โลกเดิม

ขั้วโลกเหนือ

กระท่อมบนภูเขา

ดวงตาคู่หนึ่งลืมขึ้นขณะมองรอบข้าง

ความมืดไร้พรมแดนปกคลุมรอบทิศ

เสียงพึมพำนับไม่ถ้วนดังระงม

ดูท่าจะมีเจตจำนงจำนวนมากอยู่ข้างกาย กระตือรือร้นที่จะให้ปลดปล่อยพวกมัน

อยาก…ฆ่า…

ฉับพลันนั้นเอง ในความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อึกทึกพลันดังขึ้น

เสียงดังช่างคุ้นเคย มันปิดกั้นเสียงอื่นก่อนปลุกความทรงจำของเขาขึ้นมาทันที

ใช่แล้ว…

นี่คือเกมที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด

ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อึกทึกมาจากด่านที่สองของเกม เมื่อสัตว์ประหลาดทรงพลังที่สุดปรากฏตัวขึ้นจากชั้นล่างสุด เสียงดนตรีที่คุ้นเคยจะดังขึ้น

เพื่อเอาชนะสัตว์ประหลาดนั่นนั้นง่ายมาก แค่ต้องกระโดด โจมตี กระโดด หลบ จากนั้นทำตามกระบวนการนี้ซ้ำไปมา ให้ความสนใจกับการปล่อยท่าใหญ่เมื่อถึงเวลาเหมาะเจาะ

ฉับพลันนั้นเอง ดนตรีถูกบิดเบือนไปสักพัก จากนั้นจึงหายไปอย่างสมบูรณ์

อะไรกัน

ด้วยด่านที่ง่ายปานนี้ ยังมีคนที่แพ้อีกอย่างนั้นหรือ

เขาอดที่จะยื่นมือเพื่อผลักเบาๆ ไปที่ความมืดไม่ได้

โลงศพที่เต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อนถูกเปิดออก

เย่เฟยหลีกระโดดออกจากโลงศพ

หลังจากเห็นฉากรอบข้างชัดเจน เขาพลันแข็งทื่ออยู่กับที่

ชายคนหนึ่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำนอนอยู่บนพื้นตรงหน้าเตาผิง ในมือถือขวดไวน์ว่างเปล่าเอาไว้ เขาอยู่ในสภาพหลับใหล

อีกด้าน เด็กผู้หญิงร่างเพรียวสวมชุดไหมสีดำกับกระโปรงสั้นและหูแมวหันหลังให้เขาขณะพยายามควบคุมเกมคอนโทรลเลอร์ในมือ

“ใส่เสื้อผ้าก่อน จากนั้นค่อยคุย หลังจากวิวัฒนาการเสร็จหนึ่งขั้น ผิวจะขาวขึ้นจนดูมีเนื้อหนังขึ้นมา”

เด็กผู้หญิงทิ้งประโยคดังกล่าวโดยไม่เหลียวหลังมามอง

เย่เฟยหลีถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้สวมอะไรเลย

เขารีบมองรอบข้าง

เขาเห็นชุดเสื้อคลุมวางซ้อนอยู่ข้างโลงศพที่เขาเคยอยู่อย่างเป็นระเบียบ

หลังจากสวมเสื้อผ้าสองสามชิ้น เย่เฟยหลีเดินมานั่งลงข้างเด็กผู้หญิง

“เสี่ยวเมียว”

“เรียกว่าพี่เมียว”

“อา ได้ พี่เมียว ด่านเมื่อครู่จะผ่านด้วยวิธีนั้นไม่ได้หรอกนะ” เย่เฟยหลีกล่าวอย่างจริงจัง

ที่เขาจำได้คือเด็กผู้หญิงหูแมวผู้แผ่กลิ่นอายความไร้เดียงสาและความตุ้งติ้งออกมาคือเสี่ยวเมียวจากสโมสรหมัดเหล็ก

นางคือสมาชิกของสโมสรและเป็นเด็กใหม่

เมื่อได้ยินดังนี้ เสี่ยวเมียวยื่นที่จับไปยังมือของเขาแล้วกล่าวว่า “เลือดข้าเหลือไม่มากแล้ว แบบนี้จะยังผ่านด่านหรือเปล่า”

“ถ้าเป็นคนอื่นก็ไม่ แต่กับยอดฝีมืออย่างข้าก็ไม่มีปัญหา!”

เย่เฟยหลีกล่าวด้วยกำลังใจอันเต็มเปี่ยม

ว่าไปนั่น ด่านที่ง่ายขนาดนี้ หลับตาเล่นเขาก็ยังผ่านเลย

เขาคว้าด้ามจับมาก่อนเริ่มควบคุมตัวละครบนจออย่างระมัดระวัง พยายามหลีกเลี่ยงการโจมตีของสัตว์ประหลาดพร้อมมองหาโอกาสที่จะสวนกลับ

หลังจากผ่านไปหลายวินาที

ตัวละครบนจอโดนโจมตีอีกครั้ง ทำให้เลือดหมดหลอด

เย่เฟยหลีเลิกคิ้ว

นี่มันช่างน่าอดสูเสียจริง

แต่เป็นความจริงที่เหลือเลือดไม่มาก หากโดนโจมตีอีกครั้งก็จะตาย

มีอย่างที่ไหนที่คนอย่างเขามาเล่นแพ้ต่อหน้าพี่เมียว

ไม่ ต้องแสดงฝีมือที่แท้จริงให้ได้เห็นสิ!

เย่เฟยหลีเข้าสู่โหมดตั้งใจเล่น

ในขณะเดียวกัน ใบหน้าน่ากลัวจำนวนนับไม่ถ้วนวูบไหวในความว่างเปล่าด้านหลังของเขาขณะพยายามพุ่งเข้ามาที่ร่างกาย แต่มันพวกมันถูกปิดกั้นด้วยพลังที่มองไม่เห็นจนไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้แต่นิดเดียว

เย่เฟยหลีไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ

เสี่ยวเมียวจ้องจอ แต่นางยังคงขยับนิ้วไปมาขณะโยนใบหน้าชุ่มโลหิตหน้าแล้วหน้าเล่าออกไปในความว่างเปล่า

แบร์รี่ลืมตาขึ้นขณะพ่นลมออกจมูก เขาจ้องมองใบหน้าชุ่มโลหิตอย่างไม่ใส่ใจ

เมื่อผู้ทำลายล้างโลกใกล้เข้ามา เขาจะแยกความปรารถนาชั่วร้ายอันไม่มีที่สิ้นสุดออกมา มีทั้งวิญญาณที่คนตายและวิญญาณที่ปรารถนาจะควบคุมร่างกายเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าผู้ทำลายล้างโลกถูกครอบงำโดยวิญญาณคนตาย เขาจะเสียเหตุผลและอารมณ์จนกลายเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างสมบูรณ์

ผู้ทำลายล้างโลกจะสังหารทุกชีวิตในโลกและจะวิวัฒนาการขึ้นใหม่ด้วยแก่นพลังของโลกทั้งใบจนกลายเป็นผู้ทำลายล้างโลกที่แข็งแกร่งขึ้น

โชคยังดี

ที่เสี่ยวเมียวและแบร์รี่อยู่ที่นี่

พวกเขาคอยปกป้องเย่เฟยหลี

อย่างสุดความสามารถ

หลังจากสภาพของเย่เฟยหลีคงที่แล้วจึงสามารถส่งตัวไปหอคอยหมื่นอาณาจักรเพื่อขัดเกลาความสามารถ

ย้อนเวลากลับไปหลายหมื่นปีก่อน

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

ในภาพซ้อนทับแห่งเวลา

นอกสวรรค์

ตำหนักราชาเทพ

บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป

“ข้ายังไม่คิดอยู่ดีว่าเจ้าควรจะดื่มสุรามากเกินไป มันจะส่งผลให้ทำอะไรผิดๆ ได้ง่าย”

ลั่วปิงหลีกล่าวด้วยความระแวดระวัง

นางดื่มสุราเข้าไปสองแก้วขณะลิ้มรสแก้วที่สามอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานดื่มสุราจนหมดขวดก่อนหยิบไก่ย่างที่ห่อด้วยใบบัวออกมา เขาหลับตาก่อนสูดกลิ่นเบาๆ

“หอมจริงๆ …” เขาพึมพำอย่างแผ่วเบา

“นี่ ในฐานะที่เจ้าเป็นราชาเทพแต่ดันมากินไก่ย่างที่นี่เสียอย่างนั้น ข้าเกรงว่าพวกเขาจะทดสอบเสร็จสิ้นก่อนจะกลับมาในไม่ช้า เจ้าจะถูกเปิดโปงทันทีที่ถูกพบในสภาพนี้เข้า” ลั่วปิงหลีเตือน

ขณะมองรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามกับแก้วสุราในมือของนาง กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “การทดสอบเช่นนี้กินเวลานาน พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาที่นี่หรอก”

“วิญญาณกรีดร้องไง” ลั่วปิงหลีกล่าวอย่างเย็นชา

กู่ฉิงซานชำเลืองมองนาง

เขาถือไก่ย่างเอาไว้ก่อนส่งสัญญาณให้นาง

กลิ่นอายของลั่วปิงหลีถูกทำลายก่อนพูดด้วยความท้อใจว่า “ไม่ ข้าไม่หิว”

จากนั้นกู่ฉิงซานฉีกขาไก่ก่อนอธิบายว่า “ตอนนี้ วิญญาณกรีดร้องทำได้แค่รอดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพถูกใช้งานเท่านั้น เขาจะไม่มีวันทำลายความสงบสุขของเหล่าเทพและมนุษย์อย่างแน่นอน”

หลังจากพูดจบ เขาเริ่มกินไก่

ฉับพลันนั้นเอง ถุงเก็บของสั่นไหว จี้น้ำเต้าหยกลอยออกมา

จี้หยกลอยอยู่หน้ากู่ฉิงซานขณะส่งเสียงฮัมต่ำออกมา

“ฟิ่ว…”

ในเวลาเดียวกัน แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“จี้หยก: เหวยจุน ขอให้ท่านสนับสนุนด้วยพลังวิญญาณสามร้อยแต้ม”

กู่ฉิงซานมองถุงเก็บของด้วยความประหลาดใจ จากนั้นมองจี้หยกตรงหน้า

ถุงเก็บของปิดสนิทอย่างเห็นได้ชัด

น้ำเต้าหยกนี้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่คำนึกถึงกฎเกณฑ์ของมิติ

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปคว้าจี้หยกเอาไว้ก่อนมอบพลังวิญญาณ 300 แต้มให้อีกครั้ง

จี้หยกได้รับพลังวิญญาณ มันกรีดร้องอย่างยินดีก่อนลอยกลับเข้าถุงเก็บของ

ความคิดของกู่ฉิงซานกวาดผ่าน

ในถุงเก็บของ จี้หยกกลับมาเงียบอีกครั้ง

ดูเหมือนมันจะหลับใหลอีกครั้ง

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

กินและนอน นอนและกินงั้นหรือ

เจ้านี่มันช่าง…

น่าอิจฉาอะไรอย่างนี้

สมบัติจากยุคโบราณควรจะ…พึ่งพาได้สิ

ถ้าใช้งานไม่ได้ก็ทำได้แค่ดูแลในฐานะสัตว์เลี้ยงเท่านั้น

กู่ฉิงซานปลอบตัวเองขณะกินไก่ย่าง

เขาดื่มสุราหมดไปอีกขวดก่อนเอนกับบัลลังก์อย่างพึงพอใจเพื่อเริ่มย่อยอาหาร

ลั่วปิงหลีมองเขาก่อนพูดเหมือนไม่ได้พูดออกมาว่า “พวกเราจะอยู่แบบนี้ต่อไปงั้นหรือ”

กู่ฉิงซานถามว่า “ขัดเกลาแผ่นหยกไปถึงไหนแล้ว”

“ส่วนที่ยากที่สุดถูกขัดเกลาเรียบร้อย ตอนนี้ขอแค่ข้าต้องการก็สามารถทำให้เสร็จได้ทุกเมื่อ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“หรือก็คือ พวกเราสามารถไปได้ทุกเมื่อ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใช่ พวกเราสามารถไปได้ทันที ถ้าเจ้าตัดใจจากการเป็นราชาเทพล่ะก็นะ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“เจ้าคิดว่าข้าควรตัดใจอย่างนั้นหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่จะเป็นต่อ ตอนนี้เจ้าสามารถไปตามหาดาบศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว”

ลั่วปิงหลีจ้องมองเขาแล้วพลันกล่าวว่า “หรือบางที…นี่เป็นแผนสมคบคิดของวิญญาณกรีดร้อง เจ้าอยากจะตัดใจไหมล่ะ”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดเผ่าพันธุ์มนุษย์จากการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งให้ตัดใจยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

ไม่ว่าจะเป็นแผนสมคบคิดหรือกับดัก ดาบจะต้องถูกรักษาเอาไว้

หากดาบพิภพคือองค์ประกอบของอาวุธ เช่นนั้นก็ต้องจัดการอาวุธนั่น

“เอาล่ะ มาดูสถานการณ์ปัจจุบันกันดีกว่า”

ขณะกู่ฉิงซานกล่าว หมอกเย็นกระจายออก

หมอกเย็นรวมตัวกลางอากาศจนเป็นนักพรตมนุษย์ที่คล้ายกับมีชีวิต

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “สถานการณ์ปัจจุบันเป็นแบบนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะเทพได้ อย่างมากก็มีนักพรตหนึ่งถึงสองคนที่สามารถเอาชนะเทพได้ นี่มันช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี”

ขณะพูด หมอกเย็นรวมตัว นักพรตมนุษย์กลายเป็นเทพที่มีไฟเย็นเผาไหม้ตรงหว่างคิ้ว

“ถึงแม้เทพจะปกครองเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วคราว แต่พวกเขาไม่สามารถจัดการสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ทรงพลังได้”

เทพกลับคืนสู่หมอก หมอกเผยสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวขึ้นมาอีกครั้ง

“สัตว์ประหลาดบรรพกาลเชื่อฟังคำสั่งของผู้ปกครองโลกบรรพกาลเท่านั้น นั่นก็คือวิญญาณกรีดร้อง”

หมอกม้วนตัวอีกครั้งก่อนกลายเป็นตัวตนแปลกประหลาดที่เป็นครึ่งชายครึ่งหญิง

“วิญญาณกรีดร้องคือตัวตนที่ไม่สามารถสื่อสารได้และเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของพวกเรา”

“สัตว์ประหลาดอยู่ภายใต้การปกครองของมัน เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมฟังพวกเรา”

“ดังนั้นพลังที่อยู่ในมือของพวกเราจึงมีเพียงแค่เทพเท่านั้น”

กู่ฉิงซานโบกมือ ความเย็นในอากาศหายไปสิ้น

“หมายความว่าหากข้าไปถึงช่วงเวลาสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไปถึงสถานที่ที่ดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ ประกอบกับถ้าวิญญาณกรีดร้องปรากฏตัวขึ้นมา นั่นจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครสามารถช่วยข้าได้”

“ดังนั้นข้าต้องเตรียมพลังให้มากกว่านี้ต่อให้พลังเหล่านี้จะมาจากเผ่าพันธุ์เทพก็ตาม”

“อีกอย่าง ข้าอยากรู้ว่าเผ่าพันธุ์เทพรู้การเตรียมการขั้นสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากน้อยแค่ไหนเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาไปสู่ช่วงเวลาจริงเพื่อสร้างปัญหา”

หลังจากฟังคำอธิบายยืดยาวนี้ ในที่สุดลั่วปิงหลีกล่าวออกมาด้วยความโล่งอกว่า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าหาทางคลี่คลาย”

เมื่อกู่ฉิงซานเห็นอีกฝ่ายถูกโน้มน้าว เขาก็ผ่อนคลายลง

ลั่วปิงหลีรับหน้าที่เรื่องเส้นทางการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้นำเผ่า ตัวตนของนางแทบจะเหมือนกับมนุษย์แสงนั่น เขาจึงต้องบอกให้นางรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบ้าง ไม่ควรจะมาบาดหมางกับนาง

อีกอย่าง ต้องใช้พลังวิญญาณทั้งสิ้นเก้าแสนแต้มเพื่อกลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก

ตอนนี้ระบบเทพสงครามเหมือนกับลูกสะใภ้ตัวน้อยที่คอยค้นหาความมั่งคั่งจากคนอื่นทุกวัน ไม่งั้นเขาคงไม่มีทางได้พลังวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นมาได้

อีกอย่าง เขาเชี่ยวชาญพลังของเทพองค์นี้ที่ครอบครองพลังต่อสู้แบบเดียวกัน

ทันทีที่กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ พลังและสกิลเหล่านี้จะถูกลดทอนลงอย่างมาก

จะให้ทิ้งสิ่งนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร