ฝีพายยิ้มกริ้ม “เซลลอส แอสตาร์ นักเขียนบทละครชื่อดังที่ประพันธ์ละครโอเปร่ายอดนิยมในสเติร์กมาแล้วหกเรื่อง”

เขาไม่ได้ปิดบังอะไรกับคนพายเรือที่อยู่ด้านหน้า เพราะคนพายเรือผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของสภาเวทมนตร์แห่งเมืองสเติร์ก

“เขาก็เป็นนักเวทเช่นเดียวกันหรือขอรับ” ลูเซียนถาม ตัวตนที่แอสตาร์ใช้อำพรางนั้นแทบจะได้เรียกว่าเหมือนกับเขา

“ใช่” ฝีพายพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยความเคารพนบนอบ “ท่านคือ ‘กุนซือเงา’”

“กุนซืองั้นหรือ” ลูเซียนประหลาดใจ

ในจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ ผู้ใดก็ตามที่ได้รับความเคารพนับถือเป็น ‘กุนซือ’ อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักเวทระดับสูงขึ้นไป

“แน่นอน แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าท่านแอสตาร์มีพลังอยู่ที่ระดับใด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ท่านจะต้องอยู่ในระดับสูงแน่ๆ ความจริงแล้วในสเติร์กมีนักเวทระดับสูงอยู่สองสามท่าน แต่บางท่านไม่อยู่ในเมืองขณะนี้ และพวกท่านก็แทบไม่รับงาน” ฝีพายอธิบาย

“ยิ่งสภาเวทมนตร์แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยขอรับ” ลูเซียนตอบอย่างซื่อตรง คำพูดของฝีพายยังเป็นการพิสูจน์ความเห็นของไรน์เกี่ยวกับสภาเวทมนตร์ที่ว่ามันกำลังเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากอีกด้วย

ขณะที่เรือแล่นไปตามลำคลอง เรือหัวแหลมก็เลี้ยวตรงมุมหนึ่ง และเข้าสู่เขตที่อยู่อาศัยแสนเงียบสงบงดงามของเมือง

เรือมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านสามชั้นแสนหรูหราโอ่อ่าที่มีสนามหญ้าขนาดใหญ่ ลูเซียนกับฝีพายก้าวขึ้นมาบนบันไดหินภายในอาณาเขตบ้านหลังลงจากเรือ ก่อนจะตรงมาที่รั้วบ้าน

“ทอม” ยามที่ยืนอยู่หลังรั้วทักทายฝีพายอย่างเป็นกันเองแล้วเปิดประตูเหล็กให้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักกัน

ลูเซียนแอบคาดเดาชื่อที่แตกต่างจากนี้ให้กับฝีพาย อย่างน้อยเขาก็เดาว่ามันน่าจะมีเอกลักษณ์มากกว่า ‘ทอม’

ขณะที่ทอมกับลูเซียนเดินผ่านสวนและสนามหญ้าไปช้าๆ ทอมก็พูดกับลูเซียนด้วยท่าทางสบายๆ “ทอมคือชื่อที่หาได้ไม่ยาก ข้ารู้ แต่งานของข้าก็ไม่ต้องการดึงดูดความสนใจอยู่แล้ว”

“จริงด้วย แต่บางครั้งผู้คนก็เลือกที่จะใช้วิธีการตรงกันข้าม เช่น ท่านแอสตาร์” ลูเซียนพยักหน้าพลางมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขายังไม่เห็นว่าที่นี่จะมีอะไรพิเศษ

“เมี้ยว!” แมวลายส้มตัวหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ก่อนจะเอ่ยกับทั้งสองด้วยเสียงแหบๆ “แอสตาร์อยากให้พวกเจ้าขึ้นไปที่ชั้นสอง เขากำลังศึกษาอาร์คานาอยู่ในตอนนี้และไม่มีเวลามาต้อนรับสหายคนใหม่ของเรา”

“ขอรับ ท่านหญิงเมอร์เซเดส” ทอมตอบรับด้วยท่าทางยำเกรง

จากนั้นเขาจึงแนะนำแมวตัวนั้นให้กับลูเซียน “นี่คือท่านหญิงเมอร์เซเดส สหาย… ไม่ใช่สิ คู่หูของท่านแอสตาร์”

“ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบท่านขอรับ ท่านหญิงเมอร์เซเดส” ลูเซียนทักทายแมวตัวนั้นด้วยความสุภาพ

เจ้าแมวส่งเสียง “ฮึ่ม” สั้นๆ จากในลำคอเป็นการตอบรับ จากนั้นจึงเดินนวยนาดเข้าไปในสวนใกล้ๆ กันนั้น

ก่อนที่ทอมกับลูเซียนจะเดินเข้าไปในห้องโถง ลูเซียนก็หันกลับไปและเห็นว่าแมวแสนยโสโอหังตัวนั้นกำลังกระโดดไล่ตะปบผีเสื้ออยู่ เห็นได้ชัดว่า นางกำลังสนุกเพลิดเพลินกับตัวเองอยู่มากทีเดียว

“บางครั้งสัตว์ก็รู้จักวิธีการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่าเรา” ทอมกล่าวเสียงแผ่วพลางเปิดประตูไม้

ลูเซียนหันกลับมาส่งยิ้มให้ “แต่ความสุขไม่ใช่ทุกอย่างที่คนคนหนึ่งจะเพลิดเพลินได้ในชีวิตนี่ขอรับ”

แสงอาทิตย์ทำให้ชั้นสองค่อนข้างสว่าง ทว่า เมื่อลูเซียนเดินตามทอมผ่านโถงทางเดินไป เขามักจะรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยเงามากมาย และเขาก็รู้สึกว่านี่เป็นเพราะเครื่องราง ‘มงกุฎสุริยัน’ ที่เขาสวมอยู่

“เราเองขอรับ ท่านแอสตาร์” ทอมกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำขณะเคาะบนบานประตูไม้สีดำเบาๆ

“เข้ามาเลย ประตูไม่ได้ล็อก” เสียงแหบๆ ดังตอบกลับมาจากหลังประตู

ทอมผลักประตูเปิดอย่างระมัดระวังแล้วบอกให้ลูเซียนเข้าไปพร้อมกับเขา

สิ่งแรกที่เตะตาลูเซียนก็คือกองกระดาษยุ่งเหยิงบนพรมหนาสีเทา และปากกาขนนกที่ตวัดเขียนตัวอักษรด้วยตัวมันเองอย่างน่าอัศจรรย์บนกระดาษขาว โดยที่ไม่ต้องมีผู้ใดถือ ทั้งยังหยุดขยับไปจุ่มหมึกจากขวดเป็นครั้งคราวอย่างร่าเริงอีกด้วย

แต่ลูเซียนมองไม่เห็นแอสตาร์

เมื่อเห็นว่าทอมก้มลงไปเก็บกระดาษแต่ละปึกขึ้นมาจากพื้นแล้วโยนมันลงถังขยะ ลูเซียนก็รีบเข้าไปช่วยทันที

ด้วยความอยากรู้ ลูเซียนจะกวาดตาอ่านเนื้อหาบนกระดาษขณะหยิบขึ้นมา จึงเห็นสูตรกับตัวเลขแสนยุ่งเหยิงอยู่บนนั้น

แต่เพื่อแสดงความเคารพนับถือ ลูเซียนจึงไม่ได้อ่านข้อความทั้งหมดหรือพยายามจะขโมยมันไป และแน่นอนว่าเขาไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก แต่เขาก็ยังมั่นใจว่านี่เป็นบทบาทพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ในการศึกษาอาร์คานา

“ขอเวลาข้าสักครู่” เสียงแหบนั้นดังขึ้นอีกครั้งจากมุมมืดภายในห้อง เมื่อมองให้ดีๆ ลูเซียนก็เห็นเงาร่างอยู่ระหว่างผ้าม่านกับโต๊ะ แล้วชายผมดำท่าทางสูงศักดิ์ก็ค่อยๆ ปรากฏกายให้เห็น มองคราแรก ลูเซียนนึกว่าชายผู้นี้อายุเพียงยี่สิบต้นๆ แต่เขากลับคิดว่าชายผู้นี้อาจอายุมากกว่าสี่สิบปีในภายหลัง

ชายผมดำนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมและกำลังอ่านหนังสือปกแข็งสีดำอย่างตั้งใจ รอบกายเขาคล้ายกับมีปากกาขนนกนับไม่ถ้วนกำลังขีดเขียนและคำนวณอยู่ให้วุ่นวายภายใต้เงามืด ลูเซียนไม่อาจมองเห็นพวกมันได้ชัดเจน

ประมาณสิบนาทีให้หลัง ตอนที่ทอมกับลูเซียนยังคงนิ่งเงียบอยู่นั้น ปากกาขนนกบนโต๊ะก็ทำงานของมันเสร็จ จึงกระโจนเข้าไปอยู่ในกล่องเก็บด้วยตัวมันเอง จากนั้นปากกาเงาในความมืดก็หายไปโดยสิ้นเชิง

หลังจากปิดหนังสือในมือ ชายผมดำก็หันมามองทั้งสองแล้วเอ่ยทักทาย “ยินดีต้อนรับ สหายคนใหม่ของเรา ข้าชื่อแอสตาร์”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านขอรับ ท่านแอสตาร์” ลูเซียนโค้งตัวเล็กน้อยให้อีกฝ่าย และขณะที่เขาก้มตัวลง เขาก็มองเห็นชื่อหนังสือเล่มนั้น ซึ่งพิมพ์ด้วยหมึกสีเงินว่า ‘วารสารอาร์คานาศาสตร์’

ลูเซียนเคยเห็นหน้าปกเช่นนี้มาก่อน และนั่นทำให้เขาเผลอพึมพำออกมาอย่างตื่นเต้น “วารสารอาร์คานาศาสตร์…”

แอสตาร์ยกหนังสือในมือขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม “เจ้าเคยอ่านมาก่อนหรือไม่”

“ขอรับ… แต่เป็นเล่มที่เก่ามากๆ แล้ว” ลูเซียนสงสัยอย่างยิ่ง “ท่านแอสตาร์ขอรับ นี่คือวารสารอาร์คานาศาสตร์ฉบับล่าสุดใช่หรือไม่ ข้าขออ่านได้ไหมขอรับ”

แอสตาร์ยืนขึ้นจากเก้าอี้นวมแล้วส่งยิ้มให้ “สิ่งที่เจ้าศึกษารู้มาเป็นระบบเวทมนตร์แบบโบราณ ดังนั้น วารสารเล่มนี้อาจมากเกินไปสำหรับเจ้า และหากเจ้าอ่านวารสารอาร์คานาศาสตร์ไม่ได้ เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าใจโครงสร้างเวทมนตร์ใหม่ๆ ทั้งชนิดที่ตีพิมพ์กับวารสารที่มีชื่อว่า ‘เวทมนตร์’ ได้” แอสตาร์ชี้ไปทางหนังสืออีกเล่มบนโต๊ะทำงานที่มีสัญลักษณ์ดาวหกแฉกอยู่บนนั้น “แต่ว่า เจ้าเป็นนักเวทเพียงคนเดียวในรอบสิบปีที่อยากจะยืมวารสารอาร์คานาศาสตร์จากข้า ทำให้ข้าประทับใจในความกระหายความรู้ของเจ้า ดังนั้นเจ้าหยิบไปอ่านได้ตามสบายเลย แต่อย่ารู้สึกกดดันเล่าหากเจ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจ”

ขณะพูด แอสตาร์ก็ยื่นหนังสือให้กับลูเซียน

แล้วจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับฝีพาย “เราจะต้องเรียกสหายคนใหม่ว่าอะไรหรือ ทอม”

“อีวานส์… ท่านอีวานส์ขอรับ ท่านเป็นนักเวทระดับหนึ่ง” ทอมตอบ ยังคงรู้สึกยำเกรงไม่น้อย

ลูเซียนเปิด ‘วารสารอาร์คานาศาสตร์’ แล้วอ่านหน้าสารบัญ ทันใดนั้น เขาก็ต้องตกตะลึง เพราะชื่อบทความแรกของวารสารคือ

‘ฟังก์ชันเชิงซ้อนพิเศษที่อธิบายและคำนวณสนามพลังจิตได้’

ลูเซียนคาดไม่ถึงว่าการศึกษาเรื่อง ‘ฟังก์ชันเชิงซ้อน’ ของสภาเวทมนตร์จะก้าวหน้าถึงเพียงนี้ แม้ว่าหนังสือบางเล่มในห้องสมุดห้วงจิตของลูเซียนที่ถูกปลดผนึกจะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับฟังก์ชันเชิงซ้อน แต่มันกลับซับซ้อนเกินกว่าที่ลูเซียนจะเข้าใจได้ เพราะเขาไม่ได้ศึกษามาทางด้านคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ อีกอย่างคือ ลูเซียนนึกว่าความก้าวหน้าด้านการศึกษาของสภาเวทมนตร์อาจจะยังใกล้เคียงกับช่วงปลายศตวรรษที่สิบแปด หรือต้นศตวรรษที่สิบเก้าในโลกใบเดิม ซึ่งโดยหลักแล้วจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องแคลคูลัส ดังนั้นเขาจึงไม่เคยพยายามครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เสียเท่าไร ลูเซียนตระหนักว่าเขายังตามหลังอยู่และเขาจำเป็นต้องไล่ตามสภาเวทมนตร์ให้ทันโดยเร็วที่สุด

ฟังก์ชันเชิงซ้อนคือหนึ่งในตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม ซึ่งต่างก็เป็นจำนวนเชิงซ้อนเช่นกัน เมื่อยึดตามทฤษฎี ‘การวิเคราะห์เชิงซ้อน’ แล้ว งานวิจัยหลายๆ งานจึงก้าวหน้าได้โดยลุล่วง เช่น การวัดสนามระนาบและ ‘ทฤษฎีพื้นผิวของรีมันน์[1]’ แล้วจากนั้น รีมันน์ก็ยังสำรวจเข้าไปในพื้นผิวแนวโค้งของช่องว่างโดยยึดตามทฤษฎี ‘เรขาคณิตนอกระบบยูคลิด’ ที่กลายเป็นเครื่องมือพัฒนา ‘ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป’ จากไอน์สไตน์

เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงนิ่งอึ้งของลูเซียน แอสตาร์ก็ยิ้มกริ่ม “บทความเหล่านี้ล้ำสมัยใช่หรือไม่ นับแต่ที่ท่านบรูค มหาบัณฑิตแห่งอาร์คานา ได้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานไฟฟ้าและพลังแม่เหล็ก แล้วผลักดันแนวคิด ‘สนามแม่เหล็กไฟฟ้า’ การศึกษา ‘สนามพลัง’ ทุกรูปแบบจึงเจริญก้าวหน้า และด้วยเหตุนี้เอง ฟังก์ชันเชิงซ้อนมากมายจึงถูกนำออกมาใช้เป็นเครื่องมือให้เราคำนวณความเข้มข้นของพลังงานในตำแหน่งจำเพาะของสนามพลังจิต และการวิจัยที่ข้าสนใจ ‘สนามพลังเงา’ ก็จำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องนี้”

ลูเซียนพยักหน้า บนโลกนี้ ความจำเป็นต่องานวิจัยอาร์คานาได้ขับเคลื่อนให้เกิดฟังก์ชันเชิงซ้อนเร็วขึ้น ซึ่งแตกต่างกับโลกก่อน

“เอาเป็นว่า การพูดถึงทฤษฎีเหล่านี้ให้เจ้าฟังในตอนนี้มีแต่จะทำให้เจ้าสับสนมึนงง เมื่อเจ้าไปถึงเมืองอัลลิน อีวานส์ สภาเวทมนตร์จะมอบตำราพื้นฐานและอุปกรณ์มากมายสำหรับการศึกษาศาสตร์อาร์คานาให้เจ้า และหากเจ้าเปิดใจ เจ้าก็จะสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นนักเวทที่ศรัทธาในระบบเวทมนตร์สมัยใหม่ได้ภายในสองถึงสามปี… ขึ้นอยู่กับความพยายามของเจ้า” แอสตาร์กล่าวต่อ

“พวกเขา… มอบตำราและอุปกรณ์แบบ… ไม่ต้องเสียเงินหรือขอรับ” ลูเซียนกังวลว่าสภาเวทมนตร์อาจเรียกร้องจากเขาเป็นพิเศษเหมือนกับ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’

“เพียงต้องทำตามข้อเรียกร้องเล็กน้อย… ไม่ใช่เรื่องเสี่ยงอันตรายอันใด” แอสตาร์ปลอบลูเซียนให้มั่นใจ “เราหวังว่านักเวทที่พลังต่ำกว่าระดับกลางจะจดจ่อกับการศึกษาของพวกเขาและแข็งแกร่งขึ้น และนั่นคือการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราในสภา”

จากนั้นแอสตาร์ก็หันไปบอกฝีพาย “ทอม เจ้าช่วยพาอีวานส์ไปที่ห้องของเขาบนชั้นสามได้หรือไม่”

“ขอรับ” ทอมพยักหน้า

“บนชั้นสาม มีว่าที่นักเวทฝึกหัดหลายคนที่ค่อนข้างมีความสามารถอาศัยอยู่และศึกษาตามคำสั่งสอนของข้าในตอนนี้ และพวกเขาก็จะถูกส่งตัวไปโฮล์มพร้อมกับเจ้า หากเจ้าไม่รู้สึกอับอายที่จะต้องศึกษาจากนักเวทฝึกหัด เจ้าก็เริ่มศึกษาอาร์คานาได้จากพวกเขาเลย” แอสตาร์กล่าว

หลังออกมาจากห้องทำงานของแอสตาร์ ลูเซียนกับทอมก็เดินขึ้นไปยังชั้นสาม

……………………………………….

[1] Riemann surface คิดค้นขึ้นโดยแบร์นฮาร์ด รีมันน์ (ค.ศ. 1826 – 1866) เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันผู้มีผลงานโดดเด่นในสาขาคณิตวิเคราะห์ ทฤษฎีจำนวน และเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ที่ไอน์สไตน์นำไปใช้ในการสร้างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป