บทที่ 147 กำจัดอสูรกาย (1)
“อ๊ากกกกกกกก !!”
“เวรเอ๊ย ซูเฉิน เจ้ามันไม่ใช่คน ! คิดจะทรมานข้าจนตายหรือไร ?”
“ข้าไม่เล่นแล้ว ! ข้าไม่อยากเล่นแล้ว ! ออกไปเดี๋ยวนี้ !”
“ยาโทเทมอะไรกัน ? ที่มันเครื่องมือทรมานคนชัด ๆ! นี่ต้องเป็นการทรมานที่เผ่าคนเถื่อนใช้ทรมานคนเป็นแน่ !”
ภายในถ้ำศิลาดังกลบไปด้วยเสียงเจ้าอ้วนหวังแหกปากร้องแสดงถึงความเจ็บปวด ทุกคนทำได้เพียงมองหน้ากันไปมาเท่านั้น
“เจ็บขนาดนั้นเลยหรือ ?” สุ่ยตงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
เป็นเพราะผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นมีร่างกายทรงพลัง ใช้เวลาส่วนมากไปกับการบ่มเพาะพลังตนเอง ดังนั้นจึงมีความสามารถในการทนต่อความเจ็บปวดสูงมาก
บางคนอาจถึงขนาดทนกระดูกหักและบาดแผลลึกได้ คนอย่างเจ้าอ้วนร้องโหยหวนกับการสลักอักขระบนร่างเช่นนี้นับว่าหาได้ยากนัก
ผีเยวี๋ยนหงพยักหน้าเข้าใจความรู้สึก “เจ็บมากจริง ๆ!”
หลังจากนั้นหลายอึดใจ เสียงร้องของหวังโต้วซานก็หยุดลงในที่สุด
เมื่อเขาเดินออกมาจากถ้ำศิลา ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในพลัน
หวังโต้วซานเปลือยครึ่งบน แขนขวามีอักขระลวดลายดูดุดันสีน้ำเงินเข้มวาดเป็นลวดลายอสูรแยกเขี้ยวประดับอยู่ มองดูแล้วน่ากลัวไม่น้อย
หากแต่มีอักขระบนแขนขวาเขาเพียงข้างเดียวเท่านั้น
ที่แขนซ้ายไร้อักขระใด
ซูเฉินจึงอธิบายขึ้น “เขาบอกว่ามันเจ็บเกินไป ข้าสลักลายที่แขนขวาเขาเสร็จก็ไม่ยอมให้ข้าแตะแขนซ้ายเลย”
ทุกคนหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา
หวังโต้วซานเอ่ยเสียงอาย “มันเจ็บจริง ๆ นะ”
ยาโทเทมนั้นสร้างความเจ็บปวดแตกต่างกันกับความเจ็บปวดทั่วไป โจมตีไปที่จิตใจโดยตรง ไม่เพียงแต่เจ็บปวดแสนสาหัส แต่ยังทำให้ปวดล้ารุนแรงด้วย
หวังโต้วซานนั้นชินชากับการต่อสู้ดุเดือด เพียงแต่รับมือกับความเจ็บปวดประเภทนี้ได้ยากไปสักหน่อย สุดท้ายจึงทนให้สลักเพียงแขนขวาเท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่หวังโต้วซานกล่าวได้ถูกต้อง คือเดิมทียาโทเทมนี้เป็นสิ่งที่เผ่าคนเถื่อนใช้ทรมานคน หลังจากนั้นก็บังเอิญพบว่ามันสามารถเปิดใช้ปราณโลหิตในร่างได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนให้กลายเป็นอักขระอันเป็นเอกลักษณ์ประจำเผ่าไป
สำหรับเผ่าคนเถื่อน อักขระโทเทมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งพลัง แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งจิตใจที่แข็งแกร่งด้วย
คนที่สามารถทนสลักอักขระทั่วร่างได้ย่อมมีพลังใจไม่ธรรมดา
ดังนั้นการแบ่งขั้นพลังของเผ่าคนเถื่อนจึงทำได้ไม่ยากเย็น นั่นคือแยกจากอักขระที่มีอยู่บนร่างนั่นเอง
ยิ่งบนร่างมีอักขระมาก ก็ยิ่งมีพลังและความดุดันสูง เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
“ไม่เป็นไร แขนขวาก็พอแล้ว จริง ๆ มีอักขระน้อยหน่อยก็ดี จะได้ใช้ปราณโลหิตน้อยลงบ้าง เพราะอย่างไรหากมีอาวุธเหมาะมือแล้ว สลักลายแขนข้างเดียวก็พอ”
“แล้วแผนการส่วนที่ 2 ล่ะ ?” เฮ่ออวิ๋นตงถามขึ้น
“ข้าต้องการอสูรร้ายที่ยังมีชีวิต” ซูเฉินตอบ
1 ชั่วยามต่อมา อสูรร้ายที่ถูกจับมัดก็ถูกลากมาวางไว้ตรงหน้าซูเฉิน
ซูเฉินหยิบยาขวดหนึ่งมากรอกปากมัน
“มันคือยาลดกำลัง ดื่มแล้วจะลดความแกร่งลงมาก”
เฮ่ออวิ๋นตงเข้าใจเจตนาทันที “เจ้าคิดใช้มันให้อสูรกายกินหรือ ?”
ซูเฉินพยักหน้า
“ได้ผลดีแค่ไหนหรือ ?” เฟิงอี้กูถามขึ้น
“ยาลดกำลังระดับสูงสามารถลดความแข็งแกร่งได้มากถึง 4 ใน 10 ส่วน แต่ข้ากรอกใส่ปากอสูรร้ายก่อนค่อยให้มันกินอสูรร้ายอีกที ผลน่าจะต่ำกว่านั้น ลองคาดเดาดูน่าจะได้ราว 2 ใน 10 ส่วน”
เฮ่ออวิ๋นตงพยักหน้า “หากเป็นอสูรกายระดับต่ำ ลดกำลังมันลง 2 ใน 10 ส่วนก็มากพอแล้ว ”
ภารกิจครั้งนี้ไม่เหมือนกับการรวมกลุ่ม 4 คนยามฝึกที่ถูกอสูรกายตัวหนึ่งไล่ล่า ตอนนั้นอสูรกายกินยาปลอมเจ้าไป และกลุ่มศิษย์ก็มีเพียง 4 คนเท่านั้น
แต่ตอนนี้มีศิษย์ราวสิบกว่าคนรับมือกับอสูรกายที่ถูกยาจริง ดังนั้นจึงมีโอกาสสำเร็จมากกว่า
เฮ่ออวิ๋นตง ซูเฉิน เฟิงอี้กู่ ผีเยวี๋ยนหง เสิ่นอวี้เฉิง และเสิ่นหลงเฉิงนั้นเป็น 1 ใน 10 อันดับศิษย์ หวังโต้วซาน สือเจียงป๋อ ฟ่านหรูจื่อ และสุ่ยตงก็อยู่ใน 20 อันดับแรก อู๋เสี่ยวที่มีหมายเลข 21 ก็ไม่อ่อนแอ ดูแลตัวเองได้ เจียงหานเฟิงและจี้ลั่วอวี่หากเทียบแล้วอาจอ่อนแอกว่า แต่ก็มีกลยุทธ์ลับซุกซ่อนไว้ ส่วนหม่าเซวียนที่เชี่ยวชาญค่ายกลปกปิดก็ถูกเลือกให้รั้งอยู่ที่ตั้งมั่นเพื่อไม่ให้ภูเขาหินถูกศัตรูบุกรุก
ในตอนที่ทุกคนกำลังจะลงมือนั่นเอง คนอีก 2 คนก็มาถึง เป็นหวังเสวียนอันและเว่ยหยาง
หวังเสวียนอันเป็นศิษย์ที่ก่อนหน้านี้พยายามกดอันดับอวิ๋นเป้า แต่เรื่องนั้นก็เป็นอดีตไปแล้ว ไม่ว่าแต่ก่อนจะเคยบาดหมางอะไรกันมา แต่ตอนนี้ก็ต้องร่วมมือกันต่อสู้กับเผ่าคนเถื่อน หวังเสวียนอันได้อันดับ 29 ไม่อ่อนแอเลยสักนิด การมาถึงของเขายิ่งเพิ่มกำลังใจให้คนทั้งหมด
เว่ยหยางเป็นศิษย์ชั้นปีที่ 8 เชี่ยวชาญค่ายกลต้นกำเนิด หมายเลขศิษย์คือ 35 ฝีมืออ่อนแอกว่าเจียงหานเฟิง แต่มีเขาย่อมดีกว่าไม่มี
ดังนั้นคน 15 คนจึงเดินทางเข้าป่าไป
เมื่อมาถึงแล้วทุกคนก็ไปตามจุดที่นัดหมายกันไว้ ซูเฉินลากร่างอสูรร้ายที่โดนกรอกยามาตรงจุดที่วางแผน จากนั้นจุดธูปล่อสัตว์อสูรที่ไว้ใช้ล่ออสูรกายโดยเฉพาะหนึ่งดอก ทุกคนปกปิดตนเองเป็นอย่างดีและรอเป้าหมายมาถึง
ไม่นาน อสูรกายร่างยักษ์ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเกล็ดสีม่วงก็เผยกายออกมาจากในป่า
หัวมันเล็กมาก แต่มีหางยาว มันเดินตรงเข้ามาพร้อมกับหางขนาดยักษ์สองหาง
อาจเพราะมันครองผืนป่ามายาวนาน เจ้าอสูรกายจึงไม่มีท่าทีระแวดระวังภัย มันเห็นอสูรร้ายถูกยาแล้วก็บังเกิดความหิวกระหาย กระโจนเข้ามาหมายจะฉีกเนื้อกินทันที
ตอนที่มันกำลังฉีกร่างอสูรร้ายอยู่นั้น ทุกคนก็ยังแอบซ่อนมิดชิด รอคอยจังหวะ นอกจากอู๋เสี่ยวแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมองไปทางเจ้าอสูรกาย
เจ้าอสูรกายนั้นมีความสามารถในการสัมผัสว่องไว ซูเฉินและคนอื่น ๆ คงจะถูกพบตัวแทบจะทันทีหากสบตามันเข้า
มีเพียงสายเลือดอสูรตาทิพย์ของอู๋เสี่ยวเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับความสามารถของมันได้
เมื่ออสูรเกล็ดม่วงเขมือบเหยื่อเข้าไปทั้งตัวแล้ว อู๋เสี่ยวที่จ้องมันไม่วางตาก็เอ่ยขึ้น “ยาเริ่มทำงานแล้ว พลังมันลดลง 2 ส่วนครึ่งใน 10 มากกว่าที่เราคาดเดาไว้ ตอนนี้ลงมือได้เลย”
เขาพูดจบก็ถอนหายใจยาวออกมา เขาใช้พลังในการปกปิดตนเองไปมาก ในที่สุดความกดดันก็คลายลงเสียที
สิ้นเสียงถอนหายใจ อสูรเกล็ดม่วงก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาเป็นครั้งแรกในทันที มันหันไปมองยังจุดที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่แล้วคำรามเสียงดังลั่น
“ในที่สุด ! ข้ารอมานานแล้ว !” หวังโต้วซานส่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง ก่อนจะกระโจนออกมาจากพุ่มไม้ พุ่งเข้าใส่อสูรเกล็ดม่วงทันที
เมื่อเห็นหวังโต้วซานปรากฏตัวออกมา อสูรเกล็ดม่วงก็อ้าปาก พ่นแสงสีม่วงดำออกมาจากปาก
แสงสีม่วงดำควบรวมกันกลายเป็นภาพดาบ ปล่อยไอสังหารออกมา พุ่งเข้าใส่หวังโต้วซานอย่างดุดัน
คมแสงนั้นปะทะเข้ากับเกราะผลึกวารีของหวังโต้วซาน เกราะแตกทันที ส่งผลให้เศษผลึกกระจายไปทั่ว
จากนั้นพลังจึงเข้าปะทะร่างหวังโต้วซาน ร่างอ้วนของเขากระเด็นไปในอากาศ โลหิตกระฉูดไปเป็นทาง
ซัดพลังเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายเกราะ ทั้งยังทำให้เขาบาดเจ็บได้
อสูรกายนี่ทรงพลังจริง
แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำได้เพียงเท่านี้ เพราะมันได้ถูกยาลดพลังไปแล้ว
ตู้ม !
ร่างยักษ์ของเขากระแทกลงกับพื้น เกิดเป็นหลุมลึกขึ้น
ที่มุมปากเขามีเลือดไหลออกมา
เขายกมือขึ้นปาดมันออกแล้วเอ่ยเสียงดุดัน “รุนแรงไม่น้อย ! แต่ข้ารับมือไหว !”
พูดจบ บาดแผลบนร่างเขาก็เริ่มฟื้นตัวในทันที แผลลึกที่เพิ่งได้รับกลับค่อย ๆ จางหายไป
“แล้วจะรอช้าอยู่ไย ? ไปเถอะ !” เฮ่ออวิ๋นตงร้องขึ้น
หากเจ้าอ้วนโดนซัดแล้วไม่ตาย เช่นนั้นพวกเขาก็มีโอกาสชนะเป็นแน่
“บุก !”
แล้วทุกคนก็พุ่งเข้าใส่มันพร้อม ๆ กัน