ภาคที่ 2 บทที่ 148 กำจัดอสูรกาย (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 148 กำจัดอสูรกาย (2)

ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !

แรงระเบิดส่งคลื่นพลังกระจายไปรอบทิศ เหล่าศิษย์เริ่มซัดพลังออกไปไม่ลังเล

พวกเขากำลังนำสิ่งที่เรียนจากในตำรามารับมือกับมัน

หวังโต้วซานและเฟิงอี้กู่เป็นเกราะมนุษย์

เฟิงอี้กู่ไม่เหมือนหวังโต้วซานที่สามารถฟื้นฟูอย่างรวดเร็วได้ เฟิงอี้กู่นั้นมีพลังป้องกันกล้าแข็งมาก สายเลือดเต่าทมิฬของเขามีวิชาเกราะเต่าทมิฬ นับเป็นวิชาเกราะระดับศักดิ์สิทธิ์ มันทรงพลังมากกระทั่งสว่านทะลวงเกราะของซูเฉินยังทะลวงผ่านไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะมันใช้พลังจากสายเลือดมาก และรั้งอยู่ได้ไม่นานนัก เขาคนเดียวก็สามารถต้านการโจมตีจากอสูรเกล็ดม่วงได้

เมื่อได้หวังโต้วซานมาช่วยเหลือ คนทั้งสองจึงสลับสับเปลี่ยนกันได้ ทำให้แต่ละคนไม่ต้องกดดันมากนัก

ซูเฉิน เฮ่ออวิ๋นตง ผีเยวี๋ยนหง และฝาแฝดแซ่เสิ่นเป็นผู้โจมตีหลัก

เฮ่ออวิ๋นตงและผีเยวี๋ยนหงนั้นแกร่งทั้งตั้งรับและโจมตี เฮ่ออวิ๋นตงมีสายเลือดอสูรโลกันตร์คลั่งที่เป็นสายเลือดระดับราชันอสูร หมัดสวรรค์พิโรธของเขาปล่อยพลังเกินหยั่ง เข็มพิโรธของเขาสามารถทะลวงผ่านเกราะเกล็ดของมัน เกิดเป็นแผลไหม้หลายจุด

ส่วนสายเลือดอสูรปฐมกาลฟันแยกของผีเยวี๋ยนหงนั้นหากเทียบกันแล้วไม่มีพลังดุดันเท่า แต่การโจมตีทุกท่วงท่าทั้งหนักหน่วงและมั่นคง อีกทั้งคนทั้งคู่ยังมีร่าวกายสูงใหญ่บึกบึนมาแต่เดิม ดังนั้นจึงพอช่วยหวังโต้วซานและเฟิงอี้กู่รับมือพลังซัดจากศัตรูได้บ้าง

พลังของระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงของซูเฉินนั้นปรากฏชัดเจน เมื่อได้ความช่วยเหลือจากสหายคนอื่น ๆ การต่อสู้ก็ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เขาเพียงอยู่ด้านหลังแล้วปล่อยเหยี่ยวเพลิงลูกแล้วลูกเล่าออกมาเท่านั้น

นักเวทย์ที่สามารถปล่อยการโจมตีได้อย่างอิสระนั้นอันตรายนัก หากนับเรื่องจำนวนพลังโจมตีที่ปล่อยออกมา เขาก็นับว่าแกร่งกว่าเฮ่ออวิ๋นตงและผีเยวี๋ยนหงเสียอีก

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดออกมา

แฝดแซ่เสิ่นคือคู่ที่น่ากลัวที่สุด

ทั้งสองต่อสู้เข้ากันเป็นอย่างดี เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วก็สามารถรวมพลังการโจมตีได้ หากถูกการโจมตีจากคนใดก็เท่ากับแรงโจมตีทวีคูณเป็น 2 เท่า อีกทั้งยังคล่องแคล่ว โจมตีได้ว่องไว ซัดฝ่ามือออกไปไวมากจนกระทั่งทิ้งภาพติดตาไว้เป็นทาง ฝ่ามือนับไม่ถ้วนกระหน่ำใส่ร่างอสูรเกล็ดม่วง แต่ทั้งคู่ก็มีจุดอ่อนเช่นกัน คือพลังป้องกันต่ำมาก มีเพียงสถานการณ์เช่นนี้ที่จะสามารถปล่อยการโจมตีออกไปได้อย่างไรกังวล

สือเจียงป๋อ ฟ่านหรูจื่อ และสุ่ยตงเป็นฝ่ายสนับสนุน

สือเจียงป๋อเกิดที่มณฑลหลิ่งหนาน มีสายเลือดแมลงกลืนใจ วิชาจากสายเลือดของเขาคือคำสาปกลืนใจ หากมีเลือดของศัตรูก็จะสามารถใช้คำสาปและทรมานอีกฝ่ายไปเรื่อยได้ วิชานี้สามารถใช้กับอสูรเกล็ดม่วงได้เช่นกัน ซึ่งเมื่อได้ยาลดกำลังของซูเฉินแล้วก็ช่วยลดกำลังของอสูรเกล็ดม่วงลงอีก 2 ใน 10 ส่วน แม้จะไม่อาจทำอันตรายกับตัวอสูรได้โดยตรงนัก แต่ก็ช่วยได้ไม่น้อย ช่วยได้มากกว่าคนอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ

ความสามารถโดยกำเนิดของสุ่ยตงสามารถลดปราณชั่วร้ายของอสูรเกล็ดม่วงได้ ส่วนฟ่านหรูจื่อก็สามารถเพิ่มความเร็วของทุกคน ทำให้ทุกคนคล่องตัวมากขึ้น เขาเป็น 1 ในกลุ่ม 4 คนกับอวิ๋นเป้า เป็นกลุ่มที่สามารถหนีอสูรกายพ้นเมื่อการฝึกครั้งก่อนหน้าได้สำเร็จ

ส่วนเจียงหานเฟิงและคนอื่นอีกสองคนเองก็ถูกรับเลือกมา ย่อมมีวิชาลับซุกซ่อน พวกเขาล้อมมันไว้แล้วโจมตีมันพร้อมกัน ช่วยเหลือในภารกิจครั้งนี้เช่นกัน

แต่ถึงกระนั้น อสูรกายระดับต่ำก็ยังคงเป็นอสูรกาย แม้จะถูกรุมโดยกลุ่มคน 16 คน แต่มันก็ยังไม่ตาย

เกล็ดมันหนาและทนทานมาก อีกทั้งยังปล่อยปราณชั่วร้ายหนาแน่นออกมาอยู่ตลอด ทำให้บาดแผลบนร่างหายดีอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ใช้หางยักษ์กวาดไปรอบ ๆ อีกด้วย

อสูรกายนั้นเมื่อเทียบอสูรร้ายแล้วนับว่าคนละระดับกันเลย

ไม่ใช่เพียงเพราะพวกมันมีสติปัญญา แต่เป็นเพราะความต่างในการเอาตัวรอดที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

อสูรกายสามารถใช้ปราณชั่วร้ายรักษาบาดแผลที่ไม่ถึงชีวิตได้

ซูเฉินเคยระเบิดจมูกอสูรเร่ร่อนตาหยกมาก่อน แต่สุดท้ายมันก็รวมปราณชั่วร้ายในร่างแล้วสร้างจมูกขึ้นมาใหม่ได้

นับเป็นข้อแตกต่างสำคัญระหว่างอสูรกายและอสูรร้าย

หากผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอยากมีพลังถึงขั้นนี้ จำต้องทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารเป็นอย่างต่ำ เว้นเสียแต่จะมีวิชาลับเช่นวิชากลืนสวรรค์

อีกทั้งยังเป็นข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าสัตว์อสูร ยิ่งขั้นพลังสูงความแตกต่างยิ่งเห็นชัด ดังนั้นเผ่าสัตว์อสูรจึงครองพื้นที่ส่วนมากในผืนทวีปไป แม้เทพอสูรบรรพกาลและอสูรดึกดำบรรพ์จะพากันหลับใหลอยู่ แต่เผ่าสัตว์อสูรที่นำโดยอสูรกายก็ยังคงครองพื้นที่และทรัพยากรกว่า 6 ใน 10 ส่วน

หากแต่อสูรเกล็ดม่วงตัวนี้ไม่ได้มีปราณชั่วร้ายให้ใช้อย่างไม่จำกัด

อาจเพราะมันเติบโตมาในพลังงานสูญ ดังนั้นจึงมีประสบการณ์น้อย อีกทั้งยังมีสติปัญญาจำกัด

ดังนั้นเมื่อถูกโจมตี มันจึงทำได้เพียงส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด ปล่อยแสงสีม่วงคล้ำออกไปรอบทิศไม่หยุด มันไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้ อีกทั้งยังไม่เข้าใจการแยกแยะเป้าหมาย ไม่อาจต่อกรกับเหล่าศิษย์ได้เลย

แผนการที่ดึงมาจาก ‘ตำรา’ ของพวกเขาจะใช้ได้ผลกับศัตรูเช่นนี้เท่านั้น

หากอสูรกายตัวนี้มีสติปัญญาเหนือชั้นกว่านี้ ก็คงไม่อาจใช้วิธีนี้ได้ มันคงจะได้เล็งจัดการคนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มก่อน ไม่ใช่มุ่งโจมตีแต่เกราะมนุษย์ทั้งสองของพวกเขาอย่างไร้ผลเช่นนี้

อสูรเกล็ดม่วงโจมตีใส่แต่หวังโต้วซานและเฟิงอี้กู่ ทำให้คนอื่น ๆ มีโอกาสปล่อยการโจมตีไม่หยุดยั้ง

แม้มันจะพยายามมากเพียงไหน ปราณชั่วร้ายของมันก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ ทำให้บาดแผลทั่วร่างปรากฏ เรี่ยวแรงเริ่มจางหาย

เจ้าอสูรกายเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

มันจึงเริ่มถอย หมายจะหาทางหนี

“อย่าปล่อยมันไป !” เฮ่ออวิ๋นตงตะโกนขึ้น

หวังโต้วซานชูแขนทั้งสองข้างขึ้นฟ้า ฝ่ามือยักษ์พลันร่วงหล่น คล้ายกับจะกลืนกินพื้นที่โดยรอบ มันทุ่มลงมาหักขาอสูรเกล็ดม่วงในทันใด ตามมาด้วยเฟิงอี้กู่ที่พุ่งเข้าไปซัดฝ่ามือเข้าที่หลังอสูรเกล็ดม่วง จนมันเจ็บและร้องเสียงโหยหวนออกมา

ในตอนที่กำลังจะจัดการเจ้าอสูรกายได้นั่นเอง พวกเขาก็พบว่ามีอสูรเกล็ดม่วงอีกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นจากในป่า

ทำให้ทุกคนเริ่มตื่นตระหนก

จะมีอีกตัวได้อย่างไรกัน ?

ก่อนหน้านี้ซูเฉินและอู๋เสี่ยวก็ตรวจพบเพียงอสูรกายหนึ่งตัว แต่กลับมีอีกตัวหนึ่งโผล่มาได้

ทุกคนได้แต่ก่นด่าอยู่ภายในใจ

เป็นตอนนั้นเองที่อู๋เสี่ยวตะโกนขึ้น “อสูรเกล็ดม่วงตัวนี้ยังไม่โตเต็มวัย !”

ทุกคนจึงสังเกตว่าอสูรเกล็ดม่วงตัวนี้ตัวเล็กกว่ามาก แม้จะเป็นอสูรกาย แต่กำลังมันต้องน้อยกว่าอสูรเกล็ดม่วงที่โตเต็มวัยแล้วแน่นอน

หากแต่ก็ยังไม่อาจเบาใจได้ แต่สีหน้ากลับยิ่งดำคล้ำกว่าเดิม

หวังโต้วซานเอ่ยขึ้นช้า ๆ “หากมีตัวใหญ่กับตัวเล็ก เช่นนั้นก็สมควรจะมีอสูรเกล็ดม่วงตัวโตเต็มวัยอีกตัวอยู่ในป่ากระมัง ? หากข้าจำไม่ผิด…… จะมีลูกออกมาได้ก็ต้องมีทั้งตัวผู้และตัวเมียใช่หรือไม่ ?”

ทุกคนจึงเริ่มแตกตื่น

ทุกคนเข้าใจในทันที

เหตุใดจึงไม่เคยคิดได้มาก่อนเลยเล่า ? อสูรเหล่านี้ไม่มีทางอยู่มาแล้วนับหมื่นปีหรอก ที่นี่เองก็มีสภาพแวดล้อมเกิดขึ้นเองแล้วด้วย เช่นนั้นแล้วมันจะไม่มีอีกตัวได้อย่างไรกัน ?

พวกเขาประมาทเกินไปจริง ๆ!

ผีเยวี๋ยนหงยังคงมีความหวัง “ไม่แน่ว่าอสูรกายประเภทนี้คงไม่ต้องมีตัวผู้ตัวเมียทำให้เกิดลูกหรอกกระมัง ? อาจจะไร้เพศก็ได้”

อู๋เสี่ยวเค้นเสียงตอบ “เท่าที่ข้าประเมินดู…… มันไม่ใช่แบบนั้น”

บัดซบ !

ทุกคนสบถด่าในใจ

หากแต่ซูเฉินกลับเผยสีหน้ามุ่งมั่นออกมา “ปล่อยศรออกไปแล้วย่อมไม่อาจหยุดศรได้ ในเมื่อเรื่องดำเนินมาจนถึงขนาดนี้ ต้องสู้จนถึงที่สุดเท่านั้น ยังไม่ต้องไปสนใจตัวที่ยังไม่มา จัดการตัวที่อยู่ตรงหน้าก่อนเถอะ !”

“แล้วจะทำอย่างไรกับตัวเล็ก ?” เฟิงอี้กู่ตะโกน ตาจ้องมองไปยังอสูรเกล็ดม่วงตัวเล็ก

เป็นตอนนั้นเองที่เจ้าตัวที่เล็กกว่าสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์ไม่ปกติ มันจึงแยกเขี้ยวแล้วกระโจนเข้าใส่พวกเขาทันใด

แม้เจ้าอสูรเกล็ดม่วงตัวนี้จะเล็กกว่า แต่มันก็ยังเป็นอสูรกาย อีกทั้งหากมันทำลายรูปแบบการต่อสู้ที่พวกเขาวางไว้ มันก็จะทำให้สถานการณ์พลิกผันเป็นยากลำบากได้

หากการต่อสู้ยาวนานต่อไปจนอีกตัวหนึ่งเข้ามาอีก ถึงตอนนั้นแม้อยากหนีก็คงไร้ทางไป

ซูเฉินตะโกน “ข้าเอง พวกเจ้ารีบจัดการตัวนั้นไป !”

จากนั้นเขาก็พุ่งใส่อสูรเกล็ดม่วงตัวเล็กทันที