“แม้จะยังไม่ค่อยคล่อง แต่อานุภาพไม่เป็นที่สงสัยแล้ว สามารถทำลายอาคมต้องห้ามของแม่น้ำอเวจีได้ แต่จากการสำแดงเมื่อครู่นี้ ข้ากลับมองออกถึงสาเหตุบางประการที่สหายหานไม่ถูกเทวะอัสนีย้อนกลืนกินแล้ว ตอนแรกที่สหายหานเรียกหลอมไผ่อัสนีทอง พลังยุทธ์ในร่างก็เหนือกว่าผู้ที่อยู่ระดับเดียวกันหลายเท่าเช่นเดียวกับตอนนี้หรือไม่?” ลิ่วจู๋พยักหน้าเสร็จก็ถามโพล่งขึ้นมา

 

 

“ไม่ผิด หลายปีก่อนชนรุ่นหลังเคยฝึกฝันเคล็ดวิชาประหลาดชนิดหนึ่งจริงๆ แม้ว่าความเร็วในการฝึกฝนจะช้ากว่าคนทั่วไปบ้าง แต่พลังยุทธ์นั้นล้ำลึกกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันจริงๆ ที่ชนรุ่นหลังไม่ถูกเทวะอัสนีย้อนกลืนกินก็เพราะเหตุนี้” หานลี่ที่ร่วงมาถึงพื้นแล้วตอบอย่างฉับพลัน

 

 

“แม้ว่าจะไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด แต่ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญ ถึงอย่างไรเดิมทีพลังยุทธ์ก็คือพื้นฐานของอิทธิฤทธิ์ทั้งหมด อิทธิฤทธิ์แบบเดียวกันเมื่อสำแดงออกมาจากผู้ที่มีพลังยุทธ์แตกต่างกัน อานุภาพย่อมแตกต่างกันมาก เมื่อควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายด้วยพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าระดับเดียวกันของสหาย ย่อมสามารถยับยั้งการย้อนกลืนกินของเทวะอัสนีได้ดีมาก อีกทั้งก่อนหน้านี้สหายหานยังไม่รู้วิธีควบคุมอัสนีที่แท้จริงมาโดยตลอด การย้อนกลืนกินก็อาจจะยิ่งเหลือเพียงน้อยนิดแล้ว” ลิ่วจู๋อธิบายด้วยท่าทางสงบนิ่ง

 

 

“พูดเช่นนี้ ต่อไปชนรุ่นหลังสำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนี ก็ยังมีโอกาสถูกย้อนกลืนกิน” หานลี่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

 

 

“เรื่องนี้ก็ไม่แน่ ที่เจ้าสามารถปลอดภัยได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากสาเหตุที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าเคยกินสมบัติธรณีสวรรค์อะไรมา หรืออาจจะครอบครองสมบัติวิเศษบางอย่าง เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาล้ำเลิศอะไรบางอย่าง จึงช่วยให้เจ้าระงับการย้อนกลืนกินได้ตลอด อย่างน้อยที่สุด จากการที่เจ้าสำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนีเมื่อครู่นี้ ข้ามองไม่เห็นลักษณะที่ส่อให้เห็นถึงการย้อนกลืนกินใดๆ แต่ตัวเจ้าในตอนนี้ อยู่ในระดับนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้” ลิ่วจู๋พูดน้ำเสียงนิ่งอยู่ตลอด

 

 

แม้ว่าหานลี่จะไม่กล้าเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายทั้งหมด แต่สีหน้าย่อมดูแย่ลงเป็นธรรมดา

 

 

คำพูดของอีกฝ่ายชัดเจนมาก แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่เป็นอะไร แต่หลังจากที่พัฒนาระดับอีกครั้ง จะสามารถยับยั้งการย้อนกลืนกินของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้ตลอดหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

 

 

หญิงงามผมขาวได้ยินคำพูดของลิ่วจู๋ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย พลันหันมาถามหญิงสาวที่อยู่ภายในแสงสีดำด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้องมู่ชิง เจ้าให้พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่แค่จะให้สหายหานสำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนีอย่างเดียว ยังมีอะไรจะพูดอีกสินะ!”

 

 

มู่ชิงได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย พลันยิ้มอ่อน “ไม่ผิด ที่จริงแล้วน้องสาวมีคำพูดบางอย่างอยากจะพูดกับสหายทั้งหลาย ในเมื่อแม้แต่พี่ลิ่วจู๋ก็ยังคิดว่าสหายหานสามารถสำแดงอานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้เพียงพอแล้ว ข้าเห็นว่าสองปีต่อจากนี้ สหายหานไม่จำเป็นต้องไปที่ของพี่สาวหลานแล้ว ไม่กี่ปีที่เหลือนี้ก็ให้เขาทำความคุ้นเคยกับหลักแห่งการควบคุมอัสนีอยู่ในถ้ำแก่นพฤกษา สหายทั้งหลายคิดว่าอย่างไร!” มู่ชิงไม่คิดจะปิดบังเจตนาของตนแม้แต่น้อย จึงพูดออกมาอย่างสบายๆ

 

 

“แม้ว่าสหายหานจะเข้าใจเคล็ดวิชาเรียกอัสนีแล้ว แต่หลักแห่งการควบคุมอัสนีของเจ้ากับข้าในจุดเล็กๆ ก็ยังแตกต่างกันอยู่ ให้สหายหานมาเรียนกับข้าสองปี มีสิ่งใดที่ไม่ควร อีกทั้งเรื่องที่คุยก่อนหน้านี้ก็ตกลงกันไว้แล้ว! น้องมู่คิดจะกลับคำ แม่เฒ่าก็ต้องยอมรับ” หญิงงามผมขาวสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมา พลันกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว

 

 

“เหอะๆ พี่สาวหลานพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก พวกข้าเพียงแค่ต้องการยืมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของสหายหานทำลายอาคมต้องห้ามที่แม่น้ำอเวจีเท่านั้น เหตใดต้องทำเรื่องเกินจำเป็นด้วยเล่า สำหรับข้อตกลงก่อนหน้านี้ ในเมื่อเรื่องที่ตกลงมีการเปลี่ยนแปลง มีการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวบ้างจะเป็นไรไป” มู่ชิงกลับพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ อย่างไม่ใส่ใจ

 

 

“พี่ลิ่วจู๋ สหายตี้เซวี่ย พวกเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร? ต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของน้องมู่ชิงด้วยรึ?” หญิงงามผมขาวไม่สนใจมู่ชิงอีกต่อไป หันกลับมาถามสองคนที่เหลือแทน

 

 

“เหอะๆ ผู้เฒ่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับหลักแห่งการควบคุมอัสนีแม้แต่น้อย สำหรับเรื่องนี้จะอย่างไรก็ได้ สหายทั้งสองตัดสินกันเองก็แล้วกัน” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งหัวเราะหึๆ แล้วบอกปัดอย่างไม่หนักหนาอะไร ท่าทางไม่คิดจะเข้าไปร่วมการโต้แย้งของมู่ชิงกับหญิงงาม

 

 

เมื่อเห็นชายชุดโลหิตแสดงท่าทีเช่นนี้ หญิงงามผมขาวก็รู้สึกตกตะลึง พลันเกิดความงุนงงสงสัยขึ้นแวบหนึ่ง แต่ฉับพลันก็กลอกตามาทางร่างของลิ่วจู๋ผู้ลึกลับ

 

 

ลิ่วจู๋ที่สวมผ้าคลุมดำกำลังก้มหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

 

“ที่สหายทั้งสองพูดมาล้วนมีเหตุผล ในด้านหนึ่งสหายหานเข้าใจและพลิกแพลงอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้แล้ว จะอยู่รับการถ่ายทอดจากสหายหลานเป็นเวลาสองปีก็ไม่มีความจำเป็นแล้วจริงๆ อีกด้านหนึ่ง เรื่องการเปลี่ยนแปลงข้อตกลง ก็ไม่ดีสำหรับสหายหลาน เอาเช่นนี้เถอะ ข้าเห็นว่าระยะเวลาสองปีก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว สหายหลานแค่ชี้แนะสหายหานหนึ่งปีก็พอแล้ว เวลาที่เหลือแค่ให้เขาอาศัยอยู่คนเดียวสักแห่งก็พอแล้ว” ลิ่วจู๋เงยหน้าขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวออกมาเช่นนี้

 

 

ได้ยินคำนี้ หญิงงามผมขาวก็ขมวดคิ้วคราหนึ่ง ส่วนมู่ชิงก็มีท่าทีเงียบขรึม

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าสองคนต่างก็ไม่อยากตกลงเงื่อนไขนี้ แต่อย่าลืมล่ะ การใหญ่ใกล้มาถึงแล้ว แม้แต่การที่พวกเราจะสามารถเข้าไปในแม่น้ำอเวจีได้หรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องที่ยังสรุปไม่ได้ หากพวกเจ้าทำให้เสียการใหญ่เพราะไม่พอใจกัน ต่อให้ในใจจะมีแผนดีแค่ไหน ก็มีแต่พาให้คว้าน้ำเหลวเท่านั้น หรือว่าพวกเจ้าคิดจะละทิ้งโอกาสที่หมื่นปีมีครั้งเดียวนี้จริงๆ?” ลิ่วจู๋ไม่รอให้หญิงทั้งสองพูดอะไร ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

 

 

ฟังคำนี้จบ หญิงสองคนก็หน้าเปลี่ยนสี อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากันทีหนึ่ง

 

 

หญิงงามแววตาเปล่งประกายระยิบระยับ ทันใดนั้นก็ขยับริมฝีปากเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงกับมู่ชิง

 

 

และเมื่อคำพูดที่ถ่ายทอดเสียงเข้าไปในหูของมู่ชิง หญิงผู้นี้ก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่อย่างฉับพลัน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จึงค่อยเอ่ยปากขึ้นอย่างลังเล “หากที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง ของสิ่งนั้นจะตัดใจมอบให้ข้าได้อย่างไร”

 

 

“น้องสาวมู่น่าจะเข้าใจดี เข้ามีกายเป็นภูติ ต่อให้ของสิ่งนั้นวิเศษวิโสเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับข้าแล้วกลับไม่มีประโยชน์เลย” หญิงงามผมขาวตอบกลับด้วยท่าทีไม่ไหวติง

 

 

“ตามคำพูดของพี่สาวหลาน ข้าตกลงรับเงื่อนไขนี้” ดูเหมือนสิ่งที่หญิงงามผมขาวพูดมานั้นจะสำคัญกับมู่ชิง เพียงแค่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็ยอมรับปากแล้ว

 

 

“ดี ข้าคิดว่าคราวนี้น้องมู่จะไม่ผิดคำพูดอีก” หญิงงามผมขาวแย้มยิ้ม พลันเกิดพายุทมิฬลอยขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งจากไปแล้ว

 

 

เมื่อเห็นฉากนี้กับตา ชายชุดโลหิตสองคนก็มีสายตาตกตะลึง ส่วนลิ่วจู๋กลับไม่มีท่าทางเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ราวกับไม่เห็นการจากไปของหญิงงาม

 

 

“สหายทั้งสอง น้องสาวเจรจากับพี่สาวหลานเรียบร้อยแล้ว สหายหานไม่จำเป็นต้องไปที่ของนางแล้ว เวลาที่เหลือก็ให้สหายหานอยู่ลำพังสักแห่ง ให้เขาทำความคุ้นเคยกับหลักแห่งการควบคุมอัสนีด้วยตัวเองเถอะ สหายทั้งสองคิดว่าอย่างไร?” มู่ชิงถามด้วยรอยยิ้ม

 

 

“หึๆ ผู้เฒ่าก็ยังถือตามประโยคนั้น ทั้งหมดให้สหายทั้งสองจัดการกันเอง ผู้เฒ่าจะไม่แทรกมือเข้ามายุ่ง” สีหน้าภายในดวงตาของชายชุดโลหิตกลับมาเป็นปกติ พลันหัวเราะประหลาดคราหนึ่ง

 

 

“ตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใหญ่ ข้าก็ไม่มีความเห็นใดๆ” ลิ่วจู๋ก็ด้วยท่าทางเยือกเย็น

 

 

มู่ชิงได้ยินดังนี้ย่อมดีอกดีใจยกใหญ่

 

 

หานลี่ที่ยืนอยู่ที่เดิมกลับแอบถอนหายใจคราหนึ่ง

 

 

เห็นได้ชัดว่าภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่รู้เรื่องนั้น มู่ชิงกับหญิงงามผมขาวผู้นั้นได้บรรลุข้อตกลงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา นี่จึงทำให้เขารู้สึกกลุ้มใจและไม่สบายใจขึ้นมา

 

 

ไม่นานนัก ลิ่วจู๋กับชายชุดโลหิตสองคนก็พากันออกจากที่แห่งนี้

 

 

ด้วยเสียงเรียกของมู่ชิง หานลี่จึงตามนางเข้าไปในวิหารใหญ่อีกครั้ง

 

 

“สหายหาน เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ฟังคำพูดของพวกเราแล้ว ในใจน่าจะคิดหาทางบ้างแล้วสินะ ทว่าตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ควรจะอธิบายเรื่องบางอย่างกับเจ้าแล้ว จะได้ขจัดความสงสัยภายในใจของสหายไปด้วย ข้าสามารถตอบคำถามที่เจ้าอยากรู้ได้สามข้อ จำไว้ให้ดี ตอบแค่สามข้อเท่านั้น หลังจากนี้ไม่ว่าจะคำถามอะไร ข้าก็จะไม่อธิบายแม้แต่คำเดียว แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หลังจากที่น้องหานเข้าไปในแม่น้ำอเวจีแล้ว จำเป็นต้องให้เจ้าช่วยทำเรื่องหนึ่ง” เมื่อกลับมานั่งบนดอกไม้ยักษ์สีทองอีกครั้ง มู่ชิงก็พูดกับหานลี่ด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

 

“ทำเรื่องหนึ่ง?” หานลี่รู้สึกใจหายวาบ พลันถามด้วยความระมัดระวัง

 

 

“ไม่ผิด ภายในสองปีนี้ที่ข้าถ่ายทอดหลักแห่งการควบคุมอัสนีให้เจ้า และชี้แนะการฝึกฝนบางอย่างให้กับเจ้ามากมายเช่นนี้ รวมถึงการตอบคำถามสามข้อนี้ ให้เจ้าทำเรื่องหนึ่งเพื่อข้าคงไม่นับว่าเกินไปหรอกกระมัง” มู่ชิงใช้ดวงตาอันงดงามจ้องมองหานลี่ พลางพูดอย่างช้าๆ

 

 

“ย่อมไม่เกินไปอยู่แล้ว ทว่าชนรุ่นหลัง…” หานลี่ยิ้มฝืนๆ คราหนึ่ง ยังคิดที่จะพูดอะไรอีก แต่มู่ชิงก็โบกมือแล้วพูดแทรกขึ้นมา “วางใจ ไม่ให้เจ้าทำเรื่องที่เกินความสามารถตัวเองหรอก พูดถึงสาเหตุ ที่จริงแล้วแค่คิดจะยืมพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเจ้าเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเจ้าคงเข้าใจว่าตัวตนระดับพวกเราให้ความสนใจเจ้าเป็นพิเศษจริงๆ แล้วกระมัง”

 

 

มู่ชิงดูมีท่าทีเด็ดขาดขึ้นมา

 

 

หานลี่ได้ยินแล้วกลับรู้สึกโล่งอก หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่ออาวุโสกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธ ในแม่น้ำอเวจี ตราบใดที่ไม่เกินความสามารถ และไม่อันตรายถึงชีวิต ชนรุ่นหลังก็สามารถรับปากทำเรื่องหนึ่งให้อาวุโสได้”

 

 

“หึๆ เจ้าพูดได้รัดกุมมาก! แต่เรื่องนี้ก็ไม่สำคัญ เจ้าถามมาเถอะ!” มู่ชิงหัวเราะอย่างมีเลศนัย พลันเอามือกอดอกแล้วกล่าว

 

 

“ชนรุ่นหลังอยากทราบว่า ตกลงแล้วแม่น้ำอเวจีคือสถานที่ประเภทใดกันแน่ และที่นั่นมีอันตรายชนิดใดอยู่” หานลี่เงยหน้าสบตามู่ชิงคราหนึ่ง พลันถอนหายใจแล้วถามออกมาสองคำถาม

 

 

“แม่น้ำอเวจีคือช่องว่ามิติอิสระแห่งหนึ่งที่พวกเราสี่คนพบโดยบังเอิญที่ชั้นล่างสุดของเหวพสุธาเมื่อหลายร้อยปีก่อน ในนั้นเต็มไปด้วยภูและวิญญาณดุร้ายที่ตลบอบอวลไปด้วยปราณทมิฬ สำหรับความอันตรายในนั้นย่อมไม่อาจคำนวณได้ อย่าว่าแต่ในนั้นมีราชาภูตหรือปีศาจวิญญาณที่พลังไม่น้อยกว่าพวกข้าเลย มีบางที่ก็ยิ่งอันตรายมาก แม้แต่พวกข้าก็ยังเลี่ยงไม่ทัน พูดแบบนี้ก็แล้วกัน ปีนั้นพวกเราราชาปีศาจในเหวพสุธาไม่ได้มีสี่คนแต่มีห้าคน ตอนที่พวกเราค้นพบช่องว่างมิติแห่งนี้ครั้งแรก หนึ่งในพวกเราได้ร่วงตายในนั้น แม้ว่าครั้งนั้นพวกเราไม่ค่อยรู้จักช่องว่างมิตินั้นเท่าไหร่ ยังไม่ได้เตรียมการให้รอบด้าน แต่ความอันตรายในนั้นแค่คิดก็พอรู้” มู่ชิงไม่รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของหานลี่แม้แต่น้อย เพียงแค่อธิบายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเท่านั้น

 

 

หานลี่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักใจ แต่ปากก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “แม่น้ำอเวจีแห่งนี้อาวุโสทั้งหลายน่าจะตั้งชื่อกันเองสินะ! ในเมื่อเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเช่นนี้ ย่อมต้องมีสาเหตุบางอย่างกระมัง!”

 

 

“คิกๆ คำถามนี้ข้องสหายน้อยหาน ควรจะนับเป็นคำถามข้อที่สามหรือไม่?” มู่ชิงส่งเสียงหัวเราะน่าฟังออกจากปาก

 

 

“ย่อมไม่นับอยู่แล้ว คำถามข้อที่สามของชนรุ่นหลังคือ…” หานลี่รีบพูดปฏิเสธ คิดจะเอ่ยถามคำถามข้อที่สาม แต่มู่ชิงกลับหยุดเสียงหัวเราะลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ช่างเถอะ คำถามนี้ของเจ้าไม่ถือว่าเป็นคำถามอะไร ข้าจะอธิบายให้เจ้าโดยไม่คิดเงื่อนไขก็แล้วกัน ภายในช่องว่างมิตินั้นถูกวารีทมิฬประหลาดหนาประมาณหมื่นจั้งปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น คนธรรมดาเข้าไปในนั้น ก็จะวิญญาณสลายและถูกกวาดออกในทันที และร่างที่กลายเป็นศพทมิฬก็จะล่องลอยอยู่ในวารีทมิฬนี้ไปตลอดกาล ดังนั้นพวกเราจึงได้เรียกช่องว่างมิตินี้ว่าเช่นนี้”