36 ความแข็งแกร่งของซูฉิน

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิหายใจสงบนิ่งสม่ำเสมอ ราวกับเป็นเพียงคนธรรมดา

 

แต่ถ้ามียอดปรมาจารย์อยู่ที่นี่ตอนนี้ จะต้องประหลาดใจแน่เมื่อเห็นว่ารอบตัวของซูฉินในระยะสิบเมตรมีอาณาเขตพลังที่ยากจะหยั่งถึง

 

ภายในอาณาเขตนี้ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ถูกสะกดข่ม และยิ่งเข้าใกล้ซูฉินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกข่มมากขึ้นเท่านั้น

 

“ในที่สุดข้าก็พบวิธีที่จะแปลงสภาพกำลังภายใน……”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น รอยยิ้มปรากฏเด่นชัดบนใบหน้า

 

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ซูฉินได้ไปเยี่ยมชมทั่ววัดเส้าหลินอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจสอบพื้นที่ตกสำรวจที่เขาไม่ค่อยได้ไปลงชื่อเข้าใช้เท่าไหร่

 

สุดท้ายซูฉินก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเขา สามารถลงชื่อได้อีกเมื่อเวลาผ่านไป

 

ในการลงชื่อเข้าใช้ในพื้นที่นี้ นอกเหนือจาก [กายามารพุทธะทองคำ] ซูฉินยังได้รับวิชาอื่นๆ จากเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง คือ [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] [เพลิงมารผลาญสวรรค์] [มารพุทธาเก้ากระแทก] ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นวิชาเฉพาะตัวของมารพุทธะ

 

ในหมู่วิชาเหล่านี้ ‘วิถีมารแยกจิตฝังร่าง‘ เป็นทักษะเฉพาะตัวของมารพุทธะที่ใช้ในการสละกายหยาบแล้วอาศัยอยู่ในรูปของจิตมารวิญญาณแรกกำเนิด

 

ด้วยวิธีการเรียนรู้ของซูฉินที่ไม่เหมือนใครทำให้เขาเข้าใจในทุกแง่มุมแม้วิชาเหล่านี้จะเป็นวิชาสำหรับผู้ที่เป็นระดับ ‘อรหันต์‘ แล้วก็ตาม

 

ต้องรู้ว่าแม้แต่ผู้ที่บรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน มีช่วงชีวิตยาวนานแค่ห้าร้อยปี

 

แต่ด้วยอำนาจของวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] ทำให้มารพุทธะมีชีวิตอยู่รอดมาได้เกือบพันปี เพียงพอที่จะสังหาร ‘อรหันต์‘ ได้ถึงสองชั่วอายุคน

 

แต่ก็เท่านั้น

 

อย่างไรซูฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจในวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง]

 

หากมีวิธีอื่น ใครจะอยากเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแบบมารพุทธะ จะเป็นผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง?

 

เมื่อเทียบกับมารพุทธะ ซูฉินมีศักยภาพไร้ขีดจำกัด เหตุใดจึงต้องใช้ [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] เพื่อยืดอายุออกไป?

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะสละทิ้งกายหยาบ แต่แนวคิดบางอย่างในวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] นั้นคุ้มค่าที่จะเรียนรู้

 

นอกเหนือจาก [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] แล้ว วิชา [เพลิงมารผลาญสวรรค์] ถือเป็นผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของซูฉิน

 

เป็นเคล็ดวิชาที่ใช้จุดเพลิงมนตราด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

เพลิงมนตรานั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและไร้สภาพ แต่มันสามารถเผาผลาญสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในกำลังภายใน ผลลัพธ์ก็เพื่อทำให้กำลังภายในบริสุทธิ์

 

“ด้วยความเร็วที่เพลิงมารผลาญสวรรค์จะชำระกำลังภายในให้บริสุทธิ์ มันสามารถแปลงสภาพของกำลังภายในได้ภายในห้าปี!”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างไสว

 

หากไม่มีเพลิงมารผลาญสวรรค์ ซูฉินที่ทำเพียงคอยขัดเกลามันอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกาลเวลา วิธีนี้อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการฝึกอย่างหนักเพื่อแปลงสภาพของกำลังภายใน

 

แต่เพลิงมารผลาญสวรรค์ทำให้ขั้นตอนนั้นหดสั้นลงหลายต่อหลายเท่า

 

ถ้าให้เหล่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดที่บำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วงในการขัดเกลากำลังภายในมารู้เรื่องนี้ละก็ พวกเขาจะต้องอิจฉาจนคลั่งตาย

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้สนใจพวกยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขานั้น การจัดการพวกยอดปรมาจารย์ก็เพียงแค่ใช้ลูกตบไปหนึ่งที

 

“น่าเสียดายที่หลังจากคราวก่อนต้องใช้ผนึกตราประทับที่ภูเขาด้านหลังในการสะกดมารพุทธะเอาไว้ ไม่เช่นนั้นข้าคงสามารถเอามาใช้เสริมแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง”

 

ซูฉินเหลือบมองไปรอบตัวด้วยความเศร้าเสียใจ

 

การที่มีองค์ยูไลอยู่ระหว่างกึ่งกลางคิ้ว ซูฉินสามารถควบคุมตราประทับเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังได้อย่างสมบูรณ์

 

แต่ซูฉินรู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ปลดผนึกออกแล้วมารพุทธะถูกปลดปล่อยออกมา มันคุ้มแล้วหรือกับสิ่งที่ได้มา?

 

ย้ำอีกครั้ง

 

ตอนนี้ร่างกายของซูฉินแข็งแกร่งขึ้นจนเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว แม้ว่าจะขัดเกลาซ้ำอีกครั้งมันก็ไม่ได้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่

 

“หลังจากห้าปีต่อจากนี้ ยามที่กำลังภายในได้แปรสภาพเรียบร้อย ข้าจะลองหาทางตัดผ่านขอบเขตไปยังระดับอรหันต์ให้ได้”

 

ซูฉินลุกขึ้นแล้วเดินออกนอกภูเขาด้านหลังไป

 

ซูฉินหลบเลี่ยงภิกษุสงฆ์ที่คอยเดินลาดตระเวนอยู่อย่างเงียบงัน เขากลับไปลานจิปาถะในพริบตาเดียว

 

“ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า เมื่อเทียบกับนักพรตจางทายาทสายตรงของตระกูลเจินเขาหวู่ตั้ง หรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน ข้าก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่ากัน?”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจอย่างไม่ร้อนรน

 

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตจางหรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน ทั้งคู่ต่างก็เป็นยอดปรมาจารย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุทธภพ

 

ปกติแล้วระดับชั้นที่หนึ่งทั่วๆ ไป เมื่ออยู่ต่อหน้าสองคนนี้จะไม่กล้าทำตัวกร่างเลย

 

ซูฉินแอบสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าตอนนี้ ทั้งนักพรตจางและราชครูแห่งเหมิ่งหยวนนั้นอยู่ในระดับใด?

 

ตราบใดที่อย่างหนึ่งอย่างใดใน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ‘ร่างกาย‘ และ‘กำลังภายใน‘ได้รับการแปรสภาพก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นยอดยุทธในระดับจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง

 

การแปรสภาพครั้งที่สอง ซึ่งจะเป็นการสำเร็จการแปรสภาพทั้งสามรูปแบบ ก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี

 

แม้ว่าตัวซูฉินจะได้แปรสภาพทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์และกายเนื้อเรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน แต่ด้วยความยอดเยี่ยมของกายเนื้อเพียงอย่างเดียวของเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับยอดยุทธที่แปรสภาพมาแล้วสามอย่างได้โดยไม่เกรงกลัว

 

แต่แน่นอน

 

แม้ความแข็งแกร่งของซูฉินในตอนนี้จะอยู่ในจุดสูงสุดของยุทธภพแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้พึงพอใจกับมันแม้แต่น้อย

 

ในมุมของซูฉิน ถ้าต้องการจะอยู่ยงคงกระพันไร้พ่ายในใต้หล้า ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นยังห่างไกลจากคำว่าพอ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับอรหันต์ถึงจะพอรู้สึกว่าถึงเกณฑ์ที่เขากำหนดเอาไว้

 

ซูฉินยังรู้สึกถึงขนาดว่าระดับอรหันต์นั้นก็ยังไม่ไร้เทียมทานพอ

 

เก้าร้อยปีก่อน ถ้าการเป็นระดับอรหันต์มันดีจริงดังว่า แล้ว‘ถัวอา‘ อรหันต์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลินทำไมจึงมรณภาพไป?

 

เขาไม่แม้แต่จะสังหารมารพุทธะลงได้ ทำได้เพียงสะกดไว้ด้วยฝ่ามือยูไล หลังจากนั้นก็มรณภาพไปอย่างรวดเร็วด้วยอาการบาดเจ็บ

 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าซูฉินไปอยู่ในยุคนั้นแล้วมีมารพุทธะอีกคนกำเนิดขึ้น?

 

 

วันถัดมา

 

ซูฉินมาที่ลานโพธิ์เพื่อกวาดลาน

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินกล่าวกับตัวเองเงียบๆ ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถชะลอโฉม‘]

 

เสียงจักรกลดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“โอสถชะลอโฉม?”

 

ซูฉินผงะไปชั่วขณะหนึ่ง

 

เขาไม่ได้คาดหวังว่าครั้งนี้เขาจะลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับ ‘โอสถชะลอโฉม‘

 

ในความจริง สำหรับซูฉินแล้ว ‘โอสถชะลอโฉม‘ ไม่มีผลใดๆ มันมีคุณค่าน้อยกว่าโอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กเสียอีก อย่างน้อยโอสถพวกนั้นก็ยังเอามาเคี้ยวเล่นเป็นขนมได้

 

แต่แน่นอนว่าในสายตาของผู้หญิงบางคน ‘โอสถชะลอโฉม‘ สามารถช่วยให้พวกเธอคงความเยาว์เอาไว้ได้ตลอดไป ซึ่งมันไม่ต่างไปจากยาอายุวัฒนะเลย

 

“ลืมมันไปเสีย”

 

“เก็บมันเอาไว้ก่อนแล้วกัน”

 

“บางทีอาจจะมีโอกาสได้ใช้มันในอนาคต”

 

ซูฉินโยน ‘โอสถชะลอโฉม‘ กลับเข้าไปในคลังของระบบ

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ซูฉินก็มองขึ้นไปที่อาคารของลานโพธิ์

 

“ฮุ่ยเหวินปิดด่านฝึกตนมาเป็นปีแล้ว ทำไมยังไม่เสร็จสิ้นอีกเล่า หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกัน?”

 

ซูฉินงุนงง

 

เขาจำได้ว่าเมื่อยามที่เขาก้าวจากระดับชั้นที่สองขึ้นมาเป็นระดับชั้นที่หนึ่ง เขาไม่พบกับความยากลำบากใดๆ เลย มันเป็นเรื่องง่ายดายและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด

 

นอกจากนี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้ต่อเติมพื้นที่ในลานโพธิ์สำหรับใช้ในการเก็บตัวครั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตัดผ่านโดยการใช้โอสถจำนวนมหาศาลที่ปรุงขึ้นจากลานโพธิ์

 

ถ้าว่าตามเหตุและผล มันไม่น่าจะมีปัญหาใด

 

“ลองดูหน่อยซิ”

 

ซูฉินใช้ดวงตาแห่งสัจจะมองลึกเข้าไปในส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ ในขอบเขตการมองเห็นของซูฉินพบรัศมีของบุคคลนับสิบอยู่ในส่วนลึกด้านในอาคารลานโพธิ์

 

ซูฉินจับจ้องไปที่ไอพลังของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้อย่างรวดเร็ว

 

หลังจากเข้าร่วมวัดเส้าหลินมาเป็นเวลานานกว่าสิบปี แม้ซูฉินจะไม่ได้ติดต่อกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมากนัก แต่ก็สามารถจับกลิ่นอายได้อย่างง่ายดาย

 

“อะไรกัน?”

 

“มันอ่อนแอถึงขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”

 

“หรือนี่คืออาการธาตุไฟเข้าแทรก?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วและพึมพำเสียงเบา