37 บุกฝ่าอย่างรุนแรง

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

“ถ้าไม่เกิดเหตุอื่นใดแทรกเข้ามาอีก คาดว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคงอยู่รอดได้ไม่เกินคืนนี้”

 

ซูฉินสังเกตเห็นไอพลังของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินในส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขามองอย่างระมัดระวังและคิดตัดสินใจ

 

“ช่างน่าเศร้านัก”

 

แม้ซูฉินจะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีภายในวัดเส้าหลิน แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ไม่เคยบังคับกะเกณฑ์ให้ซูฉินทำอะไรเป็นพิเศษ

 

ขนาดตอนที่หัวหน้าลานจิปาถะมรณภาพไป เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ตั้งใจเข้ามาพบซูฉินด้วยตนเองเพื่อสอบถามว่าเขาต้องการจะสึกออกไปเป็นฆราวาสหรือไม่

 

แม้ฮุ่ยเหวินในฐานะของเจ้าอาวาสจะไม่ได้ทำให้วัดเส้าหลินเจริญรุ่งเรือง แต่อย่างน้อยเขาก็รักษารากฐานที่สืบทอดมาไว้ได้และปล่อยให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้อย่างเงียบๆ มานานกว่าสิบปี

 

“ถ้าฮุ่ยเหวินมรณภาพละก็ วัดเส้าหลินจะตกอยู่ในความโกลาหลอย่างมิอาจเลี่ยง และมันจะทำให้มีสายตาสอดรู้สอดเห็นจากสำนักพรรคภายนอกมองเข้ามาด้วย”

 

“ถึงตอนนั้นถ้าข้าอยากจะกวาดลานและลงชื่อเข้าใช้อย่างสบายๆ เหมือนดังเดิมคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว”

 

ซูฉินครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

“ก็เท่านั้นเอง”

 

“ข้าฉันข้าวปลาอาหารจากวัดเส้าหลินมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว คงไม่สามารถเพิกเฉยเรื่องนี้ได้”

 

เมื่อความคิดล่วงไป กายก็ขยับ ซูฉินห่อหุ้มร่างกายด้วยอาณาเขตที่ไม่อาจหยั่งถึง

 

ภายในอาณาเขตนี้ภาพด้านในมัวไปหมด การหักเหของแสงภายในบิดเบี้ยว มีเพียงร่างคลุมเครือที่กำลังยืนอยู่เท่านั้นที่พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง

 

 

ส่วนลึกของลานโพธิ์

 

หัวหน้าแต่ละตำหนักต่างมารวมตัวกัน สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความโศกเศร้าสุดซึ้ง

 

“เจ้าอาวาสจะไม่รอดจริงๆ เช่นนั้นหรือ”

 

หัวหน้าลานธรรมมองไปที่หัวหน้าลานโพธิ์แล้วถามกดเสียงต่ำ

 

เป็นเวลาหนึ่งปีที่เจ้าอาวาสปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตนและต้องการจะก้าวหน้าขึ้นไป เรื่องราวภายในของวัดเส้าหลินได้หัวหน้าลานธรรมเป็นผู้ดูแลทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม หัวหน้าลานธรรมไม่ได้คาดหวังให้การตัดผ่านของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะจบลงด้วยเหตุการณ์แบบนี้!

 

หัวหน้าลานโพธิ์ส่ายหัว สีหน้าเคร่งเครียด “นอกจากธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว กล้ามเนื้อและเส้นเลือดยังสับสนวุ่นวาย แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็เพียงแต่ช่วยชีวิตของท่านได้เท่านั้น แต่ถ้าจะให้กลับมาฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์คงทำไม่ได้หรอก…….”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ทำให้หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ เงียบสนิท

 

ความเป็นจริงพวกเขาก็เตรียมใจพร้อมรับกับสิ่งที่หัวหน้าลานโพธิ์กล่าวเอาไว้แล้ว

 

สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดของผู้ฝึกวิทยายุทธคือการเบี่ยงเส้นทางการฝึกฝน เพราะการปล่อยให้ธาตุไฟเข้าแทรกเบี่ยงเส้นทางการฝึกฝนถือเป็นการล่มสลายของกำลังภายใน การโคจรของกล้ามเนื้อและเส้นเลือดก็จะไม่เป็นระเบียบ โดยปกติแล้วก็เหมือนกับเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

 

“เจ้าอาวาส”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กระซิบเสียงแผ่ว มองไปยังเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่กำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษ

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นก็ดูโศกเศร้าเช่นกัน

 

โดยเฉพาะหัวหน้าลานธรรม

 

ตอนนี้เป็นเขาเองที่เข้ามาดูแลกิจการภายในของวัดเส้าหลินแทนเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน และตระหนักรู้ได้ว่าหากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมรณภาพไปจะมีผลกระทบมากเท่าใดต่อวัด

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะไม่ได้ขาดแคลนยอดฝีมือในสามระดับบน แต่ปรมาจารย์ในระดับชั้นที่สองมีแค่คนเดียวคือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่คอยอยู่ดูแลวัด ก็เท่ากับว่าวัดเส้าหลินไม่มีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง

 

เดิมทีด้วยสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ก็มากเพียงพอจะดึงดูดความสนใจจากภายนอกวัดมากอยู่แล้ว

 

สาเหตุที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เพราะวัดเส้าหลินมีมรดกตกทอดอันล้ำค่า ไม่มีใครกล้าจะยั่วยุ

 

แต่ถ้าวัดเส้าหลินไม่มีแม้แต่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง ไม่ว่ารากฐานความเป็นมาของวัดจะลึกซึ้งเพียงใดก็ไม่สามารถสร้างความกลัวเกรงให้กับผู้คนได้

 

ในเวลานั้นวัดเส้าหลินคงถูกถอดถอนออกจากการเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ แล้วถูกปิดล้อมด้วยกองกำลังสำนักพรรคต่างๆ

 

ทั้งสองสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่วัดเส้าหลินจะแบกรับไหว

 

ในขณะนั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยความยากลำบาก “ข้ามีความกังวลอยู่มากมายเกินไป”

 

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซีดจนมองไม่เห็นร่องรอยของเลือดมาหล่อเลี้ยง

 

ในตอนนี้กำลังภายในของเขายุ่งเหยิงไปหมด และไม่สามารถขยับตัวเดินเหินไปไหน การที่พูดออกมาแต่ละคำก็ฝืนใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายไปมากแล้ว

 

“เจ้าอาวาสท่านจะต้องไม่เป็นอะไร”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เป็นคนแรกที่เดินหน้าเข้าไปหาเจ้าอาวาสด้วยดวงตาแดงก่ำ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัวแล้วมองไปที่หัวหน้าลานธรรม “หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว ทุกอย่างในวัดเส้าหลินขอมอบหมายให้เจ้าจัดการ”

 

หัวหน้าลานธรรมพยักหน้า สีหน้าหนักใจ

 

ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น มรดกของวัดเส้าหลินก็ไม่สามารถถูกทำลายลง ไม่ว่าจะสูญเสียไปมากเท่าไหร่ก็ตาม

 

ทันใดนั้น

 

ที่นี่ตอนนี้

 

มีเสียงดังมาจากด้านนอกลานโพธิ์

 

“เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงบุกรุกเข้ามาในอาคารของลานโพธิ์?”

 

เสียงตะโกนเดือดดาลของสงฆ์ดังขึ้น

 

ด้านนอกอาคารมีภิกษุจำนวนมากคอยเดินตรวจตรา พบเจอร่างเงาคลุมเครือก็ปฏิบัติตัวราวกับเผชิญหน้าศัตรู

 

เนื่องจากการปิดด่านฝึกตนของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ลานโพธิ์ทั้งด้านบนและด้านล่างจึงถูกเฝ้าระวังโดยภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาเป็นเวลานานแล้ว

 

“หลีกทางออกไป”

 

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่ามาอธิบายทุกสิ่งอย่าง และรูปลักษณ์ของเขาก็ถูกซ่อนเร้นไว้ด้วยกำลังภายใน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครจดจำตัวตนของเขาได้

 

ฮึบ!!!

 

ซูฉินไม่ได้เร่งรีบหรือเอ้อระเหย แต่ทุกก้าวที่ก้าวออกล้วนมีแรงกดดันอันน่ากลัวครอบงำทุกผู้คน

 

ภายใต้แรงกดดันนี้ พระทุกรูปที่มองไปต่างก็รู้สึกว่าตรงหน้าเป็นทวยเทพแล้วพวกเขาเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ พลังภายในของพวกเขาหยุดนิ่ง และล้มลงหมดสติ

 

นี่เป็นเพราะซูฉินไม่ได้มีเจตนาฆ่า

 

มิฉะนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่พระรูปใดจะรอดชีวิตมาได้ในตอนนี้

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินก็มาถึงส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์

 

หัวหน้าตำหนักได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของพระสงฆ์ที่อยู่ด้านนอกอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อได้เห็นร่างที่คลุมเครือเดินเข้ามา การแสดงออกของแต่ละคนเปลี่ยนไปในทันที

 

ด้วยความไวเช่นนี้ พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัว ร่างเงาคลุมเครือจู่ๆ ก็บุกฝ่าเข้ามาได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาตระหนักดีว่าร่างตรงหน้าเป็นตัวตนที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

 

ภิกษุจำนวนมากที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกลานโพธิ์ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูงของวัดเส้าหลิน แม้แต่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอย่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ยังต้องใช้เวลาสักพักในการบุกฝ่าเข้ามา

 

แต่ร่างคลุมเครือตรงหน้านี่ล่ะ?

 

ไม่ใช่ว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็เข้ามาแล้ว?

 

ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวขนาดนี้คืออะไรกัน?

 

“ปล่อยข้าจัดการเอง!”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์คำรามลั่น ไอพลังพวยพุ่งขึ้นสูง และฟาดฟันเข้าหาซูฉินอย่างเลือดเดือด

 

หมัดนี้เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิตอันยาวนานและความแข็งแกร่งของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ มันเพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองต้านรับไว้ได้อย่างยากลำบาก

 

อย่างไรก็ตามท่ามกลางการเฝ้าดูของทุกสายตา เมื่อหมัดของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เข้าไปอยู่ในระยะสิบเมตรรอบตัวร่างเงาคลุมเครือ มันก็เหมือนกับติดอยู่ในหล่ม ถูกสกัดขังอยู่ในพื้นที่นั้นทันที

 

“อย่าได้สร้างปัญหา!”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย และปล่อยลมปราณออกมา

 

ฉับพลัน

 

อาณาเขตสนามพลังอันน่ากลัว บดบังท้องนภาและดวงอาทิตย์ ครอบคลุมไปทั่วลานโพธิ์ในทันที

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหมดเมื่อตกอยู่ในอาณาเขตนี้ก็เหมือนกับหนอนที่ติดอยู่ในอำพัน ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

 

ไม่เพียงเท่านั้น กำลังภายในของพวกเขาก็ดูเหมือนจะหวาดกลัวบางสิ่งในสักแง่มุม พลันหดตัวกลับเข้าตันเถียนและไม่กล้าที่จะออกมา

 

ฉากนี้ทำเอาหัวหน้าตำหนักทุกคนตกใจ

 

พวกเขาเป็นกลุ่มยอดยุทธในสามระดับบนไม่ใช่หรือ? ต่อให้ไปอยู่ในยุทธภพภายนอกก็นับว่าแข็งแกร่งระดับหนึ่ง

 

แต่ต่อหน้าซูฉินพวกเขาอ่อนแอราวกับเป็นเด็กทารก ฝ่ายตรงข้ามไม่แม้แต่จะยกมือขึ้น พวกเขาก็สิ้นความสามารถในการต่อกรเสียแล้ว

 

ความแข็งแกร่งระดับนี้ต้องบรรลุได้ถึงระดับไหนกัน?

 

หัวหน้าลานโพธิ์หนังศีรษะชาวาบ ตัวสั่นมองร่างที่รางเลือนด้วยความตื่นตระหนก

 

และในตอนนี้เอง

 

ซูฉินก็เดินผ่านหัวหน้าตำหนักที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไว้แล้วไปหาเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน