ตอนที่ 4 พลิกแม่น้ำด้วยฝ่ามือเดียว

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

ตอนที่ 4 พลิกแม่น้ำด้วยฝ่ามือเดียว

เว่ยเจิงหยาง

ศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ เขาเป็นผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลเว่ย ซึ่งเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ ในเขตปกครองอวิ๋นเหอ

ตัวตนเช่นนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้ตระกูลเหวินยอมสยบให้

“ที่แท้ก็ศิษย์น้องเว่ย” ซูอี้พยักหน้าเล็กน้อย

ช่วงสามปีของการบ่มเพาะในสำนักดาบชิงเหอ เว่ยเจิงหยางมองว่าซูอี้เป็นคู่แข่งมาโดยตลอด

โดยในช่วงสามปีที่ผ่านมา เว่ยเจิงหยางพยายามฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งเหนือกว่าเขา

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เว่ยเจิงหยางอาศัยอยู่ใต้เงาของซูอี้มาโดยตลอด!

ในเวลานี้ เว่ยเจิงหยางมองซูอี้ด้วยสายตาเย้ยหยันอย่างเปิดเผย จากนั้นเขาถอนหายใจยาวพร้อมกล่าวคำ

“ใครจะไปคาดคิดว่าหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอที่เคยโดดเด่นจะกลายเป็นเศษขยะไปซะแล้ว ไม่เพียงแต่สูญเสียตันเถียนของตน แต่ยังกลายเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านอีกด้วย มันช่างน่าเศร้าจริง ๆ ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก” เสียงนั่นแผ่ก้องชัดเจนดังไปทั่วห้องโถง

แน่นอนว่าแทบทุกคนในห้องโถงต่างพยักหน้าเห็นด้วย

ซูอี้ยิ้มก่อนจะกล่าวตอบ “ดูเหมือนตอนนี้ศิษย์น้องเว่ยคงจะลืมบทเรียนในอดีตไปหมดซะแล้ว ให้ข้าช่วยทบทวนความจำให้อีกครั้งดีหรือไม่?”

คำพูดจี้ใจดำนี้ทำให้เว่ยเจิงหยางนึกถึงภาพในอดีตที่เขาเคยปราชัยพ่ายแพ้ต่อซูอี้ ทำเอาใบหน้าของนายน้อยเว่ยถึงกับแปรเปลี่ยน สีหน้าดำคล้ำอย่างไม่พอใจ

“ซูอี้ เจ้าอย่าได้หยาบคายกับนายน้อยเว่ย!” ผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้งลุกขึ้นพร้อมตวาดใส่เขาอย่างรุนแรง ดวงตาฉายแววเฉยชาพร้อมข่มขู่

แม้ซูอี้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าตระกูลเหวินนั้นดูแคลนเขาอยู่ตลอด แต่ชายหนุ่มก็ยังคงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

นี่หรือผู้นำแห่งตระกูลเหวินอันทรงเกียรติ?

ตอนนี้อีกฝ่ายกลับกำลังช่วยคนนอกข่มขู่ลูกเขยของตัวเองต่อหน้าทุกคน?

เมื่อมองไปที่คนอื่น ๆ ภายในตระกูลเหวิน ทุกคนต่างแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้าเช่นกัน ไม่มีใครรู้สึกว่าคำพูดของเหวินฉางจิ้งไม่ถูกต้อง

ในใจของพวกเขาทุกคน ลูกเขยเช่นซูอี้เป็นเพียงขยะที่สามารถบดขยี้มันอย่างไรก็ย่อมได้

“ก็ได้”

ขณะนี้ ท่าทีของซูอี้ยิ่งเผยความเฉยเมยมากขึ้นเรื่อย ๆ ในใจของเขาได้ทำการขีดเส้นแบ่งระหว่างตนกับตระกูลเหวินอย่างสมบูรณ์

“ซูอี้ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังเจ้ากล่าววาจาไร้สาระ!” เว่ยเจิงหยางกล่าวออกอย่างเย็นชา เมื่อเห็นว่าความคิดของทุกคนในตระกูลเหวินที่มีต่อซูอี้ย่ำแย่ หัวใจของเขาพลันมั่นคงขึ้นมาทันที

“โอ้ แล้วเจ้ามาทำไมกัน?” ซูอี้ถาม

ริมฝีปากของเว่ยเจิงหยางบิดเบี้ยวเล็กน้อย ดวงตาของเขาจับจ้องซูอี้ราวกับเหยี่ยว เขากางสองนิ้วออกพร้อมกล่าวคำต่อ

“ข้ามาเพื่อพูดสองสิ่ง”

“ประการแรก พรุ่งนี้ข้าจะไปร่ำเรียนที่ตำหนักเทียนหยวนกับหลิงเจา ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลแม่นางหลิงเจาเป็นอย่างดีและสัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งใดให้นางต้องทุกข์ใจ!”

“ประการที่สอง จงสำเหนียกตัวตนของเจ้าให้ดี ลูกเขยที่ไม่มีแม้ตันเถียนสำหรับบ่มเพาะอย่างเจ้าไม่คู่ควรกับหลิงเจาแม้แต่นิดเดียว!”

“ในอนาคต เมื่อข้ามาที่ตระกูลเหวินอีกครา ข้าจะให้หลิงเจาหย่ากับเจ้า… ถึงวันนั้นเจ้าต้องถูกขับไล่ออกจากตระกูล!”

“แต่ถ้าหากในตอนนั้นเจ้าไม่มีหนทางจะไป ตัวข้ายินดีรับเจ้ามาอยู่เคียงข้างข้าเพื่อเป็นทาสรับใช้ และไม่รังเกียจที่จะมอบเศษเงินให้กับขยะอย่างเจ้า!”

คำพูดนั้นหนักแน่นและชัดเจน เต็มไปด้วยคารมคมคาย

เว่ยเจิงหยางมองซูอี้ด้วยท่าทางที่ภาคภูมิใจยิ่ง

คำพูดดังกล่าวทำให้ทั้งห้องโถงพลันเปลี่ยนเป็นเงียบงัน

ทุกคนเผยสีหน้าที่แตกต่าง

ไม่ว่าอย่างไร ซูอี้และเหวินหลิงเจาก็มีสถานะเป็นสามีภรรยากัน

แต่เว่ยเจิงหยางกลับกล่าวคำเหล่านี้ต่อหน้าผู้นำตระกูลเหวิน แน่นอนว่านี่คือการดูหมิ่นที่ชัดเจนสำหรับซูอี้!

อย่างไรก็ตาม ความหมายของคำกล่าวที่เว่ยเจิงหยางพูดออกมา ทำให้เหวินฉางจิ้งและเหล่าอาวุโสรู้สึกอึดอัดไม่น้อย

แต่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคำคัดค้าน

ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลระดับสูง ทั้งยังมีอิทธิพลต่อเมืองทั้งสิบเก้าแห่งของเขตปกครองอวิ๋นเหอ!

และเว่ยเจิงหยางก็เป็นทายาทสายตรงของผู้นำตระกูลเว่ยคนปัจจุบัน

ในทางกลับกัน แววตาของฉินชิ่งกลับเป็นประกายเจิดจ้า นางจ้องมองเว่ยเจิงหยางอย่างลับ ๆ ทว่าเมื่อหันไปเทียบกับซูอี้ นางก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งขึ้น

หากลูกสาวของนางได้แต่งงานกับนายน้อยตระกูลเว่ยคนนี้… แล้วตระกูลเหวินจะมีผู้ใดกล้าดูถูกนางอีก?

แต่น่าแปลกใจ…

แม้ว่าซูอี้จะได้รับความอับอายถึงเพียงนี้ การแสดงออกของชายหนุ่มกลับยังคงสงบนิ่ง ความสงบและเฉยเมยของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

ชายหนุ่มคนนี้…

ไม่โกรธเลยงั้นหรือ?

เว่ยเจิงหยางขมวดคิ้วมุ่น เขามาเพื่อแสดงอำนาจและใช้วิธีการสกปรกเพื่อ ‘ลักภรรยาของอีกฝ่ายไป’ ทั้งหมดเพื่อทำให้ซูอี้ต้องอับอาย

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าซูอี้จะไม่แยแสสิ่งใดเช่นนี้ มันราวกับว่าสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไปทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยหมัดใส่ปุยฝ้ายนุ่ม ๆ แทน

ซูอี้มองไปรอบ ๆ เพื่อดูท่าทีของทุกคน สายตาของเขาเรียบเฉยราวกับเทพสวรรค์กำลังมองเรื่องขบขันบนโลกใบนี้

ในสายตาของข้า ยกเว้นเหวินหลิงเสวี่ย พวกเจ้าทุกคนมีค่าไม่ต่างอะไรกับเห็บหมัด! การแสดงของพวกเจ้ามันช่างน่าขันนัก!

ณ เวลานี้เอง

ซูอี้เหลือบมองทุกคนในห้องโถงก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น “ไม่ว่าพวกท่านทุกคนจะมองข้าเป็นอย่างไร แต่ตราบใดที่สัญญาการแต่งงานยังคงอยู่ ข้าก็ยังคงเป็นสามีของเหวินหลิงเจา และเป็นลูกเขยของตระกูลเหวิน”

“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คนนอกกำลังยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลเหวิน อีกทั้งเขายังพูดจาอย่างเปิดเผยว่าจะดูแลภรรยาของข้าแทนตัวข้าในอนาคต”

“ทุกท่าน หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ผู้อื่นจะคิดอย่างไรกับตระกูลเหวิน?”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเจ้าล่ะคิดเห็นอย่างไร… เหวินหลิงเจา?”

เพียงคำไม่กี่คำ บรรยากาศในห้องโถงคล้ายกับมีสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางห้องโถง!

ใบหน้าของเหวินฉางจิ้งและอาวุโสคนอื่น ๆ ถึงกับแปรเปลี่ยน พวกเขารู้สึกว่าก้นตัวเองกำลังร้อนรุ่มและนั่งไม่ติด

ถึงแม้พวกเขาทั้งหมดจะไม่สนใจความรู้สึกของซูอี้ แต่พวกเขาต้องสนใจชื่อเสียงและใบหน้าของตระกูลเหวิน!

ฉินชิ่งและเหวินฉางไท่พลันรู้สึกตัวได้อย่างกะทันหัน พวกเขากังวลถึงชื่อเสียงและใบหน้าของตนจนวิตก หากเรื่องเช่นนี้แพร่กระจายออกไป คนที่น่าอับอายที่สุดคงหนีไม่พ้นบิดาและมารดาเช่นพวกเขา!

ในเวลานี้แม้แต่ใบหน้าเย็นชาที่งดงามของเหวินหลิงเจายังต้องเปลี่ยนแปร แววตานั้นฉายแววบูดบึ้งอย่างชัดเจน

เว่ยเจิงหยางรู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

เขาไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดไม่กี่คำของซูอี้จะเปลี่ยนความคิดของตระกูลเหวินได้ในพริบตา หากไม่มีคำอธิบายที่ดี มันจะกลายเป็นความเข้าใจผิดที่ใหญ่หลวง!

อย่างไรก็ตาม ซูอี้ไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดต่อ ชายหนุ่มยังคงกล่าวต่อด้วยอาการไม่แยแส

“เจ้าเองก็เช่นกัน ศิษย์น้องเว่ย หากตระกูลเว่ยของเจ้าทราบข่าวว่าเจ้ามีแผนจะลักตัวภรรยาของผู้อื่นไป พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?”

“เมื่อถึงเวลานั้น เขตปกครองอวิ๋นเหอทั้งหมดคงจะรู้ว่าทายาทสายตรงของผู้นำตระกูลเว่ยผู้มีเกียรติชื่นชอบการบังคับขืนใจภรรยาของผู้อื่นด้วยอิทธิพล”

ซูอี้มองเว่ยเจิงหยางด้วยแววตาสมเพช “เมื่อมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นแล้ว มันจะติดเป็นตราบาปไม่อาจชำระล้างได้ชั่วชีวิต”

“แม้ว่าเจ้าจะเป็นทายาทสายตรงของผู้นำตระกูลเว่ย แต่เรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ย่อมต้องทำให้เจ้าได้รับผลกระทบรุนแรง ผลที่จะตามมา… เจ้าสามารถรับได้หรือไม่?”

เมื่อกล่าวจบแล้ว เขาตบลงบนบ่าของเว่ยเจิงหยาง “นี่คือผลลัพธ์ที่จะต้องเกิดขึ้นกับเจ้าแน่นอนหากเจ้ายังคงดึงดัน เจ้าจงคิดไตร่ตรองให้ดี”

บรรยากาศภายในห้องโถงพลันเงียบงัน

เสียงของซูอี้ก้องกังวานอยู่ในใจของทุกคนราวกับฟ้าร้อง ใบหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาว

เมื่อมองเว่ยเจิงหยางอีกครั้ง แก้มสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อน จากนั้นจึงซีดขาว หน้าผากปูดโปนจนเห็นเส้นเลือดคล้ำเขียว ร่างกายสั่นเทาด้วยโกรธและอับอาย

“เจ้า…” เขาโกรธจัดจนต้องการจะสังหารซูอี้ในหมัดเดียว

เหวินหลิงเจาลุกยืนขึ้นทันที นางจ้องมองเว่ยเจิงหยางอย่างเย็นชา “พี่เว่ย กล่าวจบแล้วหรือยัง?”

ใบหน้างดงามของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็งและหิมะหลอมรวม เช่นเดียวกับเสียงของนางที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“ศิษย์น้องหลิงเจา โปรดอย่าเข้าใจข้าผิด ข้ากล้าสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”

เว่ยเจิงหยางซึ่งกำลังโกรธจัด ตอนนี้คล้ายกับถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่ร่างกาย

เขารีบอธิบายให้เหวินหลิงเจาฟังอย่างร้อนรน “ข้าแค่วางแผนว่าในระหว่างที่เราอยู่ในตำหนักเทียนหยวนเราจะสามารถดูแลกันและคอยช่วยเหลือกันได้ อย่างไรแล้วเราก็ใกล้ชิดกันดีในเขตปกครองอวิ๋นเหอ คนอื่น ๆ ต่างมองว่าเราเป็น…เราเป็น… เพื่อน… และในหมู่เพื่อนฝูงด้วยกัน มีเหตุผลใดเล่าที่เราจะไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน?”

“ข้าเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อน!” ใบหน้างดงามของเหวินหลิงเจาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง หลังกล่าวจบนางออกจากห้องโถงไปทันที

แต่ขณะที่นางกำลังเดินผ่านซูอี้ ดวงตาของนางพลันฉายแววประหลาดใจที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก

หลังจากถูกกลั่นแกล้ง แต่ชายผู้นี้ยังรักษาความสงบเอาไว้ได้ แม้กระทั่งในขณะที่ถูกถากถางและหัวเราะเยาะ เขาก็ยังจัดการสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ผู้ชายคนนี้… ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อย่างที่นางคิด…

แต่สุดท้ายนางก็ลอบส่ายศีรษะอย่างลับ ๆ

สุดท้ายแล้ว ทั้งนางและเขาต่างเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน

ซูอี้ก็คือซูอี้

นางก็คือนาง

แม้จะมีชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่ในชีวิตนี้คงจะเป็นการดีหากไม่พบเจอกันอีก!

เว่ยเจิงหยางยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด

เขากังวลว่าเหวินหลิงเจาจะเข้าใจผิด ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงตอนนี้คล้ายกับมดที่ปีนป่ายอยู่บนหม้อไฟ พวกเขาต่างสับสนและไม่รู้จะทำอย่างไร

ซูอี้ยืนเอามือไพล่หลังเช่นเคย เขามองดูบรรยากาศรอบ ๆ ด้วยแววตาไร้อารมณ์

เขาไม่สนใจว่าเหวินหลิงเจาจะมองตนอย่างไร

แต่หากเหวินหลิงเจาและเว่ยเจิงหยางคิดอยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการสวมหมวกสีเขียว*[1]ให้กับซูอี้

การมีชื่อเสียงเช่นนั้นย่อมไม่เป็นที่ยอมรับโดยสังคมอย่างแน่นอน มันจะกลายเป็นตราบาปไปชั่วชีวิตของเขา

ไม่ว่าจิตใจของซูอี้จะกล้าแกร่งเพียงใด แต่เขาก็ไม่อาจอดทนต่อสถานการณ์เช่นนั้นได้

ดังนั้นเขาจึงพูดกล่าวออกมาเพื่อพลิกสถานการณ์ทั้งหมดในทันที!

‘ในภายหน้า หากมีโอกาส ข้าจะกำจัดเว่ยเจิงหยางทิ้ง ตัวบัดซบนี่คิดไม่ซื่อกับเหวินหลิงเจา ข้าไม่อาจปล่อยให้ตัวเองถูกสวมหมวกเขียว…’

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูอี้ก็ไม่สนใจที่จะรับชมความสนุกใด ๆ ต่อ

“เอาล่ะ ทุกท่าน ข้าเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ข้าคงต้องขอตัวก่อน” ซูอี้กล่าวคำอำลา ก่อนจะหันหลังกลับและจากไปทันที

“ซูอี้ ข้าขอสั่งให้เจ้าหยุด!” เว่ยเจิงหยางที่กำลังโกรธจัดร้องตะโกนอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์น้องเว่ย คำพูดทุกคำย่อมมีผลลัพธ์ ข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดไตร่ตรองในทุกชั่วขณะก่อนที่จะเปล่งคำใด ๆ ออกมา หากไม่อย่างนั้นแล้วหายนะจะปรากฏจากถ้อยคำของเจ้าเอง”

ซูอี้โบกมืออย่างไม่ยี่หระ ฝีเท้าของเขาก้าวออกไปอย่างสบาย ๆ สุดท้ายร่างของเขาก็หายลับไปอย่างรวดเร็วในยามค่ำคืนภายนอกห้องโถงใหญ่

ภายในห้องโถงใหญ่ ภายใต้แสงจากโคมเทียน ใบหน้าของทุกคนล้วนบิดเบี้ยว

นอกห้องโถงใหญ่ ดวงจันทราส่องแสงบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน ลมเย็นโชยพัดมาอย่างสบาย ๆ เช่นเดียวกับอารมณ์ของซูอี้ที่กำลังผ่อนคลายและสงบ

มันก็เพียงเรื่องขบขันเล็กน้อยไม่คู่ควรเก็บมาใส่ใจ ใช้เพียงฝ่ามือเดียวกระแสน้ำก็ถูกเปลี่ยนแล้ว!

[1]หมวกเขียว เป็นความหมายคล้าย การสวมเขาเล่นชู้ของไทย