ตอนที่ 6 เผชิญหน้าริมแม่น้ำ
ด้านนอกเมืองกว่างหลิง
แม่น้ำสายใหญ่ไหลเชี่ยว เป็นแม่น้ำกว้างใหญ่กว่าพันจั้ง นามว่า ‘แม่น้ำต้าฉาง’
นี่คือแม่น้ำที่ยาวที่สุดในเขตปกครองอวิ๋นเหอ มันคดเคี้ยวหลายพันลี้
เช้าตรู่
ซูอี้สวมชุดสีฟ้าเดินขึ้นไปทางเหนือตลอดตามชายฝั่งของแม่น้ำต้าฉาง
ขณะที่เดิน เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณ
สังเกตจากกระแสของภูเขาและแม่น้ำ สังเกตปรากฏการณ์ของพลังวิญญาณ
นี่คือวิชาและหลักแห่งธรรมชาติที่เรียกว่า ‘ฮวงจุ้ย’
แม้ว่าซูอี้จะไม่มีตันเถียนสำหรับบ่มเพาะ แต่เขาก็ยังมีความรู้และประสบการณ์จากชีวิตในชาติก่อน
สิ่งนี้ทำให้เขารับรู้ได้ถึงร่องรอยที่แผ่กระจายออกของพลังวิญญาณจากกระแสของภูเขาและแม่น้ำ
ชายหนุ่มเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำไกลกว่าสิบลี้ และในที่สุดก็หยุดยืนด้วยแววตาที่พึงพอใจ
ด้านหน้าเป็นเทือกเขาใหญ่ ยอดเขาสูงถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดปี
เทือกเขาเมฆาคราม
มันทอดยาวไปกว่าแปดร้อยลี้และอยู่ติดกับแม่น้ำต้าฉาง
“ไปต่อทางทิศนั้นคือ ‘สันเขามารดาภูตผี’ ของเทือกเขาเมฆาครามที่ทำให้ผู้คนในเขตปกครองเมฆาหวาดกลัว…”
ซูอี้เอามือไพล่หลังก่อนจะทอดสายตาออกไประยะไกล
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เทือกเขาเมฆาครามได้ชื่อว่าเป็น ‘ฆาตกรนิรนาม’
มีข่าวลือเมื่อนานมาแล้วว่าบริเวณหนึ่งของสถานที่แห่งนี้คือสนามรบโบราณ ซึ่งมีวิญญาณชั่วร้ายแข็งแกร่งมากกว่าภูตผีที่ดุร้ายทั่วไปสถิตอยู่ มันน่าหวาดกลัวและตามหลอกหลอนผู้คนตลอดปี
เรื่องราวของภูตผีที่แพร่กระจายอยู่ในเขตลำน้ำปกครองเมฆาส่วนใหญ่แล้วมาจาก ‘สันเขามารดาภูตผี’ นี้เอง
“พลังหยินอยู่ในภูเขา หมอกไม่จางหายไป นี่เป็น ‘แดนประทานพร’ ของบรรดาภูตผีอย่างแท้จริง”
หลังจากนั้นไม่นาน ซูอี้หลับตาลงพร้อมถอนหายใจ “โชคร้ายที่ข้ายังไม่ได้บ่มเพาะ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะเข้าไปเดินเล่นแล้วจับภูตผีสักสองสามตัวเพื่อช่วยหาสมุนไพรวิเศษบนภูเขาสักหน่อย หากทำได้เช่นนั้น ข้าคงไม่ต้องทำงานหนักด้วยการเดินออกนอกเมืองเพื่อบ่มเพาะในที่ห่างไกล…”
โลกนี้มีภูตผีจริง ๆ!
ซูอี้ตระหนักถึงเรื่องราวนี้อย่างชัดเจน ภูตผีนั้นแบ่งออกเป็น ผีหยิน ผีอสูร ผีประหลาด ผีวิญญาณ และอื่น ๆ
ในเก้ามหาแดนดิน ‘จักรพรรดิผีซีหมิง*[1]’ มีชาติกำเนิดที่ลึกลับที่สุด แต่เดิมเป็น ‘ภูตผี’ ที่เกิดในสนามรบโบราณซึ่งต่อมากลายเป็นตำนานแห่งบรรดาภูตผีทั้งหลาย
“แม้พลังวิญญาณที่นี่จะบางเบานัก แต่เพียงเท่านี้ก็นับได้ว่าดียิ่งแล้วสำหรับข้า”
ในที่สุด ซูอี้ก็ตัดสินใจได้ว่าจะบ่มเพาะที่นี่
ตรงจุดที่เขาอยู่คือป่าหม่อนติดกับแม่น้ำต้าฉางและมีเทือกเขาเมฆาครามอยู่ด้านหน้า
สายลมของแม่น้ำพัดโชยมา บรรยากาศนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและปลอดโปร่ง
อ่า~
ซูอี้สูดดมอากาศบริสุทธิ์นี้อยู่เนิ่นนาน ร่างกายและจิตใจของเขาค่อย ๆ แจ่มชัดราวกับพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าสีคราม
จากนั้นเขาพลันค่อย ๆ ผ่อนคลายท่าทีพร้อมเริ่มบ่มเพาะเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง
“แน่นอนว่าผลลัพธ์ของมันย่อมไม่เหมือนกับตอนที่ข้าบ่มเพาะในตระกูลเหวิน…”
แค่เวลาเพียงชั่วครู่ ซูอี้ที่กำลังบ่มเพาะอยู่พลันสังเกตเห็นว่าบริเวณที่ว่างเปล่าในระยะรัศมีสิบสองจั้งรอบ ๆ นั้นมีพลังวิญญาณเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาและฝังเข้าไปในร่างกายของเขา
มันคล้ายกับลมในฤดูใบไม้ผลิและสายฝนที่ให้ความชุ่มชื้น
พลังวิญญาณและเลือดของชายหนุ่มเริ่มโคจรอย่างมีชีวิตชีวาราวกับส่งเสียงโห่ร้องกระโดดโลดเต้น พวกมันเต็มไปด้วยพลัง
ซูอี้ละทิ้งความคิดวอกแวกเหล่านี้ไปอย่างรวดเร็วและเริ่มหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะร่างกายและจิตใจ
ตอนกลางวัน เวลาเที่ยง
คราวนี้ซูอี้บ่มเพาะได้นานกว่าหนึ่งชั่วยามครึ่ง*[2]!
โชคดีที่ป่าหม่อนนี้อยู่ห่างไกลจากเมืองมาก และมันยังอยู่ติดกับสันเขามารดาภูตผีซึ่งเป็นดินแดนที่อันตรายไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าใกล้หากไม่จำเป็น เช่นนี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวนการบ่มเพาะของซูอี้
กรึบ! กร๊อบ!
ทันใดนั้นมีเสียงคมชัดจากกล้ามเนื้อและกระดูกของซูอี้ราวกับว่าเขาได้ทะลวงขีดจำกัดของร่างกาย โลหิตภายในสูบฉีดรุนแรงราวกับแม่น้ำแยงซี
เวลานี้เขารู้สึกว่าตนเปรียบกับต้นสนโบราณที่สูงใหญ่ตระหง่านเชื่อมท้องฟ้ากับพื้นดินเอาไว้!
โลหิตที่เดือดพล่านกำลังโคจรอย่างมีชีวิตชีวาบนร่างกายนี้ เขาเปรียบเสมือนนกกระเรียนที่กระพือปีกบินไปบนท้องฟ้าสีคราม ทั้งอิสระและง่ายดาย ความลึกลับที่เผชิญนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ให้ค้นหา
ต้นสนและนกกระเรียนเหมาะสมต่อการเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ มันรวมอยู่ด้วยกันและใช้งานได้จริง!
ณ ช่วงเวลานี้
ซูอี้ได้เข้าใจถึงแก่นแท้และเสน่ห์ของเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องโดยสมบูรณ์แล้ว
และเขาก็ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแรกของวิถียุทธ์ ‘ขอบเขตโคจรโลหิต’ ได้เรียบร้อย!
ขอบเขตโคจรโลหิตเป็นขอบเขตแรกของวิถียุทธ์ เป็นจุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะ ซึ่งภายในขอบเขตโคจรโลหิตแบ่งออกเป็นสี่ระดับคือ ขั้นหนึ่ง ขั้นสอง ขั้นสาม และขั้นสี่
หลังจากผ่านไปหนึ่งปีที่ร่างนี้ของซูอี้ไร้ซึ่งปราณในตันเถียน บัดนี้ตันเถียนของเขาฟื้นฟูได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว!
ชิ้ง!
เสียงดาบที่คุ้นเคยดังก้องอยู่ในวิญญาณของซูอี้ เขาสัมผัสได้ถึงความปีติยินดีและตื่นเต้น
ดาบเก้าคุมขัง!
“เจ้าเองก็ยินดีกับข้าด้วยงั้นเหรอ?”
แววตาของซูอี้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ในชีวิตที่แล้ว เมื่อครั้งตอนเขายังหนุ่มแน่นและเริ่มบ่มเพาะ ดาบเก้าคุมขังอยู่ข้างกายไม่ห่าง มันติดตามเขาไปทุกที่ที่ย่างก้าว
แต่ถึงแม้เมื่อชาติที่แล้วเขาจะมีระดับการบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัวใน ‘ขอบเขตพันธะลึกล้ำ’ ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจค้นพบต้นกำเนิดหรือความลับใด ๆ ของดาบเก้าคุมขังได้
ดาบเล่มนี้ที่ถูกผนึกเอาไว้ด้วยโซ่เทวะเก้าชั้นนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับอย่างแท้จริง
ซูอี้สามารถละทิ้งความมั่งคั่งและชื่อเสียงที่สะสมมาทั้งชีวิตได้
แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่อาจละทิ้งได้คือดาบเก้าคุมขัง!
เช่นนี้ ก่อนที่เขาจะกลับชาติมาเกิดในชาติที่แล้ว ซูอี้ไม่ลังเลใจเลยที่จะผนึกความทรงจำตลอดชีวิตที่ผ่านมาของตนไว้ในดาบเล่มนี้ แล้วเขาจึงกลับมาเกิดอีกครั้งพร้อมกับดาบเล่มนี้
ดาบเล่มนี้เปรียบเสมือนชีวิต เขาไม่อาจยอมสูญเสียมันได้!
ในไม่ช้า ซูอี้สั่นศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเข้าสู่สมาธิ ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นสม่ำเสมอ
“รู้สึกยอดเยี่ยมจริง ๆ ที่ตอนนี้แค่เพียงสูดลมหายใจข้าก็สามารถดูดพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อบ่มเพาะได้”
หลังจากปลุกความทรงจำของชาติที่แล้วได้ เขาจึงเริ่มบ่มเพาะเป็นเวลาสามวันที่ตระกูลเหวิน
แต่เมื่อลองเทียบกันแล้ว การบ่มเพาะที่ตระกูลเหวินสามวันยังได้ผลน้อยกว่าการบ่มเพาะหนึ่งชั่วยามครึ่งที่ริมฝั่งแม่น้ำต้าฉาง
แตกต่างราวกับฟ้าและเหว!
“หากบ่มเพาะที่นี่ ข้าจะใช้เวลาเพียงสามวันในการทะลวงไปถึงขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสองได้” เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ซูอี้ส่ายศีรษะ
“การเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้รวดเร็ว มันไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อยสำหรับข้า แต่ในชีวิตนี้สิ่งที่ข้าต้องการคือการข้ามผ่านความสำเร็จของชีวิตที่แล้ว!”
“เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย ข้าจะต้องวางรากฐานให้มั่นคงในทุกขอบเขตและทุกขั้นตอน”
“ข้าไม่อาจรีบร้อนได้”
ซูอี้ลอบเตือนตัวเองเบา ๆ
ขอบเขตโคจรโลหิตเป็นเพียงจุดเริ่มตอนแห่งวิถียุทธ์
แต่แม้ว่าจะอยู่ในขั้นแรกเริ่ม ทว่ามันก็สำคัญที่สุดเช่นกัน มันเพียงพอที่จะส่งผลกระทบต่อเส้นทางการบ่มเพาะในอนาคตว่าจะสามารถก้าวผ่านชีวิตที่แล้วของเขาไปต่อได้หรือไม่
เขาบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เหนือกว่าตัวตนในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาหากอยู่ในระดับวิถียุทธ์
“น่าเสียดายตอนนี้ข้าไม่เหลือเงินแล้ว หากข้ามีเงินสักหน่อย คงพอซื้อสมุนไพรในเมืองได้ มันคงจะดีหากหลังจากบ่มเพาะทุกวันข้าได้อาบน้ำสมุนไพรเหล่านั้นเพื่อหล่อหลอมร่างกายเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพให้มากยิ่งขึ้น”
“ต่อไป ข้าคงต้องจริงจังในเรื่องการหาเงิน…”
ซูอี้กำลังคิดเกี่ยวกับแผนการบ่มเพาะในอนาคตของตนเอง
ทันใดนั้นเอง มีเสียงไอรุนแรงลอยมาตามลม
ซูอี้หันศีรษะไปทางทิศนั้น เขาเห็นสองร่างที่อยู่ในระยะไกลกำลังเข้าใกล้สันเขามารดาภูตผี
ชายชราในชุดคลุมและหญิงสาวชุดสีม่วง
ชายชราในชุดคลุมดูเฉื่อยชา ใบหน้าของเขาซีดขาวและเขาไออย่างรุนแรงในขณะเดิน ดูเหมือนว่าเขากำลังหายใจไม่ออก
หญิงสาวชุดม่วงเดินอยู่เคียงข้างชายชรา ใบหน้าของนางเผยความกังวลออก
เสื้อผ้าสีม่วงพลิ้วไหวไปตามแรงลม เข็ดขัดหยกขาวพันรอบเอวดูสง่างาม นางมีรูปร่างที่สูงโปร่ง ทั้งรูปลักษณ์ยังโดดเด่น
แต่สิ่งที่หาพบได้ยากคือกลิ่นอายของนางสูงส่งยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป
“ไม่ว่าจะเป็นชายชราหรือเด็กสาวคนนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้คนระดับสูงจากที่ไหนสักแห่ง”
ซูอี้เพียงชำเลืองมอง จากนั้นจึงละสายตาไป
แต่เมื่อเขากำลังจะเดินจากไป ก็จำต้องหยุดและหันกลับไปยืนมองชายชราในชุดคลุมอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาได้ค้นพบบางอย่าง แววตาของชายหนุ่มพลันทอประกายวูบไหว
ทางด้านของชายชราและหญิงสาวชุดม่วงสังเกตเห็นซูอี้เช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรนัก
แต่เมื่อซูอี้มองชายชราในชุดคลุมเป็นครั้งที่สอง หญิงสาวชุดม่วงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าบูดบึ้งปรากฏบนใบหน้างดงามนั้น
“ฮึ่ม! เจ้ามองอะไรนักหนา! หรือว่าเจ้าอยากจะมีปัญหากับเรา?” ใบหน้าของนางมองมาที่ซูอี้ด้วยแววตาเย็นเยือก
ซูอี้ประหลาดใจเมื่อเห็นอาการหุนหันพลันแล่นของสตรีผู้นี้
“จื่อจิ่นอย่าได้หยาบคาย แม้เจ้าจะกังวลเรื่องการบาดเจ็บของปู่ แต่เจ้าก็ไม่อาจเกรี้ยวกราดใส่ผู้บริสุทธิ์ได้” ชายชราในชุดคลุมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “การดำรงชีวิตในโลกหล้า เจ้าจำเป็นต้องหัดยับยั้งชั่งใจตนเองและสงวนท่าทีไม่กล่าวตอบโต้ หากเจ้าสามารถกระทำเช่นที่ปู่บอกได้ เจ้าจะได้ครองสภาวะอันสงบ ไม่หลงไปตามสัมผัสทั้งหก”
เด็กสาวที่ชื่อจื่อจิ่นกล่าวคำด้วยน้ำเสียงกังวล “ท่านปู่ ท่านเจ็บป่วยขนาดนี้ ข้าไม่มีใจจะฟังสิ่งใดทั้งสิ้น ข้าอยากให้ท่านหายเพื่อสอนบทเรียนแก่ข้าไปอีกพันหมื่นปี”
ชายชราในชุดคลุมหัวเราะออกมาพร้อมส่ายศีรษะเบา ๆ จากนั้นจึงยกมือให้ซูอี้เล็กน้อย “หากข้าทำให้ขุ่นเคืองใจ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
ขณะที่พูด เขาไอออกมาอย่างรุนแรง เส้นเลือดสีน้ำเงินเข้มปูดโปนขึ้นที่หน้าผากอย่างเด่นชัด ชายชราไอราวกับว่าต้องการจะคายหัวใจและปอดออกมา
“ท่านปู่ อย่ากล่าวคำใดอีกเลย!”
ใบหน้างดงามของจื่อจิ่นเต็มไปด้วยความกังวล ดูเหมือนนางจะกังวลยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เด็กสาวค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้ามือชายชราไว้อย่างระมัดระวัง “ข้าจะเข้าเมือง ข้าจะไปหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาท่าน!”
ในขณะนั้น ซูอี้ก็พูดขึ้น “หมอธรรมดาไม่อาจรักษาอาการเจ็บป่วยเช่นนี้ได้ หากยังล่าช้าอยู่ ภายในสามวันเขาจะตาย”
จื่อจิ่นเบิกตากว้างด้วยความโกรธ พร้อมกล่าวตะหวาดเสียงดัง “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาสาปแช่งให้ปู่ของข้าตายตก?”
แต่ชายชราในชุดคลุมกลับกล่าวกับนางด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว “จื่อจิ่น สหายน้อยผู้นี้กล่าวถูกต้องแล้ว อาการบาดเจ็บของปู่ไม่มีทางรักษาหาย”
“เรื่องนี้…”
จื่อจิ่นเจ็บปวดราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางดวงใจ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ท่านปู่ ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ท่านเป็นอะไร! ข้าจะพาท่านกลับไปที่เขตปกครองอวิ๋นเหอ!”
ชายชราในชุดคลุมยิ้มพร้อมกล่าวตอบ “อย่าได้ตื่นกลัว ชีวิตและความตายล้วนถูกลิขิต ข้าที่ต่อสู้มาทั้งชีวิตได้ปล่อยวางแล้ว”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาหันกลับมามองซูอี้ด้วยแววตาอ่อนโยน “สหายน้อย ข้าขออนุญาตล่วงเกินถาม เจ้าเห็นอาการบาดเจ็บของชายชราผู้นี้ได้อย่างไร?”
ซูอี้รู้สึกประทับใจชายชราที่สวมเสื้อคลุมนี้ เขาจึงกล่าวคำโดยไม่คิดปิดบังและสุภาพ “สีแดงที่ระหว่างคิ้วคือจิตมาร ซีดเผือดและไร้สีเลือด ปอดถูกรุกล้ำโดยพิษอันชั่วร้าย พลังจากร่างที่เย็นชืดราวกับซากศพตามร่างกาย หากข้าคาดเดาไม่ผิด ท่านเพิ่งพบเจอกับ ‘ซากศพหยินหกสมบูรณ์’ มาเป็นแน่”
ชายชราในชุดคลุมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่น “สายตาเฉียบแหลม!”
จื่อจิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างถามออกด้วยความสงสัย “แบบนี้ไม่ถูกต้องสิ! ท่านปู่ ท่านไม่ได้บอกกับข้าก่อนหน้านี้หรือว่าเขตปกครองอวิ๋นเหอแห่งนี้น้อยนักที่จะมีคนรู้ถึงการมีอยู่ของศพหยินหกสมบูรณ์ที่เกิดในสันเขามารดาภูตผีของเทือกเขาเมฆาคราม?”
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชายชราในชุดคลุมถึงรู้สึกใจสั่น
ไม่ต้องกล่าวถึงเมืองกว่างหลิง ในเขตปกครองอวิ๋นเหอทั้งหมดแทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้
แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเพียงแค่เห็นอาการบาดเจ็บก็พูดกล่าวได้อย่างชัดเจน!
ซูอี้กล่าวคำอย่างเฉยเมย “ข้าคิดว่าตอนนี้ท่านคงกำลังค้นหา หญ้าหกหยิน และดอกไม้แสงตะวันใช่หรือไม่?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” จื่อจิ่นตื่นตระหนกจนถึงกับอุทานออก
ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ราวกับมีพายุคลั่งอยู่ในจิตใจ
ชายหนุ่มที่เพิ่งได้พบกันสามารถมองเห็นอาการบาดเจ็บของเขาและยังรู้จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ได้เพียงใช้ตาเปล่ามองดู
เรื่องนี้มันน่าสะพรึงเกินไป!
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ซูอี้ส่ายศีรษะก่อนจะหัวเราะออกมา “แม่นางไม่ทราบงั้นหรือ ว่า ‘ซากศพหยินหกสมบูรณ์’ นั้นไม่ว่าอยู่ที่ใด ที่นั่นจะปรากฏหญ้าหกหยิน? มันคือสมุนไพรวิเศษอันเย็นเยือกที่เปี่ยมด้วยพลังหยินอันยิ่งใหญ่ หากมีหยินย่อมมีหยาง หมายความถึงสถานที่ซึ่งมีหญ้าหกหยินปรากฏ มันย่อมต้องมีดอกไม้แสงตะวัน”
เรื่องนี้เป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกคนในเก้ามหาแดนดินรู้ดี!
แต่ในทางกลับกันขณะนี้จื่อจิ่นกำลังแสดงอาการตื่นตระหนกอย่างชัดเจนและพูดไม่ออก
แม้แต่สีหน้าของชายชราสวมชุดคลุมก็ยังเปลี่ยนไปเช่นกัน
ในสายตาของชายชรา ชายหนุ่มร่างสูงผอมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นมีความลึกลับยากเกินจะหยั่งถึง!
[1] ซีหมิง หมายความถึงทะเลตะวันตก
[2] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง ดังนั้น 1 ชั่วยามครึ่งจึงเท่ากับ 3 ชั่วโมง