ณ วัดเส้าหลิน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างมารวมตัวกันอยู่ที่ลานธรรม

 

“ท่านเจ้าอาวาสเรียกพวกเรามา มีเรื่องอันใดหรือ?” หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วถามอย่างสงสัย

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินใบหน้าประด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ฟังคำ “ข้ากำลังจะปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตน เมื่อเป็นเช่นนั้นให้เรื่องราวภายในวัดเส้าหลินดำเนินการโดยการดูแลของฮุ่ยเจ๋”

 

ฮุ่ยเจ๋เป็นหัวหน้าตำหนักลานธรรมหรือก็คือหัวหน้าฝ่ายวินัย ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในสามระดับบนเป็นรองแค่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเท่านั้นในวัดเส้าหลินนี้

 

“ปลีกวิเวก?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ตกใจ และพลันถามขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ “หรือท่านเจ้าอาวาสกำลังจะเตรียมตัวสำหรับการตัดผ่าน…”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินด้วยสายตายากจะเชื่อ

 

“เมื่อเร็วๆ นี้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกำลังจะกล่าวคำ

 

ทันใดนั้น

 

ในเวลาเดียวกัน

 

บูม!!!

 

คลื่นพลังที่น่ากลัวพัดกระจายไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน หมู่ตึกวิหารต่างๆ พากันสั่นสะท้านเล็กน้อย

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“มีเหตุใดเกิดขึ้น?”

 

หัวหน้าตำหนักต่างหน้าเปลี่ยนสี รีบเดินกันออกมาจากลานธรรม

 

“มันคือที่ภูเขาด้านหลัง แรงสั่นสะเทือนมาจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง!”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ตัวสั่นเทา มองไปที่ภูเขาด้านหลังอย่างเคร่งเครียด

 

เมื่อมีคำกล่าวออกมา

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเอง สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปอีก

 

ตั้งแต่เหตุการณ์ที่‘อรหันต์ถัว‘ ปราบปรามมารพุทธะแล้วสะกดไว้ที่ภูเขาด้านหลัง พื้นที่แถบภูเขาด้านหลังก็กลายเป็นเขตหวงห้ามของวัดเส้าหลินไปตั้งแต่บัดนั้น

 

สถานที่หวงห้ามอื่นๆ เช่น หอคอยสะกดมาร และวิหารพระสหัสพุทธ แม้ว่าจะมีบางสิ่งเกิดผิดพลาดขึ้นมา ย่อมไม่ส่งผลใดต่อวัดเส้าหลินนอกเสียจากอาการปวดเศียรเวียนเกล้า

 

แต่ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง มันย่อมเป็นหายนะของวัดเส้าหลินอย่างแน่นอน

 

แค่เพียงผู้สืบทอดของมารพุทธะที่ปรากฏตัวทุกๆ หนึ่งร้อยปี ก็ทำให้วัดเส้าหลินหม่นหมองและเกือบจะถูกกวาดล้างไปสิ้น แล้วนับประสาอะไรกับตัวมารพุทธะจริงๆ จะไม่แย่กว่าอีกหรือ?

 

จนถึงตอนนั้น

 

ไม่ใช่แค่วัดเส้าหลินเท่านั้น เกรงว่าโลกทั้งใบจะกลายเป็นเพียงของเล่นที่อยู่ในมือของมารพุทธะไปเสีย

 

“เร่งรุดไปที่ภูเขาด้านหลังกันเถอะ!”

 

เจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักมองหน้ากัน สีหน้ามืดทะมึน

 

หากมารพุทธะหลุดออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามได้จริงๆ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต พวกเขาก็ต้องหยุดมารพุทธะเอาไว้ให้ได้

 

อย่างเร็วไว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและสงฆ์รูปอื่นๆ ต่างเร่งความเร็วไปยังพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักเงยหน้าขึ้นมองไปยังเขตแดนพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

พวกเขาก็ได้เห็นฉากที่จะไม่ลบเลือนไปจากความทรงจำ

 

ภาพที่เห็นเป็นองค์ยูไลทองคำนั่งอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกสาละสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานออกจากความว่างเปล่า ชำระพื้นที่ตรงนั้นให้กลายเป็นบริสุทธิ์ ปกคลุมไปทั่วเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

หวึ่ง!

 

สายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นองค์ยูไลยกฝ่ามือขึ้นแล้วค่อยๆ เหวี่ยงลงไปในส่วนลึกของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“นี่คือ……”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอ้าปากกว้าง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

“ฝ่ามือยูไล สิ่งนี้คือฝ่ามือยูไล!!!”

 

หัวหน้าลานธรรมรู้สึกอื้ออึงอยู่ในหัว มองไปที่องค์ยูไลสีทอง เกือบจะก้มลงไปกราบอยู่รอมร่อ

 

“ฝ่ามือยูไลหายสาบสูญไปกว่าเก้าร้อยปีพร้อมการจากไปของอรหันต์ถัว แล้วตอนนี้มันคือ…..”

 

หัวหน้าลานธรรมพึมพำกับตนเอง “เป็นไปได้ไหมที่‘อรหันต์‘จะฟื้นชีพกลับคืนมา?”

 

“มันไม่ควรเป็นเยี่ยงนั้น”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนิ่งเงียบเป็นเวลานานและกล่าวขึ้นว่า “หากแม้อรหันต์ถัวจะไม่ได้ล่วงลับไปเมื่อเก้าร้อยปีก่อน แต่ก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็หยุดไปชั่วขณะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “งั้นนี่ควรจะเป็นผู้อื่นที่กำลังใช้ฝ่ามือยูไลเพื่อสะกดมารพุทธะในตอนนี้…….”

 

 

ที่ภูเขาด้านหลัง

 

” ‘ความจริงแท้แห่งตถาคต‘ นี่เจ้าสามารถใช้‘ความจริงแท้แห่งตถาคต‘ ได้เยี่ยงไร?”

 

มารพุทธทั้งประหลาดใจปนโกรธเกรี้ยว เขาสูญเสียอิสรภาพไปอย่างสมบูรณ์เมื่อเก้าร้อยปีก่อนก็เพราะอรหันต์ถัวได้ใช้‘ฝ่ามือยูไล‘ ในการสะกดเขาเอาไว้ที่ภูเขาด้านหลังนี่

 

‘ฝ่ามือยูไล‘ เป็นส่วนหนึ่งของ‘ความจริงแท้แห่งตถาคต‘

 

และ‘ความจริงแท้แห่งตถาคต‘ ก็ไม่ใช่ฝ่ามือยูไล

 

ฝ่ามือยูไลมีหมดทั้งสิ้นเก้ารูปแบบ แต่ละกระบวนท่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวของอรหันต์ถัวเองก็เชี่ยวชาญจริงๆ เพียงแค่หนึ่งรูปแบบของฝ่ามือยูไลเท่านั้น

 

ในประวัติศาสตร์กว่าพันปีของวัดเส้าหลิน ก็ยังมีอรหันต์แบบอรหันต์ถัวอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครสักคนเดียวที่ใช้พลังที่แท้จริงของฝ่ามือยูไลได้ทั้งหมด

 

หากเจ้าอยากจะเชี่ยวชาญถ้วนทั่วทุกกระบวนฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ เจ้าต้องมีหลักความจริงแท้แห่งตถาคตเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้

 

ความจริงแท้แห่งตถาคตเหมือนกับเป็นโครงร่างพื้นฐานเพื่อใช้ในการควบคุมวิชาฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ

 

ความจริงแท้แห่งตถาคตเป็นมายาคติและมีความลึกลับ แม้แต่มารพุทธะเอง แม้นอ่านคัมภีร์ทางพุทธทั้งหมด ก็สามารถจับใจความสำคัญได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น

 

มารพุทธะถึงขนาดที่คิดไปแล้วว่าในโลกนี้ไม่มีองค์ยูไลอยู่จริง

 

ทว่ายามนี้…

 

มารพุทธะไม่แม้แต่จะคิดฝันว่ามันจะได้เห็นความจริงแท้แห่งตถาคตจากพระหนุ่มผู้นี้

 

“ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต?”

 

ซูฉินไม่ได้คิดอะไรมาก

 

ในตอนนี้ดูเหมือนกับว่าเขาจะกลายเป็น‘อรหันต์‘ที่แท้จริง สามารถควบคุมผนึกตราประทับในพื้นที่ต้องห้ามได้อย่างสมบูรณ์

 

ตั้งแต่เข้ามาด้านในภูเขาด้านหลัง ซูฉินก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงไม่ปกติขององค์ยูไลทองคำที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว

 

และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อซูฉินเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ

 

ด้วยใช้รัศมีส่องแสงขององค์ยูไลสีทอง ซูฉินก็สามารถเข้าควบคุมพลังของผนึกทั้งหมดในพื้นที่ต้องห้ามได้

 

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต้องห้ามยามนี้ โดยเฉพาะความแข็งแกร่งแทบทั้งหมดของ ‘ฝ่ามือยูไล‘ นั้นไม่ได้มาจากซูฉิน แต่เป็นพลังที่หลงเหลือไว้โดยอรหันต์ถัวเสียมากกว่าที่ทิ้งสิ่งนี้เอาไว้เบื้องหลังมานานกว่าเก้าร้อยปี

 

สิ่งที่ซูฉินทำทั้งหมดก็แค่ขับเคลื่อนมันเพียงเล็กน้อย

 

“ไม่นะ!”

 

“ข้าไม่อยากจะถูกปิดผนึกอีกต่อไปแล้ว!!”

 

เมื่อมารพุทธะเห็นฝ่ามือยูไลกำลังกดลงมาอย่างช้าๆ ร่างของเขาก็ระเบิดกลายเป็นร่างหมอกสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วน หนีออกไปทุกทิศทาง

 

เขาใช้เวลากว่าเก้าร้อยปี คอยทำลายผนึกทีละเล็กละน้อยและแผ่ขยายอำนาจออกไป

 

เมื่อเขาถูกปราบลงแล้วส่งตัวไปกักขังอีกครั้ง คราวนี้ตัวมารพุทธะอาจจะถึงคราวจบสิ้นอย่างแท้จริง

 

เพราะถึงแม้ว่ามารพุทธะจะได้ละทิ้งกายหยาบด้วยอำนาจแห่งจิตวิญญาณแรกกำเนิด มันก็ไม่สามารถจะอยู่รอดไปได้นานกว่าสองพันปี ถึงกายละเอียดนี้จะเสื่อมถอยช้ากว่ากายหยาบหลายต่อหลายเท่า

 

“เจ้ามิอาจหลบหนีได้”

 

ดวงตาของซูฉินเยือกเย็น เขาเสมือนเป็นอรหันต์ถัวจากเมื่อเก้าร้อยปีก่อน มือขวายกขึ้นค่อยๆ กดลงมากขึ้นไปอีก

 

เสียงสนั่นกึกก้อง

 

ทั่วผืนฟ้านภาดินปกคลุมไปด้วยฝ่ามือสีทองเข้มแห่งองค์ยูไล

 

แยกออกเป็นแถวห้าสาย ฉีกกระชากกฎเกณฑ์ทั้งปวง

 

หมอกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ส่งเสียงกรีดร้องระงม ค่อยๆ ระเหยสลายหายไปจนหมด

 

ในขณะนี้ พลังของผนึกตราประทับโถมเข้ามารวมตัวกันอย่างไม่มีสิ้นสุด จุดเล็กๆ ที่มารพุทธะใช้ความพยายามในการทำลายอยู่กว่าเก้าร้อยปีถูกซ่อมแซมสร้างขึ้นใหม่ในทันที

 

ร่างจิตวิญญาณแรกกำเนิดของมารพุทธะถูกกดทับลงไปใต้ดินร่ำร้องคร่ำครวญแล้วค่อยๆ หายไปอย่างสมบูรณ์

 

“ในที่สุดก็จบลงแล้ว”

 

ซูฉินลดมือขวาลง ความรู้สึกที่สื่อถึงองค์ยูไลทองคำตรงกึ่งกลางคิ้วทั้งสองข้างสงบลง เขากลับมาหายใจได้โล่งสบายอีกครั้ง

 

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมองค์ยูไลทองคำองค์นี้ถึงสามารถระดมกำลังจากตราประทับของพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังได้อย่างง่ายดาย

 

แต่ตอนนี้ทุกสิ่งมันก็จบลงแล้ว

 

“กายเนื้อของข้าถูกปรับปรุงขึ้นอีกขั้นแล้ว”

 

ซูฉินที่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตนก็มีความสุขมาก

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้ใช้พลังของตัวเองในยามนี้ แต่ด้วยผลพวงจากการแบกรับพลังของผนึกตราประทับเขตหวงห้าม ก็ไม่ต่างจาก ‘อรหันต์‘ ตัวเป็นๆ ใช้ฐานบ่มเพาะช่วยชำระเส้นเอ็นล้างไขกระดูกให้กับซูฉินด้วยตนเอง

 

หลังจบการต่อสู้ครั้งนี้ ผลประโยชน์ที่ซูฉินได้รับมีมากจนไม่สามารถจินตนาการได้

 

ถ้าซูฉินเป็นเพียงคนธรรมดา

 

ไม่แน่ว่าคงจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธในสามระดับบนได้ในก้าวเดียวจากสิ่งนี้

 

“โอ้ใช่”

 

“เกือบลืมทำธุระไปเลย”

 

ซูฉินเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่าง และกล่าวคำขึ้นในใจเงียบๆ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”