บทที่ 150 สัญญาลูกผู้ชาย (1)
“ชิงลั่ว ?” เมื่อได้ยินคำว่าชิงลั่ว ซูเฉินก็พลันกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
เขาพุ่งไปคว้าร่างชีเว่ยเยี่ยนแล้วถามนางน้ำเสียงแตกตื่น “ศิษย์พี่หญิงชี เกิดอะไรขึ้น ?”
ชีเว่ยเยี่ยนกำลังจะตอบ หากแต่พ่นเลือดออกมาแทน จากนั้นร่างนางก็ร่วงลงกับพื้น
บาดแผลนางสาหัสนัก แต่นางกลับเร่งมาที่นี่ เมื่อมาถึงนางจึงไร้เรี่ยวแรงจะยืนอีกต่อไป
จากนั้นคนอีกคนก็มาปรากฏตัวเบื้องหลังซูเฉิน คือหม่าเซวียน
เดิมทีเขามีหน้าที่เฝ้าภูเขาหิน แต่เมื่อได้ยินข่าวจากชีเว่ยเยี่ยน เขาก็มุ่งหน้าตามนางเข้ามาในป่าด้วย หากแต่ก็ยังช้ากว่านางที่บาดเจ็บสาหัส เห็นได้ชัดว่าชีเว่ยเยี่ยนฝืนตนเองสุดกำลังเพื่อนำข่าวมาแจ้งให้เร็วที่สุด
ซูเฉินเห็นแล้วจึงรีบหยิบยามาป้อนให้ชีเว่ยเยี่ยนทันที
ชีเว่ยเยี่ยนมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย นางคว้าซูเฉินไว้ “ที่ผาห่างออกไป 20 ลี้ ชิงลั่ว หลงซา หลินเสีย หลี่อวิ๋น เหยียนหลิง และฉู่อันยี่ติดอยู่ในวงล้อมด้วยกันทั้งหมด”
ได้ยินดังนี้ ทุกคนจึงตั้งท่าจะพุ่งออกไปช่วยเหลือคนทันที
เฮ่ออวิ๋นตงเป็นผู้ที่มีอารมณ์มั่นคงที่สุด “มีศัตรูเท่าไหร่ ?”
ชีเว่ยเยี่ยน “ 3 ”
3 เองหรือ ?
3 คนกลับสามารถล้อมคน 6 คนไว้ได้ อีกทั้งยังทำให้ชีเว่ยเยี่ยนบาดเจ็บสาหัส ?
ชีเว่ยเยี่ยน “สองในนั้นมาจากอารามพลังต้นกำเนิด”
เมื่อรู้ดังนี้ทุกคนจึงเข้าใจในพลัน
เครื่องมือสกัดสายเลือดของเผ่ามนุษย์มีความสำคัญเช่นไร อารามพลังต้นกำเนิดก็สำคัญกับเผ่าคนเถื่อนเท่านั้น
ทั้งสองเป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นจากอาณาจักรอาร์คาน่า มุ่งหมายจะทำให้การใช้พลังต้นกำเนิดของเผ่าตนเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น
หากแต่มีสิ่งสำคัญหนึ่งที่แตกต่างกัน นั่นคือเครื่องมือสกัดสายเลือดพึ่งพาความแกร่งจากเผ่าสัตว์อสูร เป็นเพียงเครื่องมือขยายพลัง ดึงพลังมาจากสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วเท่านั้น
หากแต่อารามพลังต้นกำเนิดนั้นใช้เปลี่ยนพลังชีวิตภายในร่างกาย เสริมร่างกายให้ปรับตัวเข้ากับพลังต้นกำเนิดได้ดีมากขึ้น ทำให้สามารถใช้พลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เผ่าอาร์คาน่านั้นมีร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจทนทานต่อพลังต้นกำเนิด ดังนั้นจึงพึ่งพารูปแบบพลังต้นกำเนิดและการฝึกบ่มเพาะพลังจากภายนอกเพื่อเปิดใช้และควบคุมพลังต้นกำเนิด ในขณะที่เผ่ามนุษย์สามารถดูดซับพลังต้นกำเนิดเข้าไปในร่างกายและเสริมสร้างร่างให้แกร่งขึ้นได้ แต่เผ่าอาร์คาน่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้
ดังนั้นเผ่าอาร์คาน่าจึงคิดค้นอารามพลังต้นกำเนิดขึ้น มุ่งหวังว่าจะสามารถทะลวงผ่านขีดจำกัดในร่างกายตนได้ ทำให้เผ่าตนสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้เหนือชั้นมากขึ้นกว่าเดิม
หรือก็คืออารามพลังต้นกำเนิดนับเป็นความพยายามโดยตรงของเผ่าอาร์คาน่าที่หมายจะก้าวข้ามผ่านความอ่อนแอด้านร่างกาย
จุดมุ่งหวังเดิมของพวกเขาคือ ประการแรกจะใช้อารามพลังต้นกำเนิดเพื่อเปลี่ยนร่างกายตน จากนั้นใช้เครื่องมือสกัดสายเลือดเพื่อเสริมพลัง ยังผลให้เผ่าอาร์คาน่าแต่ละคนมีความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดอันกล้าแกร่ง ทำให้กลายเป็นชนเผ่าที่ทรงพลังอย่างแท้จริง
หากแต่หลังจากที่สร้างอารามพลังต้นกำเนิดขึ้นแล้ว ไม่นานเผ่าอาร์คาน่าก็พบว่ามันมีข้อเสียรุนแรง การผ่านอารามพลังต้นกำเนิดนั้นต้องทนกับความเจ็บปวดเหลือคณา ต้องทนรับความทารุณทางจิตรุนแรงนัก แม้จะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่มา แต่ก็มีไม่น้อยที่มีอาการเสียสติและคลั่งไปเป็นระยะ ๆ
เผ่าอาร์คาน่าใช้สมองอันปราดเปรื่องของพวกเขาครอบครองทวีป ดังนั้นจึงสามารถค้นพบความลับมากมายในใต้หล้า ซึ่งมันสมองเหล่านี้นับเป็นแหล่งความรู้ทั้งหลายที่พวกเขาสั่งสมมา
ดังนั้นเผ่าอาร์คาน่าจึงไม่เต็มใจยอมรับผลเช่นนั้น ทำให้พวกเขามองว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ล้มเหลว หลังจากลองพัฒนาใหม่อยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงละทิ้งมันไป
และเมื่ออาณาจักรอาร์คาน่าล่มสลายลง เผ่าทั้ง 5 ก็เริ่มแบ่งสันปันส่วน
เผ่ามนุษย์ได้เครื่องมือสกัดสายเลือด เผ่าคนเถื่อนเลือกอารามพลังต้นกำเนิด
เผ่าคนเถื่อนไม่เกรงกลัวเรื่องที่ต้องเสียสติ
เพราะโดยธรรมชาติ เผ่านี้เป็นพวกที่บ้าคลั่งหยาบโลนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งกระหายเลือดและกระหายสงคราม แม้จะไม่ได้เสียสติแต่ก็บ้าคลั่งคล้ายคนเสียสติได้ แล้วการที่จู่ ๆ มีอาการคลั่งขึ้นมาจะนับเป็นอะไรเล่า ? ร่างกายของเผ่าคนเถื่อนนั้นดูดซับพลังต้นกำเนิดได้ดี พลังส่วนมากดูดเข้าไปก่อร่างเสริมความแกร่งของกำลังกาย หากแต่มีวิถีการต่อสู้ที่เรียบง่ายมาก ปรับตัวตามสถานการณ์ไม่เก่งกาจเท่าไหร่นัก
อารามพลังต้นกำเนิดช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ สามารถทำให้พวกเขาควบคุมพลังต้นกำเนิดได้ดีกว่าเดิม
มีเพียงเผ่าพันธุ์ที่บ้าคลั่งและทรงพลังแต่กำเนิดเท่านั้นจึงจะสามารถก้าวผ่านอารามแห่งเมืองอนันต์ทุ่งหญ้าฮาเหวยที่อยู่ห่างไกลไปนับพันลี้ได้
แม้ใจจะอยาก แต่เผ่ามนุษย์ก็ไม่อาจรับมือกับอารามพลังต้นกำเนิดได้
หลังจากได้อารามพลังต้นกำเนิดมาแล้ว เผ่าคนเถื่อนจึงสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้ดีกว่าเดิมมาก
และเพราะมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาแต่เดิม เมื่อได้รับการ ‘เจิมน้ำมนต์’ จากอารามพลังต้นกำเนิด พลังก็จะพุ่งสูงขึ้นมากจนน่ากลัว
เคราะห์ดีที่มีอารามพลังต้นกำเนิดเพียงหนึ่งเท่านั้น โดยในแต่ละวันสามารถเจิมน้ำมนต์ให้ได้แค่คน 3 คน
1 ปีในทวีปต้นกำเนิดมี 380 วัน ดังนั้นในปีหนึ่งจะสร้างนักรบอารามขึ้นมาได้ 1,040 คน
หากมองดูภาพรวมของเผ่า จำนวนเท่านี้ยังนับว่าต่ำเกินไป
ข้อบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุดของนักรบอารามนั่นก็คือมีจำนวนน้อยเกินไปนั่นเอง
แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่านักรบอารามนั่นทรงพลังเป็นอย่างมาก
เผ่ามนุษย์รับมือกับนักรบอารามโดยใช้จำนวนคนเข้าสู้ ใช้คนมากรับมือคนน้อย
แต่ในบางครั้ง กลยุทธ์เช่นนี้ก็ใช้ไม่ได้
การสำรวจซากโบราณในครั้งนี้คือครั้งที่ไม่อาจใช้กลยุทธ์เช่นนั้นได้
จริง ๆ แล้วการสำรวจร่วมครั้งนี้ เป็นชนเผ่ากิ้งก่ากรวดที่เสนอมาก่อน
แต่ชาวหลงซางก็ไม่ได้ไร้สมอง จำกัดจำนวนนักรบอารามไว้ ไม่เช่นนั้นหากชนเผ่ากิ้งก่ากรวดส่งนักรบอาราม 40 คนเข้าซากโบราณมา และหากไม่ใช่เชื้อสายจากองค์ฮ่องเต้มาร่วมภารกิจเอง พวกเขาก็คงไม่ต้องได้ทำการสำรวจแล้ว
ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดรู้ดีว่าเผ่ามนุษย์ไม่มีทางยอมให้ฝ่ายตนนำนักรบอาราม 40 คนเข้าทำการสำรวจ หลังจากต่อรองกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกันว่าชนเผ่ากิ้งก่ากรวดสามารถส่งนักรบอารามเข้าไปได้ 3 คน
และเพื่อชดเชยให้อีกฝ่าย เผ่าคนเถื่อนจึงตกลงยอมให้เผ่ามนุษย์สามารถนำของติดตัวเข้าไปในซากโบราณได้เทียบเท่าหินพลังต้นกำเนิด 10,000 ก้อน
การนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดผลสูงสุดคือจุดแข็งของเผ่ามนุษย์ เผ่าคนเถื่อนอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแร้นแค้น ดังนั้นจึงไม่พึ่งพาสิ่งของภายนอกในการต่อสู้ พอใจจะให้ทุกคนเข้าซากโบราณไปโดยไร้เครื่องมือใดเสียด้วยซ้ำ
ก่อนจะทำการเข้าซากโบราณ ทั้งสองฝ่ายก็ได้เริ่มเกมกันเสียแล้ว
ตอนนี้กู่ชิงลั่วและคนอื่น ๆ กำลังต้องรับมือกับสิ่งที่เผ่ามนุษย์ตกลงยอมรับในการต่อรองไป คือนักรบอาราม !
หากฟังตามที่ชีเว่ยเยี่ยนเล่าแล้ว นางพบกับเยว่หลงซาและคนอื่น ๆ ตอนกำลังค้นหาศิษย์คนอื่นเพิ่มเติม ในตอนนั้นทั้ง 4 คนกำลังถูกนักรบอารามคนหนึ่งไล่ล่าอยู่
หลังจากชีเว่ยเยี่ยนและฉู่อันยี่ปรากฏตัวขึ้น นักรบอารามก็ยอมแพ้ เลิกไล่ตามมา
พวกเขาคิดว่าเรื่องคงจบลงเพียงเท่านี้ แต่เมื่อยามเย็นมาถึง นักรบอารามคนนั้นก็กลับมาลอบโจมตีพวกเขาอีกครั้ง
เผ่าคนเถื่อนเพียงหนึ่งหมายจะสังหารมนุษย์ 6 คน !
โชคดีที่เยว่หลงซา กู่ชิงลั่ว และคนอื่น ๆ รู้ตัวและเตรียมการมาแล้ว ดังนั้นจึงลอบโจมตีไม่สำเร็จ หากแต่เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นถอยไปได้ไม่เท่าไรก็กลับมาไล่ตามพวกเขาต่อ อดทนรอคอยจังหวะเหมาะอยู่เรื่อยไป
ทั้งสองฝ่ายเข้าซากโบราณมาด้วยจำนวนคนเท่ากัน เมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มรวมกลุ่มกันแล้ว อีกฝ่ายจึงมีโอกาสเจอคนเผ่าเดียวกันได้เช่นกัน
และสุดท้ายเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นก็รวมกลุ่มกับเผ่าคนเถื่อนอีก 2 คน
เคราะห์ร้ายนักที่ใน 2 คนนั่น มี 1 คนเป็นนักรบอาราม
ดังนั้นจึงนึกถึงผลลัพธ์ออกมาได้ไม่ยาก
“พวกเราหนีสุดฝีเท้า แต่นักรบอาราม 2 คนนั้นไม่เพียงทรงพลัง ยังเร็วมากด้วย หากไม่หนีมาจนพบเหยียนหลิงเข้าก็คงไม่รอดแล้ว” ชีเว่ยเยี่ยนเค้นเสียงพูดออกมา
เหยียนหลิงเป็นศิษย์ชั้นปีที่ 8 อันดับที่ 36 มีฝีมือธรรมดา แต่เชี่ยวชาญค่ายกลป้องกันเป็นอย่างมาก
นับได้ว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญ
กู่ชิงลั่วและคนอื่น ๆ จึงตั้งค่ายกลป้องกันขึ้น ชีเว่ยเยี่ยนรับหน้าที่ฝ่าวงล้อมออกมาแล้วร้องขอกำลังเสริม
“รีบไปช่วยพวกเขา ! เหยียนหลิงรั้งไว้อีกได้ไม่นานแล้ว !” ชีเว่ยเยี่ยนคว้าแขนซูเฉินไว้แล้วร้องออกมา
หวังโต้วซานเอ่ยเสียงกังวล “เช่นนั้นจะรออะไรอีก ? ไปเถอะ !”
เขากำลังจะสับฝีเท้ามุ่งหน้าไป หากแต่หันหลับมาเห็นซูเฉินกำลังคุกเข่าลงกับพื้นแล้วนิ่งไปทั้งอย่างนั้น
หวังโต้วซานชะงักไป “ซูเฉิน เจ้าเหม่อมองอะไรของเจ้า ?”
ซูเฉินไม่พูดคำใด เพียงแต่จ้องชีเว่ยเยี่ยนนิ่ง
เฮ่ออวิ๋นตงพลันรู้สึกใจสะดุดขึ้น “บาดแผลนางเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ซูเฉินกลืนน้ำลาย เอ่ยขึ้นมาด้วยความยากลำบาก “อวัยวะภายในกำลังเข้าขั้นวิกฤติ นางฝืนใช้พลังต้นกำเนิดฝนร่างมากเกินไป วิ่งมามากกว่า 20 ลี้ทั้งที่บาดเจ็บหนัก…… ชีวิตนางอยู่ในอันตราย !”
ทุกคนสูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าในพลัน
“พอมีหวังหรือไม่ ?” เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ยเสียงเครียด
“ยังมี แต่เราต้องรีบลงมือ รอไม่ได้แล้ว”
ทุกคนจึงเข้าใจ
พวกเขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินและกู่ชิงลั่วเป็นอย่างไร รู้ดีกว่าเยว่หลงซาเป็นสหายสนิทของเขา
ทั้งคนรักทั้งสหายสนิทล้วนตกอยู่ในอันตราย ซูเฉินย่อมต้องเป็นคนแรกที่อยากรุดหน้าไปช่วยเหลือ
แต่เขาทำไม่ได้
สภาพชีเว่ยเยี่ยนนั้นวิกฤติกว่าบาดแผลของผีเยวี๋ยนหงนัก หากชายหนุ่มไม่ลงมือตอนนี้นางต้องตายเป็นแน่
ซึ่งเขาก็ไม่อาจนั่งรอดูชีเว่ยเยี่ยนตายได้
แต่ถึงกระนั้น ในใจเขาก็ยังเป็นห่วงกู่ชิงลั่ว
ชายหนุ่มพลันถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะทำใจแข็ง “ท่านไปช่วยพวกเขา ข้าจะพาศิษย์พี่หญิงชีกลับภูเขา”
เฮ่ออวิ๋นตงถึงกับใจสั่น
เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายตัดสินใจทำเช่นนี้ยากเพียงไหน จึงตบหลังเขาเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าย่าห่วง ชิงลั่วจะต้องไม่เป็นไร ข้าจะพานางกลับมาอย่างปลอดภัยเอง !”
ซูเฉินมองเฮ่ออวิ๋นตงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับจริงจัง “ข้าเองก็ขอสัญญา ยามท่านกลับมา ศิษย์พี่หญิงชีจะยังมีชีวิตอยู่ !”
คนทั้งคู่จับมือกันมั่น
เป็นคำสัญญาระหว่างศิษย์
เป็นคำสัญญาระหว่างสหายร่วมรบ
สัญญาลูกผู้ชาย !