35 ลงชื่อเข้าใช้ กายามารพุทธะทองคำ

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 35 ลงชื่อเข้าใช้! กายามารพุทธะทองคำ!

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับวิชา ‘กายามารพุทธะทองคำ‘]

เสียงจักรกลแสนเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“กายามารพุทธะทองคำ”

 

ซูฉินพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อย

 

เห็นได้ชัดว่าการลงชื่อเข้าใช้ครั้งนี้น่าจะได้รับวิชาบ่มเพาะของมารพุทธะมา

 

“ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปแล้ว”

 

ซูฉินไม่ได้รีบปลูกฝังความเข้าใจในวิชา ‘กายามารพุทธะทองคำ‘ ในทันที

 

ด้วยเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเช่นนี้ มีโอกาสสูงมากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจะรีบเร่งเข้ามา

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินก็เดินออกจากภูเขาด้านหลัง

 

“นี่……”

 

ซูฉินมองไปที่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ารูปที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเนินเขาแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “ตราประทับผนึกมารพุทธะได้รับการเสริมพลังแล้ว พวกท่านไม่จำเป็นต้องปกป้องที่นี่อีกต่อไป”

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าได้ระงับการเคลื่อนไหวและพลังชีวิตด้วยวิชาลับ

 

วิชาลับประเภทนี้สามารถยืดอายุให้ยืนยาวออกไปได้ แต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดต้องถูกจำกัดเอาไว้ สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา

 

การมีชีวิตอยู่แบบนี้ดีอย่างไร ตายไปเสียยังจะดีซะกว่า

 

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจของซูฉินก็สั่นไหว สะบัดปลายนิ้วออกเป็นกำลังภายในห้าสายพุ่งผ่าอากาศเข้าหาร่างของเหล่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์

 

พลังทั้งห้าสายนี้สามารถปลุกสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ให้ตื่นขึ้นก่อนกำหนดได้

 

เมื่อทำทุกสิ่งอย่างเสร็จสิ้น ซูฉินก็ออกจากภูเขาด้านหลังไปอย่างว่องไว

 

ที่ด้านนอกภูเขา ซูฉินพบว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างก็เฝ้าระวังอยู่ที่นั่น

 

ซูฉินไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวตนออกไป จึงมุ่งตรงไปยังลานจิปาถะ

 

“กายามารพุทธะทองคำ”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาและเริ่มต้นยอมรับการส่งผ่านข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ ‘กายามารพุทธะทองคำ‘ ที่ระบบจะปลูกฝังใส่สมองให้

 

ตูม!!

 

ปรากฏเป็นองค์พระพุทธรูปสีทองปรากฏอยู่ในมโนความคิดของซูฉิน

 

ตัวองค์พระเป็นโลหะสีทองครึ่งองค์ อีกครึ่งเป็นสีดำ ด้านสีทองดูขึงขังจริงจัง ส่วนด้านสีดำให้ความรู้สึกลึกลับ

 

กลุ่มก้อนพลังทั้งสองด้านมาบรรจบกันในกายเดียว ต่างก็หลอมหลวมและต่อต้านกันในที

 

“นี่คือ?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวเล็กลง

 

ตอนแรกซูฉินคิดว่ามารพุทธะได้ละทิ้งพระพุทธเข้าหาความเป็นมาร แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามารพุทธะมีทั้งพุทธานุภาพและพลังแห่งมารร้าย

 

สำหรับกายามารพุทธะทองคำ เมื่อสามารถฝึกฝนจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกจะสามารถสลับปรับเปลี่ยนระหว่างกำลังภายในสายพุทธและกำลังภายในสายมารได้อย่างอิสระ

 

ต้องทราบก่อนว่าในการฝึกวิทยายุทธสิ่งต้องห้ามอย่างที่สุดคือการเจือปนของสายพลัง

 

แต่กายามารพุทธะทองคำไม่เพียงแต่ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น แต่รวมพลังสองขั้วที่แตกต่างกันอย่างรุนแรงเข้าหากัน

 

“มารพุทธะ…….”

 

ซูฉินเงียบไป

 

ในตอนนี้แม้แต่ซูฉินเองยังต้องยอมรับความสามารถของมารพุทธะที่หาได้ยากยิ่งแม้จะกวาดตาหาทั่วดินแดนในรอบพันปี

 

น่าเสียดาย

 

ไม่ว่ามารพุทธะจะมีความสามารถมากเพียงใด สุดท้ายก็ไม่สามารถเทียบได้กับฝ่ามือยูไล

 

หลังจากรู้ถึงความน่าหวาดหวั่นของกายามารพุทธะทองคำ ซูฉินก็ไม่ได้ฝึกฝนมันในทันที

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน หากได้ฝึกฝน ‘กายามารพุทธะทองคำ‘ มันจะเปลี่ยนกำลังภายในของเขาให้เป็นพลังมารอันทรงพลัง และต้องทำให้ทั้งวัดเส้าหลินตกใจเป็นแน่

 

ซูฉินจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควรในการเสาะหาพื้นที่ห่างไกลแล้วค่อยๆ ฝึกฝนกายามารพุทธะทองคำไปอย่างช้าๆ

 

อย่างไรเสียวิชากายามารพุทธะทองคำก็อยู่ในหัวของเขาหมดแล้ว และมันจะไม่หนีหายไปไหน ดังนั้นซูฉินจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

 

“นอกเหนือจากได้รับวิชา ‘กายามารพุทธะทองคำ‘ มา ร่างกายของข้าก็ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของพลังจากผนึกสินะ?”

 

ซูฉินแผ่ความรู้สึกสำรวจร่างกายอย่างระมัดระวัง เขาพึงพอใจมาก

 

จำได้หรือไม่ว่าซูฉินเองก็สามารถควบคุมร่างกายได้จนถึงระดับที่สูงมากเรียกว่าแทบจะสมบูรณ์แบบด้วยการขัดเกลาจากวิชากายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทรา

 

ในเวลานั้นซูฉินเชื่อมั่นว่าในช่วงก่อนที่จะขึ้นไปถึงระดับอรหันต์ ร่างกายเขาน่าจะถึงขีดจำกัดแล้ว

 

“ทว่าตอนนี้ เทียบกันด้วยกายเนื้ออย่างเดียวเกรงว่าข้าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดใช่หรือไม่?”

 

ซูฉินดูเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ต้องรู้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงในด้านใดด้านหนึ่งระหว่าง ร่างกาย กำลังภายใน และพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติที่จะถูกเรียกได้ว่า‘จุดสูงสุด‘ของระดับชั้น

 

ผู้ใดที่ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดก็เพียงพอจะต่อต้านอาณาจักรได้เลย อย่างเช่น ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน และจ้าวกงกงในวังหลวงของจักรพรรดิถัง

 

และตอนนี้ถ้าให้พวกยอดปรมาจารย์ในระดับจุดสูงสุดเหล่านี้รู้ว่ามีคนสามารถต่อสู้กับพวกเขาด้วยการใช้กายเนื้อเพียงอย่างเดียว พวกเขาอาจจะตกใจจนขากรรไกรหลุดออกมาก็เป็นได้

 

“ด้วยการบำเพ็ญของข้าในปัจจุบัน ตราบเท่าที่กำลังภายในไปถึงจุดเปลี่ยนแปลงปรับสภาพ ข้าเกรงว่าข้าคงจะสามารถขึ้นไปถึงระดับอรหันต์ได้ในเวลาอันสั้น”

 

ซูฉินมั่นใจมาก

 

“ต่อไปก็แค่ต้องบ่มเพาะกำลังภายในต่อไปอย่างอดทน……”

 

ซูฉินตัดสินใจอยู่ภายในใจของตน

 

 

ด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างรั้งรออยู่

 

ในขณะนั้นเอง

 

ห้าร่างค่อยๆ เดินออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“นั่นคือ?”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ารูปหรือ?”

 

สีหน้าของเจ้าอาวาสได้เปลี่ยนไป

 

ในฐานะของเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้จักบรรพบุรุษของวัดเส้าหลิน

 

สิ่งที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่คาดคิดก็คือบรรพบุรุษทั้งห้าที่น่าจะล่วงลับไปนานแล้ว กลับเดินออกมาจากพื้นที่หวงห้ามเขาด้านหลังทั้งยังมีชีวิตอยู่?

 

จากนั้นไม่นาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้พูดคุยกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า เริ่มเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น

 

เพื่อการปกป้องตราประทับผนึกมารพุทธะ จำต้องมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ประจำจุดอยู่ที่ด้านนอกตราประทับ

 

“เช่นนั้น คนที่แอบมาจัดการเหตุการณ์ทั้งหลายก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่เหล่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถามอย่างกะทันหันหลังจากคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก

 

“พวกข้าทั้งห้ารูปตกอยู่ในห้วงระงับพลังชีวิตด้วยวิธีการลับ เป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือกระทำการใด”

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปหนึ่งที่มีใบหน้าบึ้งตึงกล่าวขึ้น

 

ด้วยคำกล่าวที่ว่ามานั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมองหน้ากันด้วยความสับสน

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่านอกจากพื้นที่หวงห้ามของภูเขาด้านหลังแล้ว ในวัดเส้าหลินยังมีบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ซ่อนตัวอยู่อีก?

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์คนเดิมก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ตราประทับที่ผนึกมารพุทธะเอาไว้ บัดนี้ได้รับการเสริมผนึกแล้ว พวกข้าไม่จำเป็นต้องคอยปกป้องมันอีกต่อไป“

 

“อย่างน้อยที่สุดพวกข้าก็จะอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน ก่อนจะล่วงลับไปจริงๆ”

 

คำพูดที่ถูกกล่าวออก

 

ทำให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักมีสีหน้าหมองหม่นลง

 

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภูเขาด้านหลัง วัดเส้าหลินก็สั่นสะเทือนไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 

แต่อย่างไรก็ตามหลังจากสองสามเดือนผ่านพ้น สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าต่างก็ทยอยละสังขารกันไปทีละคนสองคน จนในที่สุดช่วงนี้ วัดเส้าหลินก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

 

วันเวลากลายเป็นเนิบช้าอีกครั้งหนึ่ง

 

ในเวลานี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตน หวังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ในระหว่างการปลีกวิเวกของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน กิจการทุกอย่างถูกควบคุมดูแลโดยหัวหน้าลานธรรมเป็นการชั่วคราว

 

การเปลี่ยนแปลงของบุคคลระดับสูงของวัดเส้าหลินทำให้เกิดการพูดคุยในหมู่ศิษย์กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะศิษย์ลานจิปาถะ พวกเขาพูดคุยกันในยามว่างเกี่ยวกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะออกจากการปลีกวิเวกเมื่อไหร่และเรื่องอื่นๆ…

 

ซึ่งซูฉินก็กลับเข้าสู่ช่วงชีวิตปกติแล้วเช่นกัน วันๆ ไปลงชื่อเข้าใช้ระบบ กวาดลานวัด และบ่มเพาะขัดเกลากำลังภายใน

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘]

 

ที่ด้านนอกของลานโพธิ์ ซูฉินมีความสุขมาก

 

‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘ เป็นหนึ่งในเม็ดยาของวัดเส้าหลิน มีหน้าที่เพียงแค่อย่างเดียว

 

นั่นคือต่อชีวิต

 

จอมยุทธทุกผู้คนไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักขนาดไหน เมื่อได้รับโอสถอายุวัฒนะวิมุตติย่อมมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

 

ในทั่วทั้งยุทธภพ โอสถประเภทช่วยชีวิตนั้นหาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะ‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘ ที่ไม่มีผลข้างเคียงแอบแฝงใดๆ

 

หาก ‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘ ได้เปิดเผยสู่โลกภายนอก จะต้องทำให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเข้าแย่งชิงกันอย่างแน่นอน เผลอๆ ยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดจะสนใจมันด้วยซ้ำไป

 

สุดท้ายถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดก็ไม่มีการรับประกันได้ว่าจะไม่บาดเจ็บ

 

ด้วย ‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘ จะเทียบเท่าได้กับชีวิตสำรองอีกหนึ่งชีวิต

 

“ไม่เลว“

 

ซูฉินพยักหน้า

 

แต่ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไร ซูฉินคงจะไม่ได้ใช้ยาประเภทนี้มากจนเกินไปนัก

 

เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

อีกหนึ่งปีก็ผ่านเลยไป