ภาคที่ 2 บทที่ 146 รวมตัว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 146 รวมตัว

หลังจากจัดการเรื่องที่ต้องทำและมอบสมุนไพรที่เก็บมาให้ซูเฉินแล้ว ชีเว่ยเยี่ยนและฉู่อันยี่ก็เดินทางจากไป

ผีเยวี๋ยนหงอยากตามไปด้วย แต่ซูเฉินรั้งไว้ บอกว่าบาดแผลยังไม่หายสนิท ทำให้ผีเยวี๋ยนหงเดือดดาลนัก

ซูเฉินใช้ฐานะศิษย์อันดับที่ 3 ห้ามไม่ให้เขาออกไป ชีเว่ยเยี่ยนบัดซบนั่นก็เห็นด้วยกับซูเฉิน ดังนั้นผีเยวี๋ยนหงจึงทำได้เพียงรั้งรออยู่บนภูเขา

คืนที่ 3 ภายในซากโบราณ ซูเฉินก็พบกับกลุ่มสหายกลุ่มที่สาม

คือศิษย์ชั้นปีที่ 10 หมายเลข 19 ฟ่านหรูจื่อ และศิษย์ชั้นปีที่ 8 หมายเลข 37 หม่าเซวียน

การมาถึงของหม่าเซวียนทำให้เจียงหานเฟิงตื่นเต้นมาก

ด้วยเพราะเขาเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการวางค่ายกลปกปิด

หม่าเซวียนมาถึงก็ปรับค่ายกลของเจียงหานเฟิงทันที ทำให้ทั้งกลิ่นและเสียงถูกปกปิดอย่างสมบูรณ์ หากมองจากด้านนอกจะเห็นเพียงว่าเป็นภูเขาลูกหนึ่ง ทำเช่นนี้เพื่อให้ศิษย์คนอื่น ๆ ที่ยังหาทางมารวมตัวยังมองเห็นที่หมายได้

ในวันที่ 4 ศิษย์ชั้นปีที่ 10 หมายเลข 5 และหมายเลข 16 เฟิงอี้กู่และสือเจียงป๋อ กับศิษย์ชั้นปีที่ 7 หมายเลข 21 อู๋เสี่ยวก็มาถึง

อู๋เสี่ยวคือคนที่แกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์ชั้นปีที่ 7 อีกทั้งยังมีหมายเลขศิษย์อันดับสูงที่สุด

เพราะเขาคือหนึ่งในสายเลือดราชันอสูร

สายเลือดอสูรตาทิพย์ของเขานับว่าเป็นอสูรกายที่พบได้ไม่บ่อย มันมีความสามารถคือการตรวจจับพลังชีวิตของศัตรูและประเมินกำลังของอีกฝ่ายได้

สายเลือดอสูรตาทิพย์เดิมทีก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในศิษย์ชั้นปีที่ 7 ที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากใคร

อู๋เสี่ยวมาถึงก็แจ้งข่าวร้ายให้ซูเฉินทันที

เฉินเฉี่ยนฝู หยวนเมิ่งซื่อ และเฉินเหวินเต๋อตายแล้ว

เฉินเฉี่ยนฝูคือศิษย์ชั้นปีที่ 10 หมายเลข 24 หยวนเมิ่งซื่อคือศิษย์ชั้นปีที่ 9 หมายเลข 31 และเฉินเหวินเต๋อคือศิษย์ชั้นปีที่ 8 หมายเลข 27

คนทั้งหมดไม่มีใครอ่อนแอสักคน

ในหมู่คนทั้งหมด การสูญเสียเฉินเหวินเต๋อนับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุด

เฉินเหวินเต๋อเป็นศิษย์คนที่ 3 นอกจากซูเฉินและอวิ๋นเป้าที่ไร้สายเลือด พวกเขาสามคนนับเป็นเครื่องหมายของเหล่าคนไร้สายเลือดในกลุ่มคนทั้งหมดนี้

เฉินเหวินเต๋อไร้สายเลือดก็จริง แต่เขาใช้โอสถสืบสายเลือด ดังนั้นจึงอาจนับได้ว่าเขามีสายเลือดผสม

ทว่าเขาไม่ได้พึ่งพาสายเลือดนั้นทำให้ตนแข็งแกร่ง แต่ใช้ความพยายามตนเอง นับว่าน่านับถือไม่น้อยที่สามารถใช้กำลังตนเองดั้นด้นมาถึงอันดับที่ 27 ได้

แต่ถึงกระนั้น ชายหนุ่มผู้มุมานะ ผู้ที่มีอนาคตไกลรออยู่ กลับถูกสังหารก่อนจะทันได้สร้างผลงานใด ๆ

ตอนที่อู๋เสี่ยวพบพวกเขา ศพของพวกเขาถูกกองไว้รวมกัน หัวถูกทุบจนกลายเป็นก้อนเนื้อชุ่มเลือด ต้องใช้เวลาไม่น้อยเพื่อระบุตัวตน

จากนั้นเขาก็ใช้ทักษะจากสายเลือดตนเองตรวจสอบ พบว่าทุกคนตายด้วยฝีมือเผ่าคนเถื่อนเพียงหนึ่งคน

“เผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งสังหารสามคนนั้นหรือ ?” ซูเฉินหรี่ตาลง

หากเป็นการสู้กันตัวต่อตัว พวกเขายอมรับได้ว่าเผ่าคนเถื่อนอาจแข็งแกร่งกว่า แต่เรื่องที่เผ่าคนเถื่อนเพียงคนเดียวสามารถเอาชนะคนสามคนได้นั้นเชื่อได้ยากนัก

“คงจะเป็นหนึ่งในนักรบอาราม” เฟิงอี้กู่ตอบ

ซูเฉินพยักหน้ารับ “ก็คงเป็นคำอธิบายเดียว…… อารามพลังต้นกำเนิด !”

คำเหล่านี้ทิ่มแทงลงในจิตใจทุกคนราวกับถูกเข็มตำ

——————————————

วันที่ 5 ในซากโบราณ ซูเฉินก็ได้พบกับศิษย์อันดับสูงที่สุด เฮ่ออวิ๋นตง

เฮ่ออวิ๋นตงมีนิสัยใจเย็นสุขุมและหนักแน่น มีทั้งกำลังและคุณธรรมน่านับถือ เผยกลิ่นอายคล้ายเสาใหญ่ที่มั่นคงแข็งแรง

ศิษย์ชั้นปีที่ 10 หมายเลข 9 เสิ่นอวี้เฉิง และหมายเลข 20 สุ่ยตงก็อยู่กับเขาด้วย

เมื่อเห็นว่าเสิ่นอวี้เฉิงยังรอดชีวิตและไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด ทุกคนก็มีความสุขนัก

เสิ่นอวี้เฉิงมีน้องชายฝาแฝดชื่อเสิ่นหลงเฉิง แม้คนทั้งคู่จะมีเพียงสายเลือดระดับสูงเป็นจุดเด่น แต่เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะสามารถปล่อยการโจมตีคู่ที่รุนแรงออกมาได้ อีกทั้งยังเกิดมาพร้อมกับทักษะทางสายเลือดพิเศษ ทำให้สามารถสื่อสารหากันได้แม้จะอยู่ห่างกันไกลลิบก็ตาม

หรือก็คือหากหาเสิ่นอวี้เฉิงเจอก็เท่ากับเจอเสิ่นหลงเฉิงด้วย

และเสิ่นหลงเฉิงก็อยู่กับหวังโต้วซานและจี้ลั่วอวี่ !

ในที่สุดพวกเขาก็หาตัวจี้ลั่วอวี่พบจนได้

ซูเฉินถอนหายใจโล่งอก “ซากโบราณจะอยู่ได้อีกเท่าไร ?”

เสิ่นอวี้เฉิงตอบ “จี้ลั่วอวี่บอกว่าหากดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ซากโบราณจะสามารถคงอยู่ได้อีก 77 วัน แต่ท่านรู้ดีว่าความผันผวนของพลังต้นกำเนิดที่เกิดจากการต่อสู้จะยิ่งเร่งทำให้มันสลายลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ”

“ถามเขาว่าตอนเราเข้ามาครั้งแรกมันอยู่ได้กี่วัน”

เสิ่นอวี้เฉิงหลับตาลง

ไม่นานก็ตอบกลับมา “ประมาณ 90 วัน”

“90 วันหรือ ? ผ่านไป 5 วัน จำนวนลดลงเหลือเพียง 77 เท่านั้น” ซูเฉินคิดคำนวณเล็กน้อย “เช่นนั้นอย่างมากก็อยู่ได้อีก 30 วัน”

หลังจากคำนวณค่าโดยประมาณแล้ว ซูเฉินก็ถอนหายใจอีกครา

เวลาเท่านั้นมากพอให้เขาทะลวงผ่านด่านกลั่นโลหิตได้

“มีคนมาที่นี่กี่คนแล้ว ?” เฮ่ออวิ๋นตงถาม

“หากรวมข้าก็ 14 ตอนนี้มีหลงเฉิงและคนอื่น ๆ อีกก็เป็น 17 แต่จากที่ข้ากับศิษย์พี่หญิงชีปรึกษากันแล้ว ทุกคนเคลื่อนไหวพร้อมกันไม่ได้ แต่เราจะใช้ที่นี่เป็นฐานใหญ่แทน……” ซูเฉินเริ่มอธิบายแผนการที่วางไว้ให้เฮ่ออวิ๋นตงฟัง

เฮ่ออวิ๋นตงฟังด้วยความตั้งใจ สีหน้าครุ่นคิด

จากนั้นเอยขึ้น “ภูเขาลูกนี้เป็นจุดนัดพบที่ดี สามารถส่งกลุ่มคนออกไปสำรวจได้ แต่ก็ยังต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย กลุ่มหนึ่งไปกัน 3 คนน่าจะดี และให้กลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดเดินทางออกไปก่อน คนอย่างหานเฟิงและลั่วอวี่ควรอยู่ป้องกันฐานไว้ อีกทั้งทุกกลุ่มควรเลือกทิศทางที่ตนจะเลือกไป จะได้ไม่เดินทางทับซ้อนกัน สุดท้ายควรตั้งเวลาให้กลุ่มที่ออกสำรวจหรือออกล่ากลับมาให้ตามกำหนด หากไม่กลับมาตามเวลาก็จะส่งกลุ่มออกไปตามหา เช่นนี้น่าจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

ซูเฉินพยักหน้า “ถูกต้อง แผนของท่านสมบูรณ์กว่ามาก”

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มจะคิดเรื่องเช่นนี้ออกมาเองไม่ได้ แต่ ณ ตอนนั้นมีคนน้อยไป ไม่อาจทำการวางแผนให้รัดกุมได้

ตอนนี้เมื่อมีเฮ่ออวิ๋นตงและคนอื่น ๆ ความแข็งแกร่งของภูเขาที่นับเป็นฐานทัพแห่งนี้จึงเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการปรับแผนการให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เมื่อถึงตอนกลางวัน เสิ่นหลงเฉิง หวังโต้วซานและจี้ลั่วอวี่ก็เดินทางมาถึง

ซูเฉินย่อมรู้สึกดีใจที่ได้เห็นสหายสนิท

น่าเสียดายที่ซูเฉินลองถามทุกคนแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เรื่องกู่ชิงลั่วเลย ดังนั้นเขาจึงอดเป็นกังวลไม่ได้

แต่เมื่อนึกถึงความเร็วของกู่ชิงลั่วแล้ว เขาก็มั่นใจว่าแม้นางจะไม่อาจเอาชนะศัตรูได้ แต่อย่างน้อยนางก็จะหนีทันแน่นอน

ตราบเท่าที่…… นางไม่ไปเจอกับนักรบอารามพลังต้นกำเนิดนั่น

เป็นกังวลไปก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกดความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับกู่ชิงลั่วกลับลงไปเท่านั้น

และเมื่อหวังโต้วซานมาถึงแล้ว ย่อมหมายความว่าซูเฉินสามารถลงมือทำบางสิ่งที่เขาหมายจะลองทำได้แล้ว

“อะไรนะ ? เจ้าอยากไปสังหารอสูรกายในป่าหรือ ?” หวังโต้วซานร้องตกใจขึ้น

ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน

อสูรกายนั้นรับมือไม่ง่าย ประมือกันทีไรก็ต้องสู้กันดุเดือดทุกครา ย่อมหมายความว่ายิ่งอันตราย

ยิ่งมีเผ่าคนเถื่อนคอยจับตามองอยู่ด้วยแล้ว การจะออกไปเสี่ยงเช่นนั้นย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก

“ถูกต้อง !” ซูเฉินเอ่ยเสียงแน่วแน่

เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว อสูรกายตัวนั้นยังคงเดินตะคุ่มอยู่ในป่า และเขาก็ได้ล่ออสูรร้ายที่ชายป่าออกมาทั้งหมดเท่าที่จะทำได้แล้ว หากอสูรกายนั่นยังอยู่ตรงนั้น เขาก็ไม่กล้าเข้าป่าไปทั้งอย่างนั้น

ตอนนี้ พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเขาอยู่ที่ 96 ดาราเหลือง อีก 4 ดาราเหลืองก็จะสามารถทะลวงผ่านด่านได้ หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเหยื่อเหลือแล้ว

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้พูดออกไปตรง ๆ แต่เอ่ยเพียง “ในป่ายังมีของที่ข้าต้องการอีกมาก แต่หากอสูรกายนั่นยังเดินอยู่แถบนั้นข้าก็เข้าไปเก็บไม่ได้ ด้วยข้าต้องใช้ส่วนผสมในการปรุงยาให้ทุกคน ดังนั้นจึงต้องหาวิธีจัดการกับมัน”

“รู้หรือไม่ว่าอสูรกายนั่นแข็งแกร่งแค่ไหน ?” เฮ่ออวิ๋นตงถามขึ้น

“ข้าให้อู๋เสี่ยวไปตรวจดูแล้ว เขาบอกมาว่าเป้าหมายเป็นเพียงอสูรกายระดับต่ำ หากเราเตรียมการดีพอ ข้าเชื่อว่าเราสามารถเอาชนะมันได้”

ความสามารถในการตรวจจับของอู๋เสี่ยวไม่เฉียบคมเท่าอวิ๋นเป้าหากเป็นการตรวจจับจากระยะไกล แต่เขาสามารถประเมินกำลังของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ ทำให้เขาสามารถหาเหยื่อและเป้าหมายได้เป็นอย่างดี

เมื่อได้อู๋เสี่ยวมายืนยันแล้ว ซูเฉินก็ยิ่งมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถรับมืออสูรกายตัวนั้นได้

“เราต้องมีคนมากกว่านี้” เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ยขึ้น “ควรรอให้คนมารวมตัวกันมากกว่านี้ก่อน”

ซูเฉินส่ายหน้า “เช่นนั้นพวกท่านก็ต้องรออยู่ที่นี่ด้วย เป็นการเปลืองกำลังคนโดยใช่เหตุ ข้ามีแผน หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ข้ามั่นใจว่าใช้เพียงคนไม่กี่คนก็รับมือมันได้”

“แผนอะไรกัน ?”

ซูเฉินหยิบยาโทเทมออกมา “อย่างแรกต้องจับเจ้าอ้วนวาดลวดลายเสียก่อน”