ตอนที่ 5 เส้นทางการบ่มเพาะนับพัน

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

ตอนที่ 5 เส้นทางการบ่มเพาะนับพัน

ค่ำคืนมืดมิด ท้องฟ้าดำมืดราวกับถูกทาด้วยสีหมึกดำ หมู่แมลงพากันส่งเสียงร้องระงม

หลังจากกลับถึงเรือนแล้ว ซูอี้ยืนอยู่ในห้องผ่อนคลายจิตใจเตรียมเข้าสู่การทำสมาธิ เมื่อร่างกายบางเบาและจิตใจว่างเปล่า จากนั้นเขาจึงตั้งท่าและเริ่มฝึกเพลงหมัดมวย

สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงของตระกูลเหวินนั้นไร้ค่าไม่ควรเก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการบ่มเพาะ!

ขั้นการบ่มเพาะหลัก ๆ แบ่งออกเป็นสี่ลำดับขั้นวิถีใหญ่ ได้แก่หนึ่งวิถียุทธ์ สองวิถีแรกเริ่ม สามวิถีวิญญาณ สี่วิถีลึกล้ำ โดยแต่ละวิถีจะมีขอบเขตแยกย่อยแบ่งออกเป็นสี่ขอบเขต ซึ่งแต่ละขอบเขตก็จะมีระดับที่ต้องบ่มเพาะฝ่าฟัน 3-5 ระดับแตกต่างกันไป

ช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ในฐานะ ‘ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน’ ซูอี้ดำรงอยู่มาแล้วกว่าหนึ่งแสนแปดพันปี และขอบเขตการบ่มเพาะของเขาก้าวไปถึงขั้นสุดท้ายของวิถีลึกล้ำ

ขอบเขตพันธะลึกล้ำ!

…อันเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ขอบเขตมหาจักรพรรดิ’ หรือก็คือจุดสูงสุดในบรรดาจักรพรรดิทุกผู้นาม ในประวัติศาสตร์นับล้านปีของเก้ามหาแดนดิน เขานับได้ว่าเป็นตัวตนที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมด

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ยังมีพลังขอบเขตพันธะลึกล้ำ ซูอี้มีสมญานามมากมาย

อย่างเช่น ผู้นำมหาแดนดิน มหาจักรพรรดิไร้พ่าย ปรมาจารย์หมื่นวิถี ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินและอื่น ๆ

ในเก้ามหาแดนดิน คนที่จะต่อกรกับซูอี้ได้นั้นนับนิ้วแล้วไม่เกินห้า!

แต่สำหรับซูอี้ในตอนนี้ ขอบเขตพันธะลึกล้ำนั้นอยู่ไกลเกินไป

ภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้คือการเริ่มต้นบ่มเพาะใหม่อีกครั้ง และต้องวางรากฐานให้มั่นคงกว่าชีวิตที่แล้ว

วิถียุทธ์ คือขั้นวิถีแรกแห่งการบ่มเพาะ และเป็นจุดเริ่มต้นแห่งเต๋า ซึ่งมีขอบเขตแบ่งออกเป็นสี่ขอบเขต ได้แก่ 1. ขอบเขตโคจรโลหิต 2. ขอบเขตรวบรวมลมปราณ 3. ขอบเขตหลอมกำเนิด 4. ขอบเขตไร้แพร่งพราย

นี่คือ ‘สี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์’

ในขอบเขตโคจรโลหิต จะถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับคือ 1. ขัดเกลาภายนอก 2. ขัดเกลาภายใน 3. ขัดเกลาเส้นเอ็น และ 4. ขัดเกลากระดูก หรือตามภาษาที่ผู้คนทั่วไปเรียกกันสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ ขั้นหนึ่ง ขั้นสอง ขั้นสาม และขั้นสี่!

เมื่อบรรลุถึงขั้นสี่ พลังปราณและโลหิตจะแข็งแกร่งขึ้น ผิวหนังแข็งแกร่งดั่งทองแดง กระดูกแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า สามารถฉีกร่างของเสือโคร่งได้ราวกับฉีกหยวกกล้วย

ผู้ที่เข้าสู่ขอบเขตนี้จะถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘นักสู้’

ณ ลานกว้าง แสงจันทราสาดส่อง ค่ำคืนเงียบสงัดไร้ซึ่งสิ่งรบกวนใด

การเคลื่อนไหวของซูอี้เต็มไปด้วยความไหลลื่น เขาเคลื่อนไหวอย่างคงที่ แข็งแกร่งแต่ไม่ทื่อ นุ่มนวลแต่ไม่อ่อนแอ ทุกลมหายใจมีจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์

เคลื่อนไหวประดุจกระเรียนสยายปีก อิสระและเบาหวิว

เมื่อต้องตั้งรับก็เปรียบกับต้นสนเขียวขจีริมหน้าผาที่หยั่งรากลึกในกำแพงหิน

เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง

มีเก้าจังหวะและสิบแปดรูปแบบ

นี่คือวิชาบทแรกจากคัมภีร์แปดยอดมหายุทธ์ สำหรับบ่มเพาะรากฐานวิถียุทธ์โดยเฉพาะ!

คัมภีร์แปดยอดมหายุทธ์ถูกสร้างขึ้นจากสหายที่เลิศล้ำผู้หนึ่งของซูอี้ มีนามว่า ‘กงเหยี่ยฉือ’

กงเหยี่ยฉือ เป็นหนึ่งในตัวตนอันดับต้น ๆ ของเก้ามหาดินแดน เป็นปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ ที่เรียกขนานนามตนเองว่า ‘บุรุษหนึ่งกองทัพ’

แต่ผู้คนในเก้ามหาแดนดินขนานนามเรียกเขาอีกอย่างว่า ‘จักรพรรดิมหายุทธ์’ เขาคือยอดคนที่บรรดามหาอำนาจทั้งหลายต่างต้องยอมยกย่อง!

เส้นทางการสร้างชื่อของกงเหยี่ยฉือเต็มไปด้วยเรื่องน่าตื่นตะลึง…

เขาทั้งป่าเถื่อนและดุร้าย อหังการและน่าสะพรึง ครั้งหนึ่งเขาเคยสยบสำนักหกมหาวิถีแห่งเก้ามหาแดนดิน และเคยเอาชนะอสูรเฒ่าจากสำนักสามมหาอสูร

อันที่จริงไม่มีใครทราบอย่างชัดเจนว่ามีกี่ตัวตนที่น่าหวั่นเกรงที่ถูกกำราบโดยกงเหยี่ยฉือ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คนผู้นี้ก็ยังมีอีกฉายานาม นั่นคือ ‘ผู้ไร้พ่าย’!

แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จักกงเหยี่ยฉือผู้ไม่พ่ายแพ้ใคร!

แต่แล้วสมญานาม ‘ไร้พ่าย’ ของเขากลับถูกสยบเมื่อครั้งได้พบพานกับซูอี้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินในตอนนั้น และผลลัพธ์ก็คือ กงเหยี่ยฉือด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย จนสุดท้ายจึงพ่ายแพ้ไปขณะการแลกกระบวนท่าสุดท้ายซึ่งซูอี้เอาชนะได้อย่างหวุดหวิดเพราะชำนาญดาบยิ่งกว่า

หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น ทั้งสองจึงกลายเป็นสนิทสนมและเป็นสหายกันในที่สุด

ต่อมากงเหยี่ยฉือมอบคัมภีร์แปดยอดมหายุทธ์ให้กับซูอี้ โดยเขาเขียนมันขึ้นมาจากประสบการณ์ทั้งชีวิตที่ใช้ทั้งการสังเกตและศึกษา

หลังจากอ่าน ‘เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง’ ที่บันทึกเอาไว้ ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“เคล็ดวิชานี้เลิศล้ำจนเกือบเทียบเคียงกับเต๋าได้ ข้าไม่อาจตัดทอนหรือเสริมเข้าไปได้แม้แต่น้อย”

ยิ่งไปกว่านั้น ซูอี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องของกงเหยี่ยฉือ เป็นเคล็ดวิชาที่เหนือกว่าของตนเองในแง่สำหรับฝึกวิถีแรก หรือก็คือวิถียุทธ์อย่างชัดเจน

หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือแม้แต่ในเก้ามหาแดนดินทั้งหมดก็ยังไม่มีเคล็ดวิชาใดที่สามารถเทียบได้กับเคล็ดวิชานี้ของกงเหยี่ยฉือซึ่งเอาไว้สำหรับฝึกฝนวิถียุทธ์ทั้งสี่ขอบเขตแรกได้

ดังนั้นสำหรับการฝึกฝนใหม่ของซูอี้ในคราวนี้ เขาจึงเลือกที่จะใช้ ‘เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง’ เพื่อบ่มเพาะในขั้นวิถียุทธ์ ด้วยวิธีการนี้รากฐานของเขาจะมั่นคงและแข็งแกร่งกว่าชีวิตที่แล้วของตนเองแน่นอน

จากประสบการณ์การบ่มเพาะในชาติที่แล้ว ทำให้ซูอี้มีเส้นทางการบ่มเพาะที่ชัดเจนสำหรับสร้างเส้นทางของชีวิตใหม่…

ทุกขอบเขตที่สร้างขึ้นใหม่ในชีวิตนี้จะต้องแข็งแกร่งกว่าชาติก่อน!!

และด้วยวิธีนี้เท่านั้น ที่เขาจะสามารถสร้างเส้นทางที่ยิ่งใหญ่กว่าชาติก่อนได้!

หลังจากจุดธูปหอมและฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องไปสามรอบ ร่างกายของซูอี้ก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหายใจหอบเล็กน้อย

นี่คือขีดจำกัดปัจจุบันของเขา

พลังใจของเขาดีมาก ร่างสูงและผอมบางอาบไล้แสงจันทร์อันอบอุ่น ฉายพลังวัยหนุ่มกระฉับกระเฉงของชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี

“หลังจากที่ข้าฟื้นคืนความทรงจำของชาติที่แล้วได้ นี่คือวันที่สามของการบ่มเพาะครั้งใหม่”

“แต่การที่ข้าฝึกได้เพียงสามรอบ ทว่าเหงื่อออกมากเช่นนี้…”

ท้ายที่สุดร่างกายนี้ก็อ่อนแอเกินไป สิบเจ็ดปีก่อนหน้านี้ ร่างกายนี้บ่มเพาะอย่างไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก มันจึงทำให้รากฐานของเขาไม่ค่อยสู้ดี

ซูอี้ยืนคิดไตร่ตรองชีวิตขณะหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อ

แม้ว่าที่ผ่านมาชีวิตนี้ของเขาจะเคยเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตปกครองอวิ๋นเหอ

แต่ในสายตาของ ‘ชาติก่อน’ ความสำเร็จเพียงเท่านี้ช่างเล็กจ้อยกว่าเศษฝุ่น

“ตอนนี้อายุสิบเจ็ด ข้าพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มบ่มเพาะไปแล้ว อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ยากเย็นหากจะแก้ไขและลดช่องว่างเวลาในการบ่มเพาะที่เสียไปด้วยเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง”

“เพียงว่าติดปัญหาเล็กน้อยตรงที่พลังวิญญาณของโลกนี้เบาบางเกินไป…” ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

สามวันหลังจากปลุกความทรงจำของชาติก่อนขึ้นมาได้ เขาจึงเริ่มเข้าใจโลกที่เขาอยู่ในขณะนี้อย่างชัดเจน

มหาทวีปคังชิง

มหาทวีปนี้ประกอบด้วยหลายร้อยอาณาจักร ทั้งใหญ่และเล็ก อีกทั้งอาณาเขตของมันยังกว้างใหญ่ราวกับไร้จุดสิ้นสุด

‘อาณาจักรโจว’ ที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยอาณาจักรของมหาทวีปคังชิง

เมื่อชีวิตก่อนหน้านี้ ซูอี้ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของมหาทวีปคังชิงมาก่อน แต่เขามั่นใจว่าโลกนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเก้ามหาแดนดินแน่นอน

เหตุผลนั้นง่ายดายยิ่ง เพราะวิธีการบ่มเพาะที่มีอยู่ในมหาทวีปคังชินมีต้นกำเนิดเดียวกันกับเก้ามหาแดนดิน!

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพลังวิญญาณในมหาทวีปคังชิงนั้นดูหร่อยหรอจนราวกับใกล้จะหมดลงแล้ว ผู้คนทั่วไปจึงเข้าใจกันไปว่าขีดจำกัดของผู้บ่มเพาะที่จะบ่มเพาะไปกันได้มีแค่เพียงสองขั้นวิถีแรกเท่านั้นซึ่งก็คือ วิถียุทธ์ และวิถีแรกเริ่ม

สำหรับขั้นวิถีบ่มเพาะที่สูงขึ้นไปอย่างเช่น วิถีวิญญาณ กับวิถีลึกล้ำ ทั้งสองขั้นนี้แทบจะสูญหายไปจากมหาทวีปคังชิงแล้ว มันจึงเหลือไว้เพียงชื่อในตำนานเท่านั้น

ในอาณาจักรโจว มีการกล่าวขานว่าตัวตนที่ยังคงดำรงอยู่ซึ่งทรงพลังที่สุดนั้นอยู่ใน ‘วิถีแรกเริ่ม’ เท่านั้น และตัวตนเช่นนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เทพเซียนเดินดิน’!

จากเรื่องเล่านี้ สามารถบอกได้ว่าพลังวิญญาณของมหาทวีปคังชิงนั้นขาดแคลนและแห้งแล้งเพียงใด

“แม้ข้าจะรู้เส้นทางการบ่มเพาะนับพันหรือมีเคล็ดวิชาที่เลิศเลอมากมายเพียงใด แต่การได้กลับมาเกิดในพื้นที่แห้งแล้งเช่นนี้ ความรู้ที่ข้ามีอยู่จึงค่อนข้างนำออกมาใช้งานได้อย่างจำกัด…” ซูอี้ครุ่นคิด

“หากข้าสามารถหาสถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นเพื่อฝึกฝนได้ ข้าจะได้รับผลตอบแทนเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่ง”

“แล้วหากข้าสามารถหาสมุนไพรวิเศษหรือสมบัติวิเศษได้ อย่างน้อยที่สุดภายในสามเดือน ข้าจะสามารถฝ่าฟันขั้นวิถียุทธ์ และเข้าสู่ขั้นวิถีแรกเริ่มได้แน่นอน…”

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ซูอี้ก็หัวเราะกับตนเอง “ข้าคงหวังมากเกินไป พลังวิญญาณในฟ้าดินแห้งแล้งขนาดนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่สมุนไพรวิเศษหรือสมบัติวิเศษจะบังเกิดขึ้น”

“อย่างไรก็ตาม หากข้าสามารถเข้าสู่ขั้นวิถีแรกเริ่มในโลกที่ขาดแคลนพลังวิญญาณได้ และเมื่อรวมกับความรู้ที่ข้ามี ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะยกระดับการบ่มเพาะของตัวเองให้สูงกว่าชาติก่อน!”

เหตุใดจึงต้องกลับมาเกิดและเริ่มต้นบ่มเพาะใหม่อีกครั้ง?

แน่นอนว่ามันเป็นเพราะเขาต้องการหาโอกาสทะลวงไปสู่ระดับที่สูงกว่าชาติก่อน!

“พรุ่งนี้ข้าจะออกไปเดินเล่นนอกเมืองเพื่อดูว่าจะมีสถานที่ที่มี ‘พลังวิญญาณ’ เหมาะสมสำหรับฝึกฝนได้หรือไม่”

เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างสบายตา แววตาทอประกายวูบไหวเย้ากับแสงจันทร์เจิดจ้า นัยน์ตาเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป