ภาคที่ 2 บทที่ 149 ขอความช่วยเหลือ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 149 ขอความช่วยเหลือ

ซูเฉินพุ่งเข้าใส่อสูรเกล็ดม่วงตัวเล็ก ระเบิดเหยี่ยวเพลิงพุ่งออกจากมือเข้าปะทะร่างมัน จากนั้นเขาก็เปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปยังป่าด้านข้างแทน

สติปัญญาของอสูรเกล็ดม่วงตัวเล็กนั้นต่ำกว่าตัวใหญ่มาก มันถูกดึงความสนใจไปทันที วิ่งไล่ตามชายหนุ่มไป

หวังโต้วซานสบถออกมาเมื่อเห็นว่าอีกตัววิ่งไล่ซูเฉินไป “บัดซบ เอาอีกแล้ว !”

ก่อนหน้านี้ซูเฉินก็เคยทำเช่นนี้กับวานรยักษ์เหล็กกล้ามาแล้ว ตอนนี้เขาก็ทำแบบเดิมอีก

หวังโต้วซานได้แต่หวังว่าพวกเขาจะไม่ถูกดึงตัวไว้นานนักและตามไปช่วยอีกฝ่ายได้ทัน

แม้ใจจะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ตัดสินใจปล่อยวางเรื่องนั้นไป อักขระบนแขนขวาพลันส่องแสงขึ้น

คลื่นพลังที่พุ่งทะยานทำให้แขนเขามีขนาดใหญ่ขึ้น ฟาดแขนไปที่อกอสูรเกล็ดม่วงดั่งเสาเหล็กขนาดใหญ่ อสูรเกล็ดม่วงกู่ร้องเสียงโกรธ ก่อนจะพ่นแสงสีม่วงที่ซ่อนคมมีดเอาไว้ออกมา ทั้งยังมีพลังไฟฟ้าประหลาดแผ่ดังเปรี๊ยะอยู่ล้อมรอบ

“เปิดพลังให้ข้า !” นัยน์ตาหวังโต้วซานส่องประกายเยียบเย็น หมัดเหล็กพุ่งทะยานปะทะกับพลังไฟประหลาด ระเบิดเป็นแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งป่า

หมัดเหล็กเริ่มปล่อยคลื่นพลังและแรงดันออกมา

อักขระบนแขนถูกเปิดใช้จนถึงขั้นสุด คลื่นพลังสั่นรัวเป็นจังหวะอยู่ที่แขน ก่อนจะปลดปล่อยออกมาเป็นพลังเคล้าสังหารพุ่งทะยานออกไป

ตู้ม !

บาดแผลเหวอะโชกโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าอกอสูรเกล็ดม่วง เป็นบาดแผลฉกรรจ์จนมันไม่อาจใช้ปราณชั่วร้ายรักษาได้

เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกทั้งดีใจและเสียใจ

ที่ดีใจเป็นเพราะเห็นว่าอักขระนั้นทรงพลังถึงเพียงไหน และที่เสียใจเป็นเพราะพวกเขาส่วนมากไม่อาจใช้มันได้

“เป้าหมายบาดเจ็บแล้ว !” เฮ่ออวิ๋นตงร้องพลางปล่อยหมัดสวรรค์พิโรธออกไป

แล้วพลังซัดทั้งหลายก็เข้าปะทะร่างมันในพลัน

“โฮกกกกกก !!”

อสูรเกล็ดม่วงส่งเสียงร้องเจ็บปวดครั้งสุดท้ายออกมา

เสียงร้องนั้นดังก้องไปทั่วทั้งพลังงานสูญ

พลังชีวิตของอสูรเกล็ดม่วงค่อย ๆ อ่อนกำลังลง ก่อนมันจะหงายหลังล้มลงในที่สุด

“ทำได้แล้ว !” ทุกคนตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ

“เราต้องไปช่วยซูเฉิน !” พริบตาเดียวทุกคนก็พุ่งออกไป ไม่เหลียวมองร่างที่นอนอยู่กับพื้นแม้แต่น้อย

พวกเขาเร่งฝีเท้าเข้าป่าไปก็เห็นว่าอสูรเกล็ดม่วงตัวเล็กยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าซูเฉิน

หวังโต้วซานร้องขึ้น “บัดซบ เจ้าคงไม่ได้สังหารมันด้วยตัวคนเดียวอีกกระมัง ?”

หากแต่ซูเฉินกลับหันมาส่งเสียงชู่ใส่พวกเขาเป็นเชิงบอกให้เงียบเสียง

เป็นตอนนั้นทุกคนทุกพบว่าอสูรเกล็ดม่วงตัวเล็กนั้นยังไม่ตาย เพียงแต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างไร้เหตุผล

ซูเฉินแตะนิ้วลงบนพื้นที่ระหว่างคิ้วมัน แต่เจ้าอสูรเกล็ดม่วงตัวเล็กกลับไร้ปฏิกิริยาใด

คนอื่น ๆ หันมองหน้ากันไม่รู้ว่าตนควรทำเช่นไร

ครู่หนึ่งผ่านไป ซูเฉินจึงดึงมือกลับมา

อสูรเกล็ดม่วงตัวเล็กพลันตื่นออกจากภวังค์ ส่งเสียงร้องสับสนราวกับมันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะหันมาหมายจะกระโจนใส่ซูเฉิน

ซูเฉินรีบกระโดดถอยไปในทันใด “อย่าสังหารมัน ข้าต้องการมันตัวเป็น ๆ”

“เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้าน่ะซูเฉิน !” เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ยหน้านิ่วคิ้วขมวด “เจ้าอย่าลืมว่ายังมีตัวเต็มวัยอีกตัวอยู่แถบนี้นะ”

ซูเฉินตอบ “อย่ากังวลเลย ในป่ามีเพียงอสูรกายตัวเต็มวัยเพียงหนึ่งเท่านั้น ตัวเดียวกับที่เราสังหารไปเมื่อครู่”

หือ ?

ทุกคนตะลึงไป

อู๋เสี่ยวได้ยินแล้วก็ดีใจ “เช่นนั้นก็หมายความว่าวิชาจับสัมผัสของข้าไม่ได้ผิดพลาดสินะ ?”

หวังโต้วซานถาม “แล้วเจ้าตัวเล็กนี่มาอย่างไรกัน ?”

“ย่อมต้องเกิดมา เพียงแต่ตัวพ่อไม่ได้อยู่ที่นี่เท่านั้น” ซูเฉินตอบ

เขาใช้คางชี้ไปทางภูเขาที่อยู่ไกล ๆ ลูกนั้น

ทุกคนจึงเข้าใจ

“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?” ผีเยวี๋ยนหงถามขึ้น

ซูเฉินเพียงยิ้ม ผีเยวี๋ยนหงรู้ดีว่าตนถามไปไม่ทันคิด

แต่ละคนย่อมมีความลับเป็นของตนเอง หากซูเฉินไม่อยากบอกคนอื่น ๆ เช่นนั้นถามไปก็ไม่ได้อะไร

ว่าแล้วพวกเขาก็ช่วยกันจับตัวอสูรเกล็ดม่วงตัวเล็กไว้

แม้มันจะพยายามหลบหนี แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์มากฝีมือหลายคนเข้ามันก็หนีไม่พ้น

“เจ้าจะเอาเจ้าตัวเล็กนี่ไปทำอะไร ?” เฮ่ออวิ๋นตงถาม

“นำไปให้โจวจวินเจียควบคุม”

โจวจวินเจียเชี่ยวชาญด้านการคุมอสูรร้าย นางเป็นศิษย์ชั้นปีที่ 8 อันดับที่ 28 มีกำลังพอ ๆ กับจินหลิงเอ้อร์ หากแต่ความต่างอย่างหนึ่งคือนางเชี่ยวชาญด้านการควบคุมอสูรร้ายโดยเฉพาะ สามารถควบคุมได้หลายตัวในคราเดียว อีกทั้งยังสามารถควบคุมตัวที่แข็งแกร่งกว่าได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านที่นางเหนือกว่าจินหลิงเอ้อร์ อีกทั้งฝีมือนางก็ไม่ได้อ่อนแอมากนัก

“ควบคุมหรือ ?” เฮ่ออวิ๋นตงชะงักไปเล็กน้อยก่อนเข้าใจ “เอาไว้จัดการตัวใหญ่อีกตัวงั้นหรือ ?”

ซูเฉินพยักหน้า “มันเป็นอสูรกายระดับกลางเชียวนะ”

ทุกคนสูดอากาศเย็นเข้าปอดทันที

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความคิดที่มีต่ออสูรเกล็ดม่วงตัวเล็กก็เปลี่ยนแปลงไป

เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ย “หานเฟิง ฝากเจ้าด้วย เจ้าดูแลมันให้ดีจนกว่าจวินเจียจะมาถึง หากมันหนีไปได้เจ้าต้องรับผิดชอบ”

“ท่านอย่าห่วง” เจียงหานเฟิงตบอกตนเองสีหน้ามั่นใจ

เขาเชี่ยวชาญค่ายกลจำกัดพื้นที่มาก ทำกรงสักกรงขังอสูรกายตัวเล็กนี่ไว้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาหรอก

เมื่อจัดการอสูรกายในป่าได้แล้ว ซูเฉินจึงสามารถเก็บเกี่ยวทรัพยากรทั่วทั้งป่า ดังนั้นพื้นฐานการบ่มเพาะพลังจึงสูงขึ้นอีก ทั้งยังได้วัตถุดิบยามาเพิ่มเติม

“หัวหน้า ท่านดูว่าข้าเจอสิ่งใด” จี้ลั่วอวี่โบกผลึกแก้วแปลก ๆ ในมืออยู่เหนือหัวตน

“ผลึกแก้วต้นกำเนิด !” นัยน์ตาหม่าเซวียน สุ่ยตง และคนอื่น ๆ พลันเป็นประกาย

ผลึกแก้วต้นกำเนิดนั้นเกิดมาจากพลังต้นกำเนิดในร่างสัตว์อสูร พวกมันคล้ายกับหินพลังต้นกำเนิด แต่มีความบริสุทธิ์กว่ามาก สามารถใช้เพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังได้โดยตรง ดังนั้นจึงมีมูลค่ามากกว่าอยู่เล็กน้อย

ผลึกแก้วต้นกำเนิดอันนี้เพิ่งเก็บได้มาจากร่างของอสูรเกล็ดม่วง เมื่อดู ๆ แล้วก็คิดว่ามีมูลค่าราวหินพลังต้นกำเนิด 500 – 1000 ก้อน ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงดูตื่นเต้นไม่น้อย

หากแต่ซูเฉินและเฮ่ออวิ๋นตงทำเพียงยิ้มเท่านั้น

แม้ผลึกแก้วต้นกำเนิดจะมีมูลค่าสูง แต่ก็ไม่นับว่าเป็นของหายาก

ภารกิจในการสำรวจซากโบราณครั้งนี้ไม่ใช่การเข้ามาเสาะหาของธรรมดาที่สามารถหาได้ง่าย มีเพียงของที่ไม่อาจเห็นได้จากภายนอกเท่านั้นจึงจะนับว่ามีมูลค่าอย่างแท้จริง

ดังนั้นทั้งซูเฉินและเฮ่ออวิ๋นตงจึงไม่ใส่ใจผลึกแก้วต้นกำเนิด สายตาคนทั้งคู่ยังคงจับจ้องไปที่ภูเขาสูงที่อยู่ไกล ๆ ลูกนั้น

ทั้งสองคนกำลังคิดวางแผนบุกภูเขาลูกนั้นอยู่

ฉับพลันก็ได้มีเสียงแตกตื่นของคนผู้หนึ่งดังขัดขึ้น

“ซูเฉิน !”

“ศิษย์พี่หญิงชี !” ซูเฉินจำเสียงนางได้ “ข้าอยู่ทางนี้ !”

ชั่วอึดใจต่อมา เงาร่างของชีเว่ยเยี่ยนก็ปรากฏขึ้นจากไกล ๆ

หากแต่ร่างนางชุ่มไปด้วยเลือดแดงฉาน ดูแล้วอาการสาหัสไม่น้อย

“ศิษย์พี่หญิงชี !” ทุกคนตกใจ รีบพุ่งไปหานางทันที

ชีเว่ยเยี่ยนร้องตะโกน “เร็วเข้า ซูเฉิน ไปช่วยชิงลั่ว ชิงลั่วและคนอื่น ๆ กำลังตกอยู่ในอันตราย !”