เหวินหลิงเสวี่ยถอนหายใจแรง นางเหลือบมองซูอี้ที่อยู่ในท่าทีสงบ ด้วยแววตากังวล
ทว่าซูอี้เพียงยิ้มพร้อมเอ่ยคำ “เป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่ของเจ้า ไปกินข้าวเถอะ”
เหวินหลิงเสวี่ยหันหลังกลับพร้อมเดินเข้าไปในเรือน
ฉินชิ่งเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน นางถึงกับตื่นตระหนกพร้อมกล่าวด้วยสีหน้ามืดหม่น “หลิงเสวี่ยยังเด็ก หากเจ้ากล้าคิดเรื่องบัดสี ตัวข้ายินยอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อฆ่าเจ้าซะ!”
ริมฝีปากของซูอี้ถึงกับกระตุก ซูเสวียนจวินผู้นี้เคยเป็นคนหยาบช้าอย่างที่เจ้าเข้าใจตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ตามข้ามา!” ฉินชิ่งหยุดพูดเรื่องไร้สาระ ไม่คิดสนใจที่จะมองซูอี้อีกต่อไป ด้วยนางเกรงว่าจะไม่สามารถระงับความเกลียดชังและเริ่มเหยียดหยามลูกเขยคนนี้อีกครั้ง
ห้องโถงของตระกูลเหวิน
ภายในห้องโถงสว่างไสวรุ่งโรจน์ ผู้นำตระกูลเหวิน เหวินฉางจิ้ง และกลุ่มคนสำคัญทั้งหมดมาถึงแล้ว พวกเขานั่งบนที่นั่งทั้งสองข้างของห้องโถง ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
บรรยากาศทั้งหมดผ่อนคลายและมีชีวิตชีวา ทว่า เมื่อซูอี้เดินเข้ามาในห้องโถง ทุกคนก็หยุดพูดพร้อมจ้องมองไปที่ซูอี้
นัยน์ตาของคนใหญ่คนโตเหล่านี้แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน มีทั้งขบขัน ดูถูก สมเพช และเหยียดหยาม
บรรยากาศที่เคยสนุกสนานก่อนหน้าพลันกลับกลายเป็นเหนื่อยหน่าย
เมื่อเห็นว่ามีแต่สายตาดูถูกจับจ้องซูอี้ ฉินชิ่งจึงรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย นางจึงกล่าวคำเสียงต่ำ
“ข้าพาเขามาแล้ว”
เมื่อกล่าวจบ นางรีบตรงเข้าไปหาเหวินฉางไท่ผู้เป็นสามีพร้อมนั่งลงด้านข้าง
ทางด้านของซูอี้ ชายหนุ่มยืนอยู่ลำพังกลางห้องโถง ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วห้องโถง และไปสะดุดอยู่ตรงที่ใบหน้าของหญิงสาวที่งดงามซึ่งเขาคุ้นเคย
คิ้วของหญิงสาวโค้งโก่งคล้ายกับเนินเขาที่สมส่วน ดวงตาของนางเป็นประกาย ใบหน้าผ่องใส อีกฝ่ายอยู่ในชุดสีฟ้าอ่อน และขาเรียวขาวราวกับหยกกำลังไขว้กันอยู่ นางไม่มีเครื่องประดับใดบนร่างกาย ทุกสิ่งดูใสบริสุทธิ์ราวกับน้ำในลำธาร
นี่คือความงดงามที่แท้จริง!
อย่างไรก็ตาม ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววเย็นชา ท่าทีเด็ดเดี่ยวและอหังการราวกับปฏิเสธผู้คนแม้พบเจออยู่ห่างไกลนับพันลี้
เหวินหลิงเจา!
นางคือภรรยาของเขา!
ความงามที่ไร้ผู้ใดเทียบได้ในเมืองกว่างหลิง รูปลักษณ์สง่างามราวกับนางเซียนผู้เลอโฉม และด้วยพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะอันน่าทึ่งของนางจึงทำให้มีบุรุษรูปงามมากมายต่างหมายปอง
“ดูเหมือนว่าความเย็นชาที่หลิงเสวี่ยแสดงออกเมื่อตอนอยู่ในสำนักดาบซ่งอวิ๋น นางคงเรียนรู้มาจากพี่สาวของตน” ซูอี้พึมพำเสียงเบา
เหวินหลิงเสวี่ยแสร้งทำเป็นเย็นชา แต่เหวินหลิงเจาเย็นชาอย่างแท้จริง ราวกับว่าความเย็นชากับความว่างเปล่าหลอมรวมกันและฝังลึกในกระดูกของนางไปเสียแล้ว
ในเวลาเดียวกัน
เหวินหลิงเจาสังเกตเห็นการจับจ้องของซูอี้อย่างชัดเจน คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาเย็นชาของหญิงสาวไม่สนใจซูอี้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ …นางไม่คิดจะชายตามองเขาแม้แต่น้อย!
ผ่านไปหนึ่งปี สองสามีภรรยาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทว่าทั้งคู่ยังคงเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเช่นเคย!
“ซูอี้ ที่ข้าเรียกหาเจ้าในคราวนี้เพราะมีเรื่องต้องบอกกล่าว”
บนที่นั่งหลักของห้องโถงใหญ่ เหวินฉางจิ้งซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเหวินกล่าวออกด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย เสียงของเขาดึงดูดสายตาทุกคนที่อยู่ในห้องโถงไปรวมที่ตน
คนผู้นี้แต่งกายด้วยชุดคลุมสีม่วง หนวดเคราเรียบลื่นคล้ายขนนกกระเรียน ลำตัวตั้งตรง มือวางบนพนักเก้าอี้ ท่วงท่าสง่าผ่าเผยราวขุนเขา
“พรสวรรค์ของหลิงเจานับว่าเป็นเลิศ ในระหว่างปีที่ผ่านมา นางได้รับการสั่งสอนจากสำนักดาบชิงเหอ และต่อมานางโชคดีได้พบกับคนใหญ่คนโต คนผู้นั้นแนะนำให้นางไปร่ำเรียนต่อที่ตำหนักเทียนหยวน”
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลิงเจาเป็นศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนแล้ว!”
เหวินฉางจิ้งมองซูอี้ด้วยอารมณ์เฉยชา “เจ้าที่เคยเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงขยะ แต่เจ้าก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้างว่าตำหนักเทียนหยวนนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด สำหรับตระกูลเหวินของเรานั้น… พวกเรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่หลิงเจาได้เข้าไปร่ำเรียนที่นั่น นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด!”
เข้าใจแล้ว!
เป็นตอนนี้เองที่ซูอี้เข้าใจเหตุผลว่าเหตุใดบุคคลสำคัญจากตระกูลเหวินเหล่านี้จึงเรียกหาเขาในค่ำวันนี้!
ตำหนักเทียนหยวนเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของอาณาจักรโจว ใครก็ตามที่สามารถเป็นศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนได้ ก็เกือบได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะชั้นเลิศของแคว้น!
ปีที่แล้ว เหวินหลิงเจาเข้าไปร่ำเรียนในสำนักดาบชิงเหอ และอีกหนึ่งปีต่อมานางได้มีโอกาสเข้าไปร่ำเรียนในตำหนักเทียนหยวนอีกครั้ง การที่นางได้รับสิทธิเช่นนี้เป็นเครื่องบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านางมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะน่าทึ่งเพียงใด
นี่คือเรื่องราวที่น่ายินดีสำหรับตระกูลเหวิน
แต่สำหรับซูอี้ มันหมายความว่านับต่อจากนี้ไป ชายหนุ่มจะไม่มีวันได้พบหน้าภรรยาของตนอีก
เมื่อตระหนักได้แล้ว ซูอี้ก็เหลือบมองเหวินหลิงเจาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ซึ่งนางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
“นี่ท่านผู้นำและเหล่าผู้อาวุโสต้องการถามความคิดเห็นของข้างั้นหรือ?” ซูอี้เอ่ยปาก
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงต่างเผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำถามนี้
เสียงเยาะเย้ยดังขึ้นในทันที “ซูอี้ เจ้าสำคัญตัวมากเกินไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่อาจต่อรองได้ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วย อนาคตที่สดใสของหลิงเจาย่อมไม่สมควรถูกขยะอย่างเจ้าฉุดรั้ง!”
เหวินฉางชิง!
เขาคือลุงคนที่สองของเหวินหลิงเจา แต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวสีขาว ใบหน้าขาวสะอาดไร้หนวดเครา ดวงตาเย็นชาและเคร่งขรึม
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นเบา ๆ ในห้องโถง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะขบขันไม่น้อยกับคำพูดของซูอี้
เป็นเพียงลูกเขยแต่งเข้าบ้าน แต่กลับกล้าที่จะออกความเห็นในเรื่องนี้?
เด็กคนนี้ไม่รู้หรือเลยว่าในสายตาของตระกูลเหวินแล้ว เขาเป็นเพียงเศษขยะที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีซึ่งความสำคัญใด?
แต่เหนือความคาดหมายของตระกูลเหวินทุกคน… ซูอี้ ขณะนี้กลับยังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาไม่สนใจผู้ใดเลย
ความเฉยเมยและไม่แยแสที่ชายหนุ่มแสดงออก ทำให้หลายคนที่กำลังขบขันกลายเป็นรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย
“ในเมื่อพวกท่านตัดสินใจแล้ว เหตุใดจึงเรียกข้ามาที่นี่?” ซูอี้ถามอย่างไร้อารมณ์
หากความทรงจำในอดีตไม่ตื่นขึ้นมา ป่านนี้เขาคงระเบิดอารมณ์ไปแล้วแน่นอนเมื่อเผชิญกับการถูกทำให้อับอายเช่นนี้
แต่ซูอี้คนเดิมหายไปแล้ว ตอนนี้ใครจะสนใจเรื่องพรรค์นี้กัน?
“เป็นข้าเองที่ต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อได้พบกับศิษย์พี่ซู!” เสียงดังชัดเจนดังขึ้นนอกห้องโถง ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างามพร้อมใบหน้าที่หล่อเหลา
ทันใดนั้น เหวินฉางชิง ผู้นำตระกูลเหวินและผู้อาวุโสทุกคนพลันยืนขึ้นพร้อมกัน การแสดงออกของพวกเขาล้วนแต่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น
“นายน้อยเว่ยมาถึงแล้ว เชิญนั่งก่อนเถิด!”
“นายน้อยเว่ย เดิมทีเราคิดจะให้ซูอี้ไปเยี่ยมเยียนท่านด้วยตนเอง ท่านไม่เห็นจำเป็นต้องลำบากมาที่นี่เลย สิ่งนี้ทำให้พวกข้าล้วนละอายนัก และข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้ข้าสำหรับความผิดคราวนี้”
ในคำขอโทษ ยังมีคำกล่าวเยินยอไม่รู้จบ มันคือการยกยออย่างเปิดเผย ในทุกถ้อยคำล้วนเต็มไปด้วยความประจบประแจง
ผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้งกล่าวต้อนรับ ‘นายน้อยเว่ย’ ให้เข้ามาด้านในห้องโถงนี้ด้วยตนเอง
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ซูอี้อดไม่ได้ที่จะลอบส่ายศีรษะอย่างลับ ๆ ความคิดของคนเหล่านี้ช่างน่าขยะแขยงยิ่ง…
“ศิษย์พี่ซู ไม่เจอกันเสียนาน” เวลานี้ชายหนุ่มชุดขาวเดินตรงเข้ามาในห้องโถง เขาหยุดยืนข้างซูอี้ด้วยท่าทางหยิ่งทะนงและก้าวร้าว
[1] เป็นคำเปรียบเปรย หมายความถึงการเป็นบุรุษที่ดี หรือศิษย์ที่ควรค่า