สองสาวใช้ที่แอบอยู่หลังประตูเรือนเห็นว่าฉู่อี้เจี่ยนออกมาว่าแล้วก็ค่อยโล่งใจ รีบหลบไปทันที
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งถ้วยชา ฉู่อี้เจี่ยนถึงได้ก้าวเท้าลงบันได
ฉู่ซินรุ่ยไม่ขยับ มองเขาเดินมาหยุดที่ตรงหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ยังคงใช้สายตาดื้อดึงและอาวุโสกว่าจ้องมองเขา
“พี่ห้า ข้ารู้ว่าไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!” ฉู่ซินรุ่ยเปิดปาก น้ำเสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับไม่หวั่นไหวสักนิด “นับแต่ที่พี่ตัดสินใจเลือกเส้นทางล้างแค้น เบื้องหน้าพวกเราก็ไร้เส้นทางให้หันหลังกลับ ต่อให้ตรงนั้นมีผู้บริสุทธิ์ แต่ฉู่เป้ยติดหนี้ของพวกเราก่อน พี่ห้า ไม่มีสิ่งใดสำคัญอีกต่อไปแล้ว ที่สำคัญ… มีเพียงพี่กับข้า พวกเราไม่มีทางให้ถอย หากล้มเหลวนั่นคือตาย นอกจากนี้ ไม่มีทางเส้นทางที่สามให้เราเดิน!”
เรื่องในวันนี้ แม้นางจะใช้ทุกอย่างเป็นเดิมพัน แต่นางก็ไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะสำเร็จ
ที่นางทำแบบนี้ เพราะอยากจะบีบบังคับฉู่อี้เจี่ยนเป็นครั้งสุดท้าย
ตั้งแต่ที่ตัดสินใจเดินบนเส้นทางแห่งความแค้น พวกเขาก็อยู่บนทางเดินที่ไม่อาจหวนกลับ ไม่มีทางให้หนีหรือหลบซ่อน มิฉะนั้น…
ที่รอพวกเขาอยู่คือหน้าผาสูงลิ่ว ตกลงไปมีเหลือเพียงร่างที่แหลกเหลว
ฉู่อี้เจี่ยนเอามือไพล่หลัง ยืนนิ่งกลางฝนพรำ ไม่ได้เอ่ยตอบนาง
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ปล่อยให้เม็ดฝนกระทบลงใบหน้า ความรู้สึกหนาวเหน็บเหมือนจะทิ่มแทงเข้ากระดูก คอยปลุกให้เขาปวดร้าวและได้สติอยู่เสมอ
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมแพ้กลางคันหรือ?” ผ่านไปพักหนึ่ง ฉู่อี้เจี่ยนก็หัวเราะออกมา เสียงนั้นช่างแผ่วเบาและเปล่าเปลี่ยว “ที่เขาติดค้างข้า ที่เขาติดค้างสกุลฉู่มากมาย หลายปีที่ผ่านมา ข้าล้วนจำได้ขึ้นใจ เขาสมควรตาย และจะต้องไม่ตายดี แต่ว่า…”
เขาเอ่ยเพียงครึ่งเดียว จากนั้นก็ลืมตาขึ้น ดวงตามีไอสังหารที่เข้มข้นและโกรธแค้นแผ่ซ่าน
ฉู่ซินรุ่ยถูกสายตาของเขาทำให้ชะงัก หัวใจสะท้านเบาๆ อดจะรู้สึกหนาวขึ้นมาไม่ได้
นางรอฟังคำของฉู่อี้เจี่ยน แต่ฉู่อี้เจี่ยนกลับหยุดแค่นั้น ไม่ได้พูดต่อให้จบ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เขาถึงก้มลงมาแล้วประคองฉู่ซินรุ่ยให้ลุกขึ้น
เขามองนางด้วยความอ่อนโยน คล้ายว่าความกระหายเลือดที่เย็นเยือกเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
ดวงหน้าฉู่ซินรุ่ยเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน สภาพดูไม่จืด
นัยน์ตาของฉู่อี้เจี่ยนมีประกายเจ็บปวดแวบผ่าน จัดผมที่ยุ่งเหยิงให้นาง ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “กลัวหรือไม่?”
ฉู่ซินรุ่ยชะงักไป ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “มีพี่ห้าอยู่ ข้าไม่กลัว!”
ชื่อเสียงเกียรติยศมีหรือจะได้มาง่ายๆ เส้นทางนี้ที่พวกเขาเลือกเดินก็อันตรายเหลือแสน
ความจริงถ้าจะบอกว่าไม่กลัวเลยสักนิด ก็คงจะเป็นการโกหก
ที่บอกว่าไม่กลัว…
ก็เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางให้ถอย ดังนั้นจึงไม่อาจหวาดกลัว ได้แต่พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว
ดวงหน้าของนางเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง นอกจากนั้น ยังมีความเชื่อมั่นอันแรงกล้า
ฉู่อี้เจี่ยนมองนาง นัยน์ตาพลันเกิดระลอกคลื่นเป็นสุข เอ่ยถามเบาๆ คล้ายจะยิ้มว่า “ไม่เสียใจ?”
ฉู่ซินรุ่ยส่ายหน้า
เขาดึงนางเข้าสู่อ้อมแขน กอดนางไว้เบาๆ
ร่างที่หนาวจนแข็งทื่อของฉู่ซินรุ่ยอดจะสะท้านสั่นไม่ได้
ฉู่อี้เจี่ยนกุมไหล่ที่บอบบางของนาง เมื่อนางมองไม่เห็น สายตาพลันเปลี่ยนเป็นความรวดร้าวทรมาน
ฉู่ซินรุ่ยไม่มีทางรู้สึกถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขา เพียงลอบกำมัดแน่น แอบอิงและซึมซับไออุ่น
เขาเป็นพี่ชายของนาง เป็นที่พึ่งพิงของนาง
ชีวิตนี้ของนาง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนผูกเชื่อมกับเขา
ความเชื่อมั่นศรัทธานี้ ไม่มีทางสั่นคลอน!
ฉู่อี้เจี่ยนกอดนางไว้นิ่งๆ อยู่นาน ฉู่ซินรุ่ยถึงค่อยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“พี่ห้า?” นางลองผลักที่ไหล่ของเขาทีหนึ่ง
ฉู่อี้เจี่ยนถึงได้ปล่อยนาง เอ่ยว่า “กลับไปเถอะ รีบไปแช่น้ำอุ่น ดื่มน้ำขิงด้วย เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“อืม!” ฉู่ซินรุ่ยรับคำ แต่ไม่ได้จากไปทันที
ก่อนที่ฉู่อี้เจี่ยนจะหมุนตัวกลับ จึงอดจะมองนางอีกสักครั้งไม่ได้ “มีเรื่องใดอีกหรือ?”
“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่ยกัดปากแล้วหลุบตามองต่ำ ปรับอารมณ์ของตนก่อนจะเงยหน้ามองเขา “พี่ไม่โทษข้าใช่ไหม?”
ฉู่อี้เจี่ยนได้ฟัง ก็หัวเราะออกมา แล้วส่ายหน้า “เจ้าคิดมากไปแล้ว! วางใจเถอะ ข้าติดค้างน้ำใจเหยียนหลิงจวินหนึ่งครั้ง แต่อะไรหนักเบาข้าแยกแยะได้ เขามีความคิดอย่างเดียวคือปกป้องสวินหยาง ข้ายังไม่ถึงขนาดถูกเขาทำให้เลอะเลือนหรอก”
ฉู่ซินรุ่ยค่อยสบายใจ แล้วพยักหน้าแรงๆ “อืม!”
ฉู่อี้เจี่ยนมองร่างนางที่เปียกฝนจนชุ่ม นัยน์ตาพลันมีความอ่อนโยนแวบผ่าน ยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง “วางใจเถอะ ในเมื่อข้ารับปากว่าจะปกป้องเจ้า ข้าไม่มีทางผิดคำพูด”
ได้ฟังวาจาเช่นนี้ของเขาอีกครั้ง จิตใจของฉู่ซินรุ่ยจึงค่อยๆ สงบลง คลี่ยิ้มส่งให้ทีหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายออกจากเรือนไป
ในวังหลวง ฉู่อี้อันพาฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนวิ่งวุ่นทั้งคืน ทางหนึ่งก็ปลอบโยนขุนนางและครอบครัวที่ได้รับบาดเจ็บ ทางหนึ่งก็สั่งการให้คนเก็บกวาดสภาพพังพินาศของอุทยานหลังผ่านการเข่นฆ่าฉากหนึ่ง
ขุนนางเล็กใหญ่ที่ต้องสังเวยชีวิตในคืนนั้นมีทั้งสิ้นสิบเก้าคน เหล่าชายาและคุณหนูทั้งหลายล้วนบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ต่างกันไป
ฉู่สวินหยางก็อยู่ในวังทั้งคืน ช่วยดูแลจัดการคนเจ็บ
หมอหลวงในวังมีไม่พอ จึงสั่งให้คนไปเชิญหมอจากโรงหมอใหญ่ๆ ในเมืองมาช่วยด้วย
ตลอดทั้งคืน แม้ฝนจะเทกระหน่ำ แต่ในวังหลวงก็ยุ่งจนอลหม่านไปหมด
แขกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยล้วนถูกส่งออกจากวัง ในวังจึงเหลือตำหนักว่างอยู่สองหลังเพื่อใช้ดูแลคนเจ็บ
หลัวกั๋วกงสลบไสลไม่ได้สติ
ฮูหยินหลัวเฝ้าอยู่ข้างเตียงเขาไม่หนีห่าง
หลัวซืออวี่ก็อยู่เป็นเพื่อนข้างๆ แต่รู้สึกได้ว่านางลุกลี้ลุกลน คล้ายจะใจลอยแปลกๆ
ด้านนอกมีเสียงฝนโปรยปราย เห็นชัดว่านางสติไม่อยู่กับตัว พอเดินไปปิดหน้าต่าง ผ่านไปครึ่งวันแล้วก็ยังเดินกลับมาไม่ถึงเตียง กระทั่งฟ้าสาง พลันได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความปวดร้าว นางถึงได้สติกลับคืนมา
“เกิดอะไรขึ้น?” ฮูหยินหลัวตกใจ กระเด้งตัวลุกจากข้างเตียง
“ฮูหยิน ฮูหยินฮั่วเสียแล้วเจ้าค่ะ!” ไม่นานแม่นมจางก็เดินเข้ามา ถอนหายใจไม่หยุด ด้วยท่าทีเปล่าเปลี่ยวและโศกเศร้า
หลัวซื่ออวี่คล้ายว่าฟังไม่เข้าใจ ยืนนิ่งอยู่ที่เก่าเหมือนร่างไร้วิญญาณ สุดท้ายก็เคลื่อนสายตาไปมองหลัวกั๋วกงที่ยังนอนสลบอยู่บนเตียงอย่างช้าๆ ดวงหน้าปรากฏอารมณ์ซับซ้อนที่ยากจะอธิบาย