บทที่ 168 ภารกิจสำเร็จลุล่วง

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

เมื่ออัศวินฝึกหัดทั้งสองที่มาจากศาสนจักรเดินเข้ามาตรงเฉลียง พวกเขาก็ไม่รู้สึกสงสัยอะไรเลยสักนิด อย่างไรเสีย ร้านอาหารนี้ก็เป็นสถานที่ที่มีเพียงชนชั้นสูงของเมืองเท่านั้นจะมาใช้บริการ และการตรวจสอบภายในร้านนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหน้าที่พวกเขา

“พวกท่านมาถึงร้านนี้ตอนกี่โมง และได้ออกไปจากที่แห่งนี้สักครู่หนึ่งหรือไม่ขอรับ” หนึ่งในอัศวินฝึกหัดเป็นผู้ถาม

แม้ว่าคนพายเรือที่เพิ่งแล่นเรือผ่านร้านนี้จะรายงานกับทางศาสนจักรว่าเขาเห็นชายหนุ่มสวมหมวกทรงสูงกับแว่นตาข้างเดียวที่อัญเชิญลูกไฟลูกใหญ่ คนพายเรือกลับไม่สามารถอธิบายถึงรายละเอียดรูปลักษณ์ทางกายอื่นๆ ของคนร้ายได้เลย

ทันทีที่พยานเอ่ยถึงหมวกทรงสูง โฮลีส์ก็รู้ได้เลยว่าผู้ใดคือคนร้าย ทว่า ข้อมูลเท่าที่อัศวินฝึกหัดมีในตอนนี้มันจำกัดเกินกว่าที่พวกเขาจะสรุปว่าชายหนุ่มสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนั้นคือคนร้ายลอบโจมตีที่พวกเขาต้องการตัวจริงๆ

“เก้าโมงสี่สิบนาที ข้ามาถึงที่ร้านอาหารแห่งนี้ตอนเก้าโมงสี่สิบ” ลูเซียนตอบอย่างใจเย็น “ข้ามีนัดกับท่านหญิงเกรซในวันนี้ และข้าก็ไม่ได้ออกไปจากร้านอาหารเลย”

ลูเซียนใช้คำว่า ‘ร้านอาหาร’ แทนที่จะเป็น ‘เฉลียง’ เพื่อให้เกรซไขว้เขว

“ท่านอี… เอ่อ… สุภาพบุรุษท่านนี้เป็นสหายของข้า และเรากำลังปรึกษาหารือกันเรื่องเปียโนอยู่เมื่อครู่นี้” แน่นอนว่าเกรซย่อมเข้าข้างลูเซียน และนางก็ไม่รู้เลยสักนิดว่าลูเซียนเพิ่งจะทำอะไรมากมายภายในสิบห้านาทีที่เขาหายไปเข้าห้องน้ำ

“คำพูดของท่านหญิงย่อมเชื่อถือได้อยู่แล้วขอรับ” หนึ่งในอัศวินฝึกหัดพยักหน้า “ข้าชอบการบรรเลงเปียโนของท่านหญิงเกรซมากเลยขอรับ”

และหลังจากตรวจสอบบนเฉลียงแบบไม่จริงจังนัก สองอัศวินฝึกหัดก็จากไป

เมื่อประตูเฉลียงปิดลงเบาๆ จากด้านนอก ลูเซียนก็หันมาส่งยิ้มให้ “เรามาต่อกันเลยดีหรือไม่”

ความจริงแล้ว การสังหารบราวน์นั้นไม่ใช่งานที่ท้าทายอะไรเลย ทว่า วิธีการสังหารบราวน์แต่ยังหลบหนีจากการจับกุมตัวโดยเหล่าผู้พิทักษ์ราตรีและอัศวินให้ได้นั้นคือส่วนที่ยากที่สุดของภารกิจนี้

และการทำให้บราวน์วิ่งออกมาจากการคุ้มครองด้วยตนเองก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุด!

“ดีเลยเจ้าค่ะ” เกรซตอบอย่างกระตือรือร้น นางไม่เคยคิดฝันเลยว่านางจะได้รับโอกาสล้ำค่าอย่างการเรียนรู้จากท่านอีวานส์ตัวเป็นๆ เช่นนี้

ลูเซียนสอนเกรซอย่างใจเย็นจนกระทั่งใกล้จะเที่ยงวัน ขณะที่ทั้งสองกำลังรออาหารอยู่นั้น เขาก็กล่าวกับเกรซ “เจ้ามีแผนการอะไรสำหรับอนาคตหรือไม่”

เกรซก้มศีรษะลงเล็กน้อย และไม่ได้ตอบกลับในทันที แม้ว่าเกรซจะคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่านี่เป็นสถานการณ์บังคับที่นางจำต้องขโมยชื่อเสียงของลูเซียน อีวานส์ และใช้ชีวิตจอมปลอมนี้ นางก็รู้ดีว่า แม้จะมีเหตุผลทั้งหมดนั้น แต่สิ่งที่นางกำลังทำอยู่กลับเป็นความโลภของตัวนางเองทั้งหมด

“ข้าจะทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการเจ้าค่ะ ท่านอีวานส์” เกรซเค้นเสียงออกมาด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี

“เจ้าได้ช่วยเหลือข้าแล้ว เจ้าช่วยให้ข้าได้แก้ไขปัญหาระหว่างเพื่อนของข้ากับท่านเกรนนิวฟ์ และข้าก็ซาบซึ้งใจจริงๆ” ลูเซียนกล่าวด้วยความจริงใจ “ถ้าเจ้าอยากจะเป็นนักดนตรีที่ดีจริงๆ จงไปยังนครอัลโต้ พร้อมกับครอบครัวเจ้า ข้าจะเขียนจดหมายแนะนำเจ้าให้กับหัวหน้าสมาคมนักดนตรีที่นั่น ในฐานะอาจารย์ของเจ้า”

“โอ้… จริงหรือเจ้าคะ” เกรซประหลาดใจอย่างยิ่ง

ลูเซียนพยักหน้าแล้วพูดต่อ “หรือ หากเจ้าอยากจะแอบอ้างชื่อข้าต่อไปและอยู่ในสเติร์กต่อเพื่อเพลิดเพลินไปกับชื่อเสียงที่มีในตอนนี้ ข้าก็จะไม่ยอมรับหรือปฏิเสธอันใด นี่ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองนะ”

เกรซจ้องมองผ้าคลุมโต๊ะแสนสะอาดแล้วนิ่งเงียบ ในหัวนางมีความคิดมากมายผุดขึ้นไม่หยุดหย่อน นางรู้ว่า หากไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านดนตรีที่ดีและไร้ซึ่งการฝึกฝนอย่างหนัก ชื่อเสียงจอมปลอมอย่างการเป็นลูกศิษย์ของลูเซียน อีวานส์ ก็จะกลายเป็นภาระหนักสำหนับนางไม่ช้าก็เร็ว

ทว่า เมื่อคิดถึงชีวิตแสนหรูหราในเมืองสเติร์กที่นางกำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกลา

ลูเซียนไม่ได้เร่งเกรซ เพราะไม่ว่านางจะเลือกทางใดก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเขาอยู่แล้ว

เสียงเคาะประตูแผ่วเบาดึงเกรซให้กลับมาจากภวังค์ความคิด

นางยืดตัวนั่งตรงกว่าเดิมเล็กน้อย และขณะที่บริกรก็เข้ามาในเฉลียง นางก็ตอบลูเซียนด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะไปอัลโต้เจ้าค่ะ ท่านอีวานส์”

ลูเซียนคลี่ผ้าเช็ดปากวางบนตักและเริ่มหั่นเนื้อสเต็กของตน “ข้าจะเขียนจดหมายแนะนำตัวเจ้าให้กับท่านวิกเตอร์และท่านคริสโตเฟอร์เอง”

ขณะที่ลูเซียนกับเกรซพูดคุยถึงเรื่องสมาคมนักดนตรีแห่งนครอัลโต้ ใครบางคนก็มาเคาะประตูอีกครั้ง

“ว่าไง” เกรซถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใส หลังจากตัดสินใจในเรื่องยากลำบาก เกรซก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากในตอนนี้

“เราเอง เกรซ” เป็นกรีน นักไวโอลินของวง

“เหตุใดพวกเจ้าถึงมาที่นี่กัน” เกรซถามอีกครั้งด้วยความงุนงง

“เราต้องซ้อมด้วยกันบ่ายนี้ เจ้าจำไม่ได้หรือ ไปกันเถอะ!” เป็นปิโอลาที่ตอบกลับมา

เกรซไม่ได้ตอบกลับไปในทันที

“เกรซ เปิดประตูที” กรีนเอ่ยขึ้น “เจ้าตกลงกับเราแล้วนะ เจ้าตกลงจะซ้อมเพลงกับเรา และเราก็ต้องซ้อม”

“ใช่ เราไม่มีทางเลือก” สมาชิกในวงคนอื่นๆ เอ่ยสนับสนุน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เกรซก็เค้นรอยยิ้มออกมาแล้วกระซิบบอกลูเซียนว่า “หลังจากที่ข้าได้พบท่านในร้านอาหารแห่งนั้น ข้าก็ประหม่าและวิตกกังวลมาก ข้าจึงไม่ได้ไปร่วมซ้อมตามตาราง พวกเขาเลยคิดว่าข้าอยากจะเลิกแล้ว”

ลูเซียนไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก เขาส่งเนื้อเข้าปากก่อนจะเอ่ยตอบ “เจ้าจะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่”

เกรซพยักหน้าก่อนจะเดินไปทางประตู แล้วแง้มเปิดออกเล็กน้อย

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่มีทางทิ้งการแสดงครั้งนี้แน่” เกรซบอกกับสมาชิกวงทุกคน “แต่หลังจากนั้น ข้าจะไปอัลโต้เพื่อเรียนดนตรี”

“นี่เจ้าล้อเล่นหรือไร” กรีนดูท่าทางหัวเสียเล็กน้อย “ในเมื่อตอนนี้เจ้ามีเงินและชื่อเสียง เจ้าก็คิดจะทิ้งพวกเราล่ะสิ”

แม้ว่าสมาชิกในวงคนอื่นๆ เองก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองนี้เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับเกรซเลย เพราะนางคือคนเดียวในวงที่เล่นเปียโน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยุติธรรม

ดังนั้น เหล่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ที่มารวมตัวกันเพราะความฝันทางด้านดนตรีที่เหมือนกันก็ค่อยๆ เริ่มสูญเสียปณิธานและกระทั่งตัวตนของตนเองไป

“เกรซ” ชารอนเอ่ยโดยไม่มองหน้านาง กลับเอาแต่จ้องมองพื้น “เจ้าก็รู้ว่าเราสามารถบอกหนังสือพิมพ์ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้”

แม้ว่าเกรซจะยังรู้สึกผิด แต่หลังจากได้ยินคำพูดของชารอน นางก็ทอดถอนใจยาวนานก่อนจะเอ่ยตอบ “เอาเลย ชารอน แต่จะไม่มีผู้ใดเชื่อเจ้าหรอก”

“นี่การสวมบทบาทเพียงหนึ่งเดือนทำให้เจ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของท่านลูเซียน อีวานส์ จริงๆ น่ะหรือ”

เกรซเปิดประตูจนสุด “ข้ามีผู้ที่พร้อมจะสนับสนุนข้าแล้ว”

“ท่านอีวานส์?!” สมาชิกในวงทุกคนต่างตกตะลึง

พวกเขาไม่ทราบเลยว่าลูเซียน อีวานส์ มาถึงเมืองสเติร์กตั้งแต่เมื่อใด หรือตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เกรซพัฒนาความสัมพันธ์อันดีงามกับเขา

ลูเซียนวางมีดส้อมในมือลง หยิบผ้ามาเช็ดปากช้าๆ แล้วเดินมาหาเกรซ “ข้าจะส่งจดหมายให้เจ้าในภายหลัง เมื่อเจ้าไปถึงอัลโต้แล้ว ให้นำจดหมายนั้นไปให้ท่านคริสโตเฟอร์”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านอีวานส์… ไม่ใช่สิ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ… ท่านอาจารย์” เกรซตอบอย่างตื่นเต้น

ลูเซียนพยักหน้า และเมื่อเขาเดินผ่านสมาชิกคนอื่นๆ เขาก็เอ่ยกับพวกเขาว่า “หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ลืมความฝันด้านดนตรีของพวกเจ้านะ ไม่มีทางที่พวกเจ้าจะพึ่งพาชื่อเสียงของผู้อื่นไปได้ตลอดชีวิตหรอก”

นั่นคือสิ่งที่ลูเซียนต้องการจะบอกกับตนเองด้วยเช่นกัน

เมื่อลูเซียนเดินหายลับไป สมาชิกในวงบางคนก็ก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

วันต่อมาเป็นวันที่แสงแดดแรงกล้าจนร้อนระอุ

ลูเซียนกับฝีพายยืนเคียงข้างกันอยู่ด้านหลังเรือลำเล็กที่กำลังแล่นไปตามลำคลอง

ลูเซียนมองไปทางฝีพายด้วยความงุนงง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าฝีพายเพิ่งจะแสดงตัวในที่สาธารณะเช่นนี้ภายในเมือง

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก สหาย พลังในสายเลือดข้ามาจากสัตว์วิเศษ และข้าก็ปลอมตัวเก่งมาก เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงมาอยู่ที่นี่” ฝีพายยิ้มกริ่ม “ขอบคุณท่านอีวานส์ ท่านนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านสร้างระเบิดนั้นขึ้นเองใช่ไหม จากส่วนประกอบที่ข้าให้ท่านนั่นน่ะหรือ”

ฝีพายไม่ได้เชื่อมโยงเหตุการณ์บนสะพานกับลูเซียน เขาคิดว่านั่นเป็นเพียงอุบัติเหตุ อย่างไรเสีย ลูเซียนก็อยู่บนเรือในตอนนั้นด้วย

ลูเซียนพลันตระหนักว่ารูปลักษณ์ทางกายของฝีพายในตอนนี้หาใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริง แต่เขาก็ไม่อยากจะกวนใจตนเองด้วยเรื่องนี้ ณ เวลานี้

“ขอรับ ข้าทำขึ้นเอง มันเป็นสูตรโบราณแบบพิเศษ” ลูเซียนตอบด้วยท่าทางสบายๆ

“อ้อ” ฝีพายมองไปข้างหน้า “ในเมื่อท่านทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วง ตอนนี้ก็ถึงตาข้าทำตามสัญญา ข้าจะพาท่านไปยังสถานที่ของนักวิชาการหลังจากนี้ และก่อนที่ท่านจะไปจากสเติร์ก ข้าขอแนะนำว่าท่านไม่ควรออกมาข้างนอก”

“นักวิชาการเช่นนั้นหรือ” ลูเซียนมึนงงเล็กน้อย

……………………………………….