ละครอะไร เห็นชัดว่าลงมือกัน! เสวียนจีมองเขาด้วยสีหน้าอยากจะด่า อย่างไรต้องรับมือแล้ว ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ เปิดศึกกับศิษย์อายุน้อยเทียบกับเปิดศึกกับผู้อาวุโสแตกต่างกันตรงไหน ดีไม่ดีทุกคนจะพังกันหมด
หลิ่วอี้ฮวนหาเรื่องจนคนเขาจะลงมือแล้ว เขาเองกลับไปหลบหลังเสวียนจี ตะโกนว่า “ช่วยด้วย! เสวียนจีน้อย! คนชั่วลงมือแล้ว!”
อา บางครั้งก็แทบอยากจะใช้กระบี่ฟาดให้คนผู้นี้สลบไปจริงๆ
เสวียนจีมองแสงกระบี่อาวุโสหลัวเบื้องหน้า พลันกัดฟันรับมือ กระบี่เปิงอวี้กับกระบี่นั่นปะทะกันเสียงดังกึกก้อง ประกายแสงสว่างวาบ กลับกำราบให้กระบี่อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบได้ อาวุโสหลัวเห็นกระบี่เทพศาสตราเปิงอวี้ครั้งแรก อดตะลึงไม่ได้ ไม่ทันป้องกันมือซ้ายนางที่ฟาดเข้าที่ไหล่ตน
แต่เขาไม่อาจไม่ออมมือ อาวุโสหลัวคิดว่าตนเองคือผู้อาวุโสตำหนักหลีเจ๋อ ไหนเลยจะลงมือกับเด็กผู้หญิงให้เสียเกียรติ เขาจึงไพล่มือทั้งสองเก็บไว้ด้านหลังยืนตรงข้ามโมโหมองหลิ่วอี้ฮวน ตวาดว่า “ไอ้คนไร้ยางอาย! ยังไม่รีบออกมา! ไปหลบหลังเด็กผู้หญิง ใช้ได้ที่ไหนกัน!”
หลิ่วอี้ฮวนเดิมก็เป็นคนไร้ยางอายหน้าหนาอยู่แล้ว ได้แต่ฟังวาจาเขาดังขี้หูกองหนึ่ง หัวเราะกล่าวว่า “ผู้ชายก็คน เด็กผู้หญิงไม่ใช่คนหรือ ข้าชอบหลบหลังนาง ข้าไม่ออกไป แน่จริงก็เข้ามาจับข้าเอาเลือดไปเซ่นบูชาอดีตเจ้าตำหนักสิ!”
อาวุโสหลัวโมโหจนมือสั่นเทิ้ม หากเขาหน้าด้านคิดหลบหลังเสวียนจีจริงๆ ตนเองก็ไม่อาจทำอะไรเด็กผู้หญิง ดังนั้นจึงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เอาเถอะ เจ้าคนชั่วช้าสามานย์ไม่คู่ควรให้ข้าต้องลงมือเอง ยังจำได้ไหมว่าตอนนั้นเจ้ากลัวอะไรที่สุด วันนี้จะให้เจ้ารู้ว่าพวกมันโตแค่ไหนแล้ว!”
เขาสะบัดกระบี่ทีหนึ่งแทงลงไปในพื้นทรายอย่างแรง ตบด้ามกระบี่ในมืออีกทีหนึ่ง กระบี่นั่นถึงกับถูกเขาใช้แรงตบแทงทะลุลงไปในพื้นทราย หลิ่วอี้ฮวนสีหน้าแปรเปลี่ยนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่กระมัง! เขาคงไม่เอาเจ้าพวกนั้นมาเลี้ยงเป็นสัตว์ภูตกระมัง?!” วาจาไม่ทันจบ เห็นเพียงบรรดาศิษย์เบื้องหน้าวิ่งกรูกันที่ประตูใหญ่ ราวกับท้องทะเลอยู่ๆ มีสัตว์ประหลาดปรากฏกาย
กลางท้องทะเลแผดเสียงคำราวราวอสุนีบาต คลื่นมหึมากระแทกส่งเสียงดัง เม็ดทรายริมหาดราวกับเม็ดข้าวในหม้อที่ถูกสะบัดไปมา ทั้งสามตกใจหันกลับมองเห็นเพียงทะเลเงียบสงบก่อนหน้ากลายเป็นเดือดพล่านม้วนตัวไปมาไม่หยุด ฟองคลื่นขาวซัดสาด ก็ไม่รู้ข้างใต้นั้นมีสัตว์ประหลาดอะไรซ่อนอยู่ ราวกับกำลังกระแทกจะออกมา
อยู่ๆ แขนเสวียนจีก็ถูกหลิ่วอี้ฮวนบีบแน่น มือเขาสั่นเทาเล็กน้อย ที่แท้ไม่ใช่แกล้งไม่ออกมา แต่ว่ากำลังกลัวอยู่จริงๆ!
“เจ้า…พวกเจ้าต้องระวัง! ไอ้พวกนั้น…น่ากลัวมาก!”
เสวียนจีเห็นวาจาเขาเริ่มสั่น อดกล่าวเบาๆ ไม่ได้ว่า “พี่หลิ่ว…ท่านกลัวขนาดนั้นเลย?”
หลิ่วอี้ฮวนโมโหกล่าวว่า “เหลวไหล! หากไม่ใช่เพราะผีน้อยเช่นพวกเจ้าทำร้ายดวงตาสวรรค์ข้า ตอนนี้ยังโต้ตอบได้ข้าจะกลัวทำไม! ล้วนเพราะพวกเจ้าไม่ดี! ล้วนเป็นความผิดพวกเจ้า!”
เขาพ่นออกมาเป็นชุดแทบไม่หายใจ ถิงหนูที่นิ่งสงบอยู่ข้างๆ พลัน “ฮึ” ขึ้นเสียงหนึ่ง “งูฮว่าเสอ?” นั่นเป็นปีศาจใช้ชีวิตในทะเลสาบ จะมาอยู่ในทะเลได้อย่างไร
หลิ่วอี้ฮวนร้อนใจกล่าวว่า “มันนั่นแหละ! ไอ้พวกนี้น่ารังเกียจ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามาใช้ชีวิตในทะเล! เทียบกับในทะเลสาบแล้วใหญ่กว่าสิบเท่า ไม่ทันระวังแตะโดนหน่อยก็ทำเอาตัวเน่าเฟะไปหมด!”
ถิงหนูกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ต้องตกใจ พวกเจ้ามานี่”
เขาตบมือขึ้นท้องฟ้าเบาๆ พลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ตังคัง กั้นอาณาเขตเวท” วาจาจบลง ที่เท้าเขาก็มีสุกรน้อยท่าทางประหลาดขนดกเต็มตัวตัวหนึ่งปรากฏขึ้น เสวียนจีพลันนึกถึงวันนั้นที่ได้เห็นเขาที่จวนตระกูลโจว นั่นเป็นหนึ่งในสองปีศาจน้อยที่ถิงหนูเลี้ยงไว้ ยังมีนกชิงเกิงอีกตัว
ตังคังได้ยินเจ้านายสั่ง ปากก็ร้องรับเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง ทั้งสามถูกครอบด้วยแสงสีเขียวชั้นเบาบางในทันที หลิ่วอี้ฮวนจึงหายกลัว ยกมือแตะอาณาเขตเวท เบาบางราวกับไม่มีอะไร นิ้วมือลอดผ่านออกไปได้อย่างง่ายดาย
“เจ้านี่ใช้การได้หรือ” เขาสงสัยมาก
ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หากไม่เชื่อเจ้าออกไปหาที่หลบซ่อนเองได้ตลอดเวลา”
“เชื่อสิ! โอย พี่น้องกันทั้งนั้น ข้าจะไม่เชื่อได้อย่างไร!” เขารีบคว้าคอถิงหนูแสดงท่าทางสนิทสนม ถิงหนูยิ้มเล็กน้อย หันไปมองทะเลใหญ่ที่โหมกระหน่ำไม่หยุด กล่าวเบาๆ ว่า “จะออกมาแล้ว ข้าก็ไม่เคยเห็นงูฮว่าเสอที่เติบโตในท้องทะเล วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
เขาทั้งสองคนพูดจากันไม่หยุด เสวียนจีได้แต่ขมวดคิ้ว จ้องมองไปยังท้องทะเลที่บ้าคลั่ง พลันได้ยินเสียงร้องแสบแก้วหู ถึงกับเป็นอีกาหมื่นพันตัวที่ส่งเสียงพร้อมกัน อยู่ๆ ท้องทะเลก็มีลำแสงสีดำขนาดใหญ่สามสี่สายทะลุขึ้นมา ซัดส่ายไม่หยุด นั่นก็คืองูฮว่าเสอ! ทั้งสามจ้องมองอย่างตกตะลึง
ลำตัวของมันขนาดเท่าต้นไม้พันปีได้ ตัวกลมดำขลับมันวาว มองผ่านๆ เหมือนงู ตรงใกล้หัวมีดวงตาใหญ่เหมือนปลาโปร่งแสงคู่หนึ่ง บนหลังมีปีกขนาดใหญ่สามคู่ เขี้ยวแหลมคม ใบหน้าดุดันถมึงทึง จะใช้คำพูดประจำหลิ่วอี้ฮวนมากล่าวก็ได้ว่า แค่มองก็รู้ไม่ใช่ของดี
งูฮว่าเสอรับคำสั่งนายตื่นขึ้นจากท้องทะเลลึก พอพ้นน้ำมาก็พุ่งเข้าปะทะอาณาเขตเวท ทั้งสามมองบรรดาหัวมหึมาของงูฮว่าเสอพุ่งเข้ามา แยกเขี้ยวพยายามงับอาณาเขตเวท จะเขมือบพวกเขาลงไปในคำเดียว ในปากไม่รู้มีหนามคมเท่าไรยุ่บยั่บไปหมด ทำเอาคนขนหัวลุกชัน
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่หนาวสันหลังวาบ แม้อาณาเขตเวทตังคังจะป้องกันการโจมตีของงูฮว่าเสอได้ แต่ไม่อาจกันกลิ่นเหม็นอับและความน่าสะพรึงได้ เห็นปีศาจใหญ่เช่นนี้ในระยะใกล้ ปากกว้างมาก ผู้ใดก็ย่อมตกใจแทบตาย
หลิ่วอี้ฮวนเองก็ตกใจจนสองขาอ่อนยวบ กล่าวติดๆ กันว่า “มารดามันสิ โตขนาดนี้แล้ว! ไอ้นี่โตขนาดนี้แล้ว?!” ยังกล่าวไม่ทันจบ รู้สึกเพียงแค่ข้างๆ มีปากกว้างของงูฮว่าเสออีกตัวพุ่งมา เขารีบตะกุยตุกายไปข้างกายถิงหนู คว้าเสื้อผ้าเขาไว้แน่นไม่ปล่อยมืออีกเลย
งูฮว่าเสอพวกนั้นโจมตีพักหนึ่ง พบว่าไม่อาจทำลายอาณาเขตเวทได้ ได้แต่รามือบินวนฉวัดเฉวียนโดยรอบแทน บนหลังมันแม้ว่ามีปีก แต่บินได้ไม่สูง ห่างจากพื้นได้แค่ราวสามฉื่อ บินได้ไม่นานนัก ก็ต้องกลับลงทะเลแผดเสียงร้องไม่หยุด
อาวุโสหลัวด้านหลังยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ไม่เลว มีความสามารถเหมือนกันนี่! ข้าจะดูซิว่าอาณาเขตเวทเจ้าจะยันได้ถึงเมื่อไร!”
ฝ่ามือเขาตบลงบนพื้นทรายอีกที งูฮว่าเสอหลายตัวราวกับได้รับยาวิเศษถึงกับมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมาทันที ท้องทะเลเดือดพล่าน ทั่วท้องทะเลถูกมันปั่นโหมกระหน่ำไม่หยุด ก็ไม่รู้ปูปลาตายไปเท่าไร ถิงหนูมองมันอ้าปากพ่นน้ำสีดำออกมาจำนวนมาก กลิ่นคาวเหม็นตลบไปทั่วท้องฟ้าในบัดดล เขารีบตบหัวตังคัง สั่งเบาๆ “เพิ่มอาณาเขตเวทอีกชั้น”
น้ำสีดำพวกนั้นไหลสาดลงมาราวสายฝน ตกลงบนพื้นส่งเสียงแปะๆ กัดกินพื้นทรายกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ในทันที แม้ทุกคนอยู่ในอาณาเขตเวท แต่มองเห็นสภาพนี้แล้วก็อดตกใจไม่ได้ หากมีผิวหนังโผล่ออกไปแม้เพียงนิดเดียวก็ย่อมไม่อาจหลบพ้น ได้แต่ตายสถานเดียวแล้ว
อาวุโสตำหนักหลีเจ๋อถึงกับเลี้ยงสัตว์ภูตร้ายกาจเช่นนี้ได้ ช่างน่ากลัวจริงๆ เสวียนจีคิดถึงสัตว์ภูตวิหคเทพหงหล่วนที่บิดาเลี้ยง เกรงว่าหากสองฝ่ายปะทะกัน วิหคเทพหงหล่วนก็สู้งูฮว่าเสอนี้ไม่ได้
บรรดางูฮว่าเสอพ่นน้ำสีดำออกมาไม่หยุดแม้สักนาที ถิงหนูขมวดคิ้วกล่าวว่า “เช่นนี้ไม่ได้การ หากไม่กำจัดบรรดางูฮว่าเสอนี้ พวกเราก็จะถูกขังให้ตายอยู่ที่นี่”
เขาเงยหน้ามองเสวียนจี นางคิ้วขมวดแน่นกุมกระบี่จ้องมองงูฮว่าเสอ
ถิงหนูพลันกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี ตอนนี้เจ้ายังเรียกอัคคีสมาธิจิตออกมาได้ไหม”
เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่ง ลังเลกล่าวว่า “เสกไฟย่อมไม่มีปัญหา…แต่อัคคีสมาธิจิต? นั่นคืออะไร”
“เจ้าไม่ต้องสนใจ” ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อยากช่วยซือเฟิ่งออกมาไหม”
“แน่นอน!”
“งูฮว่าเสอพวกนั้นให้เจ้ารับมือ ให้พวกเขาได้เห็นความแน่วแน่ของเจ้า”