ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 45 ตำหนักหลีเจ๋อ (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตำหนักหลีเจ๋อตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเล สภาพภูมิประเทศอันตรายและลึกลับ หลายร้อยปีไม่แน่ว่าจะมีแขกมาเยือนแม้สักคน และหลีเจ๋อยังเป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ที่ร่วมงานชุมนุมปักบุปผา แต่ไม่อาสาเป็นผู้จัดงาน อีกสี่สำนักใหญ่ต่างรู้ว่ากฎธรรมเนียมสำนักเขามากมาย ยังต้องสวมหน้ากาก ยังห้ามใกล้ชิดอิสตรี ตั้งแต่มีงานชุมนุมปักบุปผามา มีศิษย์หญิงเข้าร่วมมากมาย ไม่ให้ผู้หญิงเข้าไป จะจัดงานกันอย่างไร 

 

 

ดังนั้นบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ตำหนักหลีเจ๋อก็แทบไม่ได้เคยสัมผัสกับคนนอก ในสำนักมีกฎว่าออกนอกสำนักต้องสวมหน้ากาก ในตำหนักไม่ถือสาเรื่องนี้ ดังนั้นบรรดาศิษย์ที่ไปเล่นน้ำกันริมทะเลก็ล้วนเปิดเผยใบหน้าแท้จริงและแขวนหน้ากากไว้ที่เอวกัน 

 

 

พวกเสวียนจีทั้งสามเหินกระบี่บุกเข้ามาด้วยความเร็วอย่างน่าประหลาด พอคนเฝ้าประตูมองเห็น คนก็มายืนอยู่เบื้องล่างของหอคอยหยกขาวคู่แล้ว บรรดาศิษย์พอเห็นคนนำมาเป็นหญิงสาวอายุน้อย ด้านหลังยังมีชายมีวัยพอสมควรท่าทางสกปรกรุงรังคนหนึ่ง เขายังเข็นรถเข็นมา บนรถเข็นมีชายวัยกลางคนหน้าตาดีท่าทางสะอาดสะอ้าน ทั้งสามเป็นคนนอก เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอคนนอกที่บุกเข้ามาอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ แต่ละคนพากันตกใจแข็งทื่อ แต่มีบ้างที่รู้ความ รีบสวมหน้ากากทันที 

 

 

พอเสวียนจีถึงพื้นก็ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ชักกระบี่ออกมา ชี้ไปยังบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ที่ถอดเสื้อเล่นน้ำด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ปล่อยอวี่ซือเฟิ่งมา!” 

 

 

ศิษย์อายุน้อยแต่ไรมาไม่เคยออกจากตำหนัก วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าสตรีหน้าตาเป็นเช่นไร เสวียนจีแม้ว่าหน้าตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ถือกระบี่ข่มขู่ แต่หน้าตางดงาม รูปร่างอรชร ทุกคนจึงพากันตะลึงกันนานมาก นางถามติดๆ กันก็ไม่มีคนตอบ ในใจร้อนใจยิ่ง จึงตวัดกระบี่ออกไปฟาดน้ำแตกกระเซ็นเป็นวงกว้างรดโดนตัวพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็ตกใจได้สติ บ้างก็ส่งเสียงร้องโวยวายลนลานมือไม้สั่นสวมหน้ากาก ไม่มีคนตอบนางสักคน 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนมองเสวียนจีโมโหจนแทบขาดสติแล้ว จึงรีบถอนใจกล่าวว่า “โอย ค่อยๆ ค่อยๆ! ที่นี่อย่างไรก็เป็นพื้นที่คนอื่นเขา เจ้าต้องทำตามธรรมเนียมเขา แขกต้องทำตามเจ้าบ้าน หลักการนี้ไม่เข้าใจ?” 

 

 

กล่าวจบตนเองก็รีบกระชับสาบเสื้อที่แหวกออกปิดทับเข้าหากัน จัดแต่งผมเฝ้ารุงรังที่ไม่เคยหวีมาสิบปีได้ เดินเข้าไปท่าทางสบายๆ กล่าวกับศิษย์ที่เฝ้าประตูและกำลังอึ้งหลายคนนั้นว่า “แขกมาเยือน ขอพบเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ รบกวนน้องชายไปรายงานสักหน่อย” 

 

 

บรรดาศิษย์เฝ้าประตูมองสภาพดูไม่ได้เรื่องยากจะบรรยายของเขา ในใจก็อดรังเกียจไม่ได้ กอปรกับเสวียนจีที่มาถึงก็เอาเรื่องทันที ก็ยิ่งไม่อยากไปรายงาน กล่าวทันทีว่า “เจ้าตำหนักออกไปนอกเกาะ ไม่อยู่ตำหนัก เชิญทุกท่านกลับไป วันหน้าค่อยมา” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “จะหลอกข้า? หากเจ้าตำหนักไม่อยู่ โคมไฟสองปีกข้างตำหนักนั่นจะสว่างหรือ” 

 

 

เขาชี้ไปทางซ้ายของหอคอยหยกขาว ดังคาด เหนือเสาหยกขาวคู่นั้น บนหอคอยหยกขาวสูงๆ นั่น มีศาลาหลังเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ในศาลาไม่มีอะไรนอกจากตะเกียงฉางหมิง แสงตะเกียงสว่าง เปลวไฟเต้นไหว บรรดาศิษย์เห็นว่าเขาถึงกับรู้ธรรมเนียมตำหนักหลีเจ๋อ อดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ เป็นที่รู้กันในตำหนักว่าสองหอคอยคู่ซ้ายขวา แสดงถึงเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนัก โคมไปทางซ้ายแสดงถึงตำหนักเจ้าตำหนักใหญ่ ทางขวาแสดงถึงตำหนักรองเจ้าตำหนัก ส่วนใหญ่มีแต่คนตำหนักหลีเจ๋อถึงจะรู้ธรรมเนียมที่ไม่ได้มีกำหนดในประเพณีทั่วไปนี้ หลิ่วอี้ฮวนเป็นคนนอกถึงกับรู้กระจ่าง ไม่อาจไม่ตกใจตกใจระคนสงสัย 

 

 

ดังคาด พอเขาถาม ทุกคนพากันระวังตัว มองพวกเขาทั้งสามอย่างละเอียด หนึ่งในนั้นกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าตำหนักสั่งไว้ ไม่ว่าผู้ใดมาก็ห้ามเข้าตำหนัก ขอท่านทั้งสามรีบกลับไป! อย่าได้ลบหลู่หนักหลีเจ๋อ!” 

 

 

กล่าวจบก็มองเสวียนจี กล่าวอีกว่า “สตรียิ่งไม่อาจเข้าตำหนักหลีเจ๋อแม้แต่ครึ่งก้าว! นี่เป็นกฎเหล็ก! รีบกลับไปเดี๋ยวนี้!” 

 

 

เสวียนจีกำลังอัดอั้นแทบระเบิดออกมาอยู่แล้ว แต่พยายามสะกดกลั้นไว้ พอเห็นคนผู้นั้นไม่เกรงใจเช่นนี้ ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่เปิงอวี้ในมือส่งเสียงดังวิ้งๆ ไอกระบี่เต็มพลัง รอเพียงเจ้านายออกกระบวนท่าแทงคนผู้นั้นให้แหลกลาญ 

 

 

บรรดาศิษย์เห็นนางจะลงมือก็พากันชักอาวุธออกมา สองฝ่ายพลันเผชิญหน้ากัน ต่างไม่ยอมถอย หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะเฝื่อนกล่าวว่า “นี่ นี่! ตำหนักหลีเจ๋อหลังๆ นี่ระเบียบยิ่งเยอะนะ! เจ้าตำหนักไม่ใช่ฮ่องเต้ ไหนเลยต้องเข้าพบยากเช่นนี้! ข้าดูหน่อย…อ้อ ที่เอวพวกเจ้ามีป้ายสีม่วง ศิษย์รุ่นเจ็ดแล้ว เจ้าตำหนักก็แค่รุ่นสอง นับว่ายังสู้ข้าไม่ได้ ไม่ให้เขามาต้อนรับข้าก็นับว่าเกรงใจมากแล้วนะ!” 

 

 

ทุกคนมองเขา รู้ได้อย่างไรว่าป้ายที่เอวใช้สีแยกรุ่น ก็ยิ่งสงสัย ตำหนักหลีเจ๋อไม่เหมือนสำนักอื่นที่ใช้อักษรชื่อมาแยกรุ่น เหมือนเส้าหยางที่แยกรุ่นอักษรเจิน รุ่นอักษรหมิ่นพวกนั้น แต่ตำหนักหลีเจ๋อใช้สีแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง มาแยกรุ่นศิษย์ เจ็ดรุ่นวนหนึ่งรอบ ศิษย์เวรยามเหล่านี้แขวนสีม่วง ก็ย่อมเป็นศิษย์รุ่นเจ็ด ลำดับถัดไปที่แปดเก้าก็ใช้สีแดง ส้ม เริ่มนับใหม่ 

 

 

“เจ้า…เจ้าเป็นใคร?!” ศิษย์เฝ้าประตูในที่สุดอดถามน้ำเสียงดุดันไม่ได้ ยามนั้นหันไปส่งสัญญาณให้คนข้างๆ ให้ล้อมพวกเขาทั้งสามไว้ หากพูดจาผิดหูคำเดียวก็จะจับพวกเขาไปให้หน่วยลงทัณฑ์จัดการ 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนไม่สนใจ หัวเราะแหะๆ คลำกายไปมา คว้าเอาป้ายสกปรกแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อที่สกปรกเลอะเทอะ “อะ ดู นี่คืออะไร” 

 

 

ในฝ่ามือเขามีป้ายแผ่นหนึ่ง สีแดงสด บนป้ายมีลงทองอักขระปีเดือน คนเหล่านั้นพอเห็นก็ตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน ป้ายสีแดงก็แสดงว่าเขาเป็นศิษย์รุ่นหนึ่งตำหนักหลีเจ๋อ ก็คืออาวุโสกว่าเจ้าตำหนักตอนนี้เสียอีก อาวุโสที่ตอนนั้นมีป้ายแดงได้ก็หลบเร้นซ่อนกายไปนานแล้ว พวกผู้อาวุโสนี้แม้แต่เจ้าตำหนักยังต้องเคารพพวกเขา คนผู้นี้แต่ไรมาไม่ได้อยู่ตำหนักหลีเจ๋อ จะมีป้ายได้อย่างไร 

 

 

บรรดาศิษย์เวรยามเริ่มหวั่นไหวเสียงเริ่มแตก บ้างก็ว่ารีบไปรายงานเจ้าตำหนัก บ้างก็ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด คิดว่าป้ายนี้เขาขโมยมา เสนอว่าให้จัดการจับตัวพวกเขาไว้ สองฝ่ายขัดแย้ง ไม่ทันได้สนใจพวกเขาทั้งสามคน บรรยากาศเคร่งเครียดเมื่อครู่หายไปอย่างไม่ทันรู้ตัว 

 

 

“เชอะ เจ้าพวกไม่รู้จักโลกภายนอก!” หลิ่วอี้ฮวนเบ้ปาก “คนไม่เอาไหนสอนศิษย์ออกมาก็ไม่เอาไหนพอกัน ชิๆ เหมือนที่คิดไว้เลย ตอนนั้นไปจากที่นี่ไม่ผิดเลย! ฉลาดจริง!” 

 

 

เสวียนจีอดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “พี่หลิ่ว…ป้ายนั่น หรือว่าของจริง? เมื่อก่อนท่านเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ?” 

 

 

“หรือว่ายังปลอมได้!” หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่ โมโหฮึดฮัดกล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าคือคนตำหนักหลีเจ๋อ แต่นั่นมันเมื่อก่อน! ไม่เช่นนั้นจะรู้จักเฟิ่งหวงน้อย? ข้าผูกพันกับเขาลึกซึ้งอยู่นะ!” 

 

 

เสวียนจีอยากถามมากว่าเขาตอนนั้นหนีออกจากตำหนักหลีเจ๋อและไม่โดนลงโทษได้อย่างไร แต่ยังไม่ทันได้ถามก็เห็นประตูมีเสียงเอะอะดังมา ตามมาด้วยเสียงดุดันหหยาบคายว่า “ผู้ใดมาเหิมเกริมหน้าประตูตำหนักหลีเจ๋อ?!” 

 

 

บรรดาศิษย์ที่เริ่มไม่เป็นระเบียบวุ่นวายกันอยู่นั่นพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน หันไปคุกเข่าลง กล่าวพร้อมกันว่า “คารวะอาวุโสหลัว!” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนจ้องมองไป เห็นเพียงประตูหน้ามีศิษย์ชุดครามกรูกันออกมา คนเป็นหัวหน้าสวมหน้ากากอสุราสีแดงเพลิง ร่างผอมบาง วางท่าทางสูงส่งยิ่ง เชิดหน้ายืดอกท่าทางอวดเบ่ง เสวียนจีเห็นเขาก็อดส่งเสียง “อา” ขึ้นเสียงหนึ่งไม่ได้ หลิ่วอี้ฮวนรีบกล่าวว่า “ทำไม เจ้ารู้จักเขา?” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ครั้งก่อนที่ยอดเขาเสี่ยวหยาง เขาตามหลังเจ้าตำหนัก ท่าทางดุร้าย เอาแต่ตวาดว่าจะลงโทษซือเฟิ่ง” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น เขาคืออาวุโสหลัวแห่งสำนักลงทัณฑ์ ย่อมต้องลงทัณฑ์ให้ชัดเจน เจ้าอย่าเห็นท่าทางเขาอย่างนี้ เขาร้ายกาจไม่น้อยนะ! พวกที่ถือป้ายแดงได้ สองเจ้าตำหนักยังต้องเกรงเขาอยู่สามส่วน เดี๋ยวเขาจำข้าได้ ย่อมต้องโมโหฟ้าผ่า ย่อมมีละครสนุกให้ชม เจ้ารอดูแล้วกัน” 

 

 

เขาโมโหฟ้าผ่า และยังมีมีละครสนุก? ดีไม่ดีคงได้ตะลุมบอน ช่างไม่กลัวว่าใต้หล้าจะสงบสุขเสียจริง 

 

 

อาวุโสหลัวเดินเข้ามา มองไปทางเสวียนจีก่อน พลันกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ตำหนักหลีเจ๋อไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้า! แม่นางท่านนี้รีบออกไป ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่ไว้หน้าเจ้าสำนักฉู่แห่งสำนักเส้าหยาง!” 

 

 

ในใจเสวียนจีพลันสะดุ้ง ร้อนใจกล่าวว่า “ท่านจำข้าได้!” 

 

 

อาวุโสหลัวยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “บุตรสาวเจ้าสำนักฉู่ ฝีปากกล้า ไยข้าจะจำไม่ได้!” 

 

 

ที่แท้เขาใจแคบเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้! เสวียนจีอดตกใจไม่ได้ ครั้งนั้นที่ยอดเขาเสี่ยวหยางวู่วามไปนิดหน่อย ตอนนั้นตนเองก็เป็นแค่เด็กน้อย ผ่านมาสี่ปีหน้าตาแปรเปลี่ยน แต่เขาถึงกับมองแวบเดียวก็จำได้ เห็นชัดว่าเขาจดจำฝังใจมาตลอด เป็นแบบฉบับของผู้จิตใจคับแคบเสียจริง 

 

 

อาวุโสหลัวกล่าวอีกว่า “อวี่ซือเฟิ่งเป็นศิษย์สำนักเรา เรื่องของเขาย่อมเป็นสำนักเราตัดสิน ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมายุ่ง ตอนนี้ครบกำหนดเวลาที่เขาออกไปฝึกฝนตนแล้ว ย่อมต้องกลับตำหนักหลีเจ๋อ ทุกคนคิดอยากพบ ก็ต้องรอให้วันหน้ามีวาสนาแล้ว!” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนมองเขาพูดยึกยักเป็นนาน ยังจำตนเองไม่ได้ อดอึ้งตาค้างไม่ได้ เดิมเขาตั้งท่าไว้แล้วว่าหากเขาจำตนได้ ตนจะทำท่าตกใจอย่างไร ผู้ใดจะรู้ว่าเขาถึงกับจำไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจ กล่าวว่า “เหล่าหลัวเอ๊ย ไม่เจอกันหลายปี ปากเจ้ายังไม่ดีเหมือนเดิม” 

 

 

อาวุโสหลัวได้ยินเขาเรียกเช่นนี้ ก็ตัวสั่นเทิ้ม เดินวนรอบหนึ่งมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหลุดเสียงออกมาว่า “เจ้าเอง! เจ้า…เจ้าถึงกับกล้ากลับมา!” 

 

 

เสียงเขาเดิมก็ฟังดูเหมือนตวาดดุดันอยู่แล้ว พอมาส่งเสียงตวาดแหลมเช่นนี้อีก ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกเข็ดฟัน หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดัง “จำข้าได้แล้วสิ! ข้ามีอันใดไม่กล้ากลับมา? ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!” 

 

 

อาวุโสหลัวมองเห็นเขาก็เหมือนกับแค้นเก่าแค้นใหม่ประดังเข้ามา น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเจ้าแอบยุยง! เชอะ! ทำเรื่องผิดบาปในใจหรือไม่เจ้ารู้ตัวเจ้าเอง! ผู้ใดทำให้อดีตเจ้าตำหนักโมโหจนตาย เจ้ารู้ดีที่สุด! ตอนนี้เจ้า…ตอนนี้ก็ได้สมใจแล้ว กลับมาทำไม รนหาที่ตาย?!” 

 

 

กล่าวจบเขาก็มองเสวียนจี ก่อนจะมองไปยังถิงหนูข้างๆ ที่สีหน้าไร้ความรู้สึก ได้แต่โมโหจนตัวสั่นเทิ้มตวาดว่า “กบฏแท้! เจ้ายังมีหน้ากลับมา กลับมาครั้งนี้ถึงกับมาก่อเรื่อง! ตอนนั้นไม่ได้ฟันศิษย์ทรยศเช่นเจ้าตายคากระบี่ วันนี้ข้าจะต้องเอาเลือดเจ้าเซ่นบูชาอดีตเจ้าตำหนัก!” 

 

 

ได้ยินเสียง ชิ้ง ดังขึ้น เขาชักกระบี่ที่เอวออกมา กระบี่นั่นถึงกับโค้งงอราวกับงูสีครามวาว รูปร่างประหลาด หลิ่วอี้ฮวนหันกลับไปหัวเราะน้ำเสียงน่ารังเกียจกับเสวียนจี กล่าวเบาๆ ว่า “เห็นหรือยัง ข้าบอกแล้ว ละครมาแล้ว”